Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1171 แผนคู่ขนาน
สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังตัวผู้พูด
เฮคซอดเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
ไนท์แมร์ลอร์ด วัลคีรีย์ มันถือได้ว่าเป็นราชาที่มีความพิเศษที่สุดในบรรดาราชาทุกตัว มันยกระดับมานานมากแล้ว ราชาหลายๆ ตัวในที่นี้ก็เคยได้รับการดูแลจากมันด้วย ในช่วงสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่หนึ่ง มันเป็นปีศาจที่มีการกับติดต่อกับมนุษย์มากที่สุด ถึงกับมีข่าวลือว่าเมืองบางเมืองยังมีสาวกของมันอยู่ ถึงแม้ความสามารถในการต่อสู้ของมันจะไม่ถือว่าแข็งแกร่งที่สุด แต่พลังของมันกลับสามารถทำให้มันวิวัฒนาการร่างกายจนสมบูรณ์ได้ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นมันก็ยังรักษารูปร่างของตัวเองในตอนที่ยกระดับครั้งแรกเอาไว้อยู่ ผิวหนังสีเขียว บนหัวมีเขา แล้วก็ ‘ดวงตา’ ที่สามที่อยู่ตรงกลางหน้าผาก
ถึงจะดูแล้วไม่เหมือนมนุษย์ แต่การแต่งตัว การพูดจาและกิริยาท่าทางของมันล้วนแต่ดูคล้ายมนุษย์อย่างมาก อีกทั้งมันยังเป็นราชากลุ่มแรกสุดที่เชี่ยวชาญภาษาของอีกฝ่ายด้วย
ในจุดนี้ไนท์แมร์เรียกได้ว่าแตกต่างจากไซเลนท์ดิสแอสเตอร์โดยสิ้นเชิง โดยจะเห็นจากเสื้อคลุมสีขาวที่ดูเบาบางบนที่อยู่บนตัวของมัน เพื่อที่จะแสดงภาพลักษณ์ของตัวเองแล้ว ไนท์แมร์สามารถทำให้ทุกๆ รายละเอียดบนเสื้อคลุมแสดงออกมาได้อย่างชัดเจน ซึ่งแตกต่างกับราชาตัวอื่นๆ อย่างบลัดดี้คองเคอเรอร์ที่ภาพจำลองดูเลือนลาง
การที่สามารถทุ่มสมาธิเอาไว้กับเรื่องที่ไม่สำคัญแบบนี้แล้วสีหน้ายังดูสบายๆ ขนาดนี้ นี่ก็เพียงพอจะแสดงให้เห็นถึงระดับความเชี่ยวชาญที่มันมีต่อโลกแห่งจิตสำนึกได้แล้ว
ถ้าก่อนหน้านี้คนที่ถูกทำให้ตกใจกลัวจนต้องหนีไปคือไนท์แมร์ เฮคซอดคงไม่มีทางจะพูดอะไรแน่
ความจริงแล้ว อีกฝ่ายนั้นเป็นราชาเพียงคนเดียวที่สกายลอร์ดอ่านไม่ออก
หากเปลี่ยนเป็นปีศาจคนอื่นมานั่งหลับตาอยู่ในหอเจ้าชีวิตแบบนี้ เฮคซอดคงจะตราหน้าเอาไว้ว่าไม่จงรักภักดีแล้ว
แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ จักรพรรดิเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจอะไรกับเรื่องนี้
“โอ้? เจ้าเห็นอะไรงั้นเหรอ?”
“…ข้าเพียงแต่คิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง” วัลคีรีย์ยืดตัวขึ้นมาเล็กน้อย “ยังไม่ต้องไปพูดถึงว่ามีเส้นทางในการยกระดับที่พวกเราไม่รู้จักอยู่จริงหรือไม่ สมมติว่ามนุษย์ตัวผู้คนนี้มีพลังเหมือนอย่างแม่มดจริงๆ อย่างนั้นความสามารถนี้ก็ต้องเกี่ยวข้องกับโลกแห่งจิตสำนึกแน่นอน แถมระดับความเกี่ยวข้องต้องไม่ใช่แค่ผิวเผินแน่ ไม่อย่างนั้นด้วยความสามารถของท่านไซเลนท์คงไม่มีทางที่จะถูกเล่นงานขนาดนี้ได้”
แสงสีแดงที่อยู่ใต้หมวกชุดเกราะสีดำสว่างวาบขึ้นมา “ข้าดูแลชิ้นส่วนสืบทอดมาเกือบ 200 ปี เจอมนุษย์มาแล้วมากมาย แต่ส่วนใหญ่พวกมันถ้าไม่หนีออกไปก็ต้องจบชีวิตลงด้วยการถูกกลืนกิน คนที่สามารถสบตากับข้าได้ตรงๆ ได้ ในช่วงเวลา 200 ปีนั้นมีเพียงแค่คนเดียว แถมยังเป็นเมื่อ 1 – 2 ปีก่อนหน้านี้ด้วย แต่ว่ามันเป็นตัวเมีย”
“ถ้าเป็นแม่มดมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก สิ่งที่ข้าอยากจะพูดก็คือมนุษย์คนนี้จะเป็นตัวผู้หรือตัวเมียมันก็ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญนั้นอยู่ที่พลังของมัน บางทีแม้แต่ตัวมันก็อาจจะยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ การที่เข้ามาถึงระดับนี้ได้นั้นเพียงพอที่จะทิ้งร่องรอยเอาไว้ในโลกแห่งจิตสำนึกได้แล้ว”
“ถ้าแค่วิเคราะห์จากผลที่เกิดขึ้น ข้าเห็นด้วยกับการวิเคราะห์ของเจ้า” เฮคซอดได้จังหวะเอ่ยปากออกมา เพราะว่าเรื่องที่เป็นเรื่องที่มันถนัด “แต่อย่างนั้นมันจะมีประโยชน์อะไร? โลกแห่งจิตสำนึกนั้นกว้างใหญ่กว่ามหาสมุทร การจะหาร่องรอยเหล่านี้ในโลกแห่งจิตสำนึกนั้นแทบจะไม่มีทางเป็นไปได้เลย”
“ก็อาจจะ” วัลคีรีย์ไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธ “แต่ข้าก็ยังอยากจะลองดู ถ้าเราใช้การเชื่อมต่อระหว่างกันของชิ้นส่วนสืบทอด บางทีเราอาจจะมีหวังก็ได้ เจ้าคิดว่าไง?”
เฮคซอร์ดตกตะลึงไปทันที “เจ้ารับรู้ได้ถึงการเชื่อมต่อของเศษชิ้นส่วนแล้วเหรอ?”
ชิ้นส่วนสืบทอดที่ได้มาจากอารยธรรมใต้ดินนั้นทำให้ระดับการใช้พลังเวทมนตร์ของเผ่าพันธุ์พัฒนาไปจากเดิมอย่างมาก ในนั้นรวมไปถึงการส่งเสียงสะท้อนระหว่างหอคอยแห่งการให้กำเนิดด้วย ขณะเดียวกันนี่ก็ทำให้พวกมันได้รู้ว่าไม่ว่าจะเป็นการใช้หอคอยแห่งการให้กำเนิดในการพูดคุยหรือว่าการสื่อสารในเศษชิ้นส่วนก็ล้วนแต่ต้องทำผ่านโลกแห่งจิตสำนึกทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ตามทฤษฎีแล้ว ขอเพียงพวกมันเริ่มค้นหาจากปลายด้านหนึ่ง มันก็จะเจอปลายอีกด้านหนึ่งที่เชื่อมต่อระหว่างกันเอาไว้อยู่
แต่นี่เป็นแค่ความเป็นไปได้ทางทฤษฎีเท่านั้น เพราะโลกแห่งจิตสำนึกนั้นเต็มไปด้วยความวุ่นวายและไม่เป็นระเบียบ คล้ายกลับทะเลที่เต็มไปด้วยน้ำวน หากที่อยากจะหาเส้นเชื่อมต่อบางๆ ที่แอบซ่อนอยู่ใต้ทะเลนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย นอกจากนี้ยิ่งดำลงไปลึก ผลกระทบที่ได้รับจากจิตสำนึกที่วุ่นวายก็จะยิ่งมาก เพียงแค่การพยายามควบคุมตัวเองเอาไว้ให้ได้ก็แทบจะต้องใช้พลังทั้งหมดที่มีแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะแบ่งสมาธิไปไล่ตามหา ‘เส้นเชื่อมต่อ’ บางๆ เส้นนั้นเลย
วิธีนี้แม้แต่จะคิดมันก็ยังไม่เคยคิดมาก่อน
หรือว่าความเข้าใจที่มีต่อแหล่งกำเนิดเวทมนตร์ของอีกฝ่ายจะก้าวข้ามตัวเองขึ้นไปอีกขั้นแล้ว?
“น่าจะ” วัลคีรีย์ตอบช้าๆ “เพียงแต่มันก็ต้องลองดูก่อนถึงจะรู้ได้ ถ้าสามารถสัมผัสกับร่องรอยที่อีกฝ่ายทิ้งเอาไว้ได้ บางทีเราอาจจะได้คำตอบที่พวกเราอยากรู้ก็ได้”
ไม่ ต่อให้หาเจอมันก็ไม่ได้มีประโยชน์เท่าไร เฮคซอดคิดในใจ จิตสำนึกนั้นมีความซับซ้อนอย่างมาก ต่อให้เป็นจิตสำนึกของผู้ยกระดับที่เป็นพวกเดียวกันเองก็ยังต้องใช้ความพยายามอย่างมากทั้งในการค้นหา การสัมผัสและการตั้งสมมติฐานขึ้นมากว่าจะรู้ความจริงได้ แล้วนับประสาอะไรกับมนุษย์ที่เป็นสิ่งมีชีวิตต่างเผ่าพันธุ์ล่ะ ถ้าฝืนพยายามทำความเข้าใจก็มีแต่จะทำให้เกิดความสับสนและคุ้มคลั่งขึ้นมา เดิมมันคิดจะพูดความคิดนี้ออกไป แต่เมื่อเห็นเสื้อคลุมสีขาวบนตัวอีกฝ่ายแล้ว มันก็ได้แต่ต้องกลืนคำพูดเหล่านี้ลงไป
ถ้าเป็นคนอื่นก็อาจจะเป็นอย่างที่มันว่าไว้ แต่ถ้าเป็นไนท์แมร์ลอร์ดล่ะก็ เฮคซอดเองก็ไม่กล้ามั่นใจเหมือนกัน
“ตอนนี้ชิ้นส่วนสืบทอดอยู่ในความดูแลของสกายลอร์ด ถ้าเจ้าอยากลองก็ไปหามันได้” จักรพรรดิพูด
“รับทราบ” วัลคีรีย์พูดพร้อมยกมือขึ้นมาทาบที่หน้าอก “แต่ความคิดนี้เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เวลาที่ต้องใช้เองก็ไม่สามารถประมาณได้ ถ้าเกิดมนุษย์มีเส้นทางในการยกระดับเส้นใหม่จริงๆ เช่นนั้นก่อนที่พวกเราจะรู้คำตอบ มันอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายจนยากที่จะแก้ไขได้ ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิดล่ะก็ หลังสูญเสียทาคิลาไป แผนการสองแผนที่ท่านสกายลอร์ดว่าไว้ก็น่าจะเหลืออยู่แผนเดียวแล้ว? ถ้าเกิดมีปัญหาขึ้นมาอีก อย่างนั้นไม่เท่ากับเวลา 400 ปีที่พวกเราใช้เตรียมตัวมันต้องสูญเปล่าหรอกเหรอ?”
“เจ้าคิดมากไปแล้ว…” บลัดดี้คองเคอเรอร์พูดเสียงห้วนๆ
“ข้าคือคนที่จัดพิธียกระดับของอุรูค หลังจากที่มันกลายเป็นผู้ยกระดับ มันก็เรียนรู้ความรู้ที่เกี่ยวกับมนุษย์หลายๆ อย่างไปจากข้า” วัลคีรีย์หลับตาลงอีกครั้ง “พรสวรรค์ของมันแสดงออกมาให้ข้าเห็นในระหว่างที่เรียนรู้ ข้าไม่คิดว่าคำเตือนของมันจะไร้ความน่าเชื่อถือไปซะทีเดียว ดังนั้นข้าเห็นด้วยกับคำแนะนำให้เพิ่มกำลังพล”
“ข้าด้วย” ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์พูดสำทับ
จักรพรรดินิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะมองไปทางผู้บังคับบัญชาแนวหน้าอย่างบลัดดี้คองเคอเรอร์ “เจ้าสามารถส่งกำลังทหารไปช่วยเหลือสกายลอร์ดเพิ่มอีก 10 เท่าจากที่มีอยู่ในตอนนี้โดยไม่ให้กระทบต่อแนวป้องกันทั้งหมดได้ไหม?”
“จักรพรรดิ…”
“ข้าแค่ถามว่าได้หรือว่าไม่ได้”
ภายในโถงเงียบไปทันที
แต่หลังจากนั้นครู่หนึ่ง กลับกลายเป็น ‘เดอะแมสก์’ ที่เอ่ยปากพูดออกมาเป็นคนแรก นี่ทำให้เฮคซอดรู้สึกแปลกใจ “ได้ขอรับ จักรพรรดิ ข้าทำได้! ขอเพียงท่านมอบทรัพยากรในการวิจัยให้ข้ามากพอ ข้าก็สามารถสร้างร่างซิมไบออนท์ที่แข็งแกร่งกว่าแล้วก็มีความหลากหลายมากกว่าขึ้นมาได้ ระยะเวลาในการเติบโตของพวกมันจะไม่ถูกจำกัดโดยร่างมาเธอร์ออฟโซล เรื่องความสามารถในการรบก็สูงกว่าร่างระดับต้นมาก ถ้าจะผลิตให้ได้กำลังพลสิบเท่ามันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ พวกมันไม่สร้างผลกระทบใดๆ ต่อแนวหน้าด้วยขอรับ!”
“แต่แบบนั้นมันจะสิ้นเปลืองหินอาญาสิทธิ์อย่างมาก” เฮทริตพูดขึ้นมาอย่างกังวล “ถ้าควบคุมได้ไม่ดี มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการทำลายรากฐานของตัวเองเลย”
“ขอเพียงบดขยี้แมลงพวกนั้นได้ ความสูญเสียเหล่านี้เราก็สามารถชดเชยกลับคืนมาได้!”
“เจ้าแน่ใจนะว่าจะสร้างได้ทันตามแผนการ?” บลัดดี้คองเคอเรอร์พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
เดอะแมสก์ลังเลเล็กน้อย “จริงอยู่ที่การจะสร้างร่างซิมไบออนท์ขึ้นมาทีเดียวสิบเท่านั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบาก แต่การตอบสนองของพวกแมลงไม่มีทางที่จะเร็วขนาดนั้นแน่ ถ้าสามารถบดขยี้พวกมันได้ด้วยกำลัง 5 เท่า แบบนั้นเราก็จะมีทรัพยากรเหลือไว้ให้ใช้อีกครึ่งหนึ่ง ซึ่งมันก็ดีกว่าไม่เหลืออะไร…”
“เอาล่ะ” จักรพรรดิตัดการสนทนาของทุกคน “อย่างนั้นก็ทำตามแผนที่ว่านี้แหละ ไม่ว่ายังไง เผ่าพันธุ์ของเราก็ไม่อาจปล่อยให้มนุษย์ใช้ชีวิตต่อไปบนดินแดนรุ่งอรุณต่อไปอีก 400 ปีได้ สงครามแห่งโชคชะตาครั้งนี้ พวกเราต้องยึดทั้งทวีปมาให้ได้!”
“น้อมรับพระบัญชา!” ปีศาจทุกตัวต่างก้มหน้าลง
………………………………………………………………………………