Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1175 จดหมายของอุรูค
ณ โถงหลักของเมืองชายแดนที่สาม
ในขณะที่โรแลนด์พาเหล่าเจ้าหน้าที่และแม่มดเดินออกมาจากอุโมงค์ใต้ดินแคบๆ เขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องแปลกๆ ดังขึ้นมา
“นี่มัน…” เวนดี้พูดขึ้นมาด้วยความแปลกใจ
“เสียงร้องของคาบราดาบี” ฟิลลิสที่เป็นคนนำทางตอบออกมา “หลังจากที่รู้ว่าอุรูคแพ้สงคราม มันก็เสียสติไปทันที ไม่เพียงแต่จะสูญเสียท่าทีนิ่งเงียบก่อนหน้านี้ไป แต่มันยังพยายามที่จะฆ่าตัวตายหลายครั้งด้วย พวกเราพยายามอยู่นานกว่าจะทำให้มันอยู่นิ่งได้”
“ข้าพลันรู้สึกว่าการปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลวเหมือนกัน” ทิลลีพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“สถานการณ์ตอนนี้มันจำเป็นต้องมีชีวิตอยู่” ฟิลลิสพยักหน้าโดยไม่ปิดบัง “การค้นพบจดหมายลับครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดีมากที่พวกเราจะได้เข้าใจศัตรูมากขึ้น แล้วก็เรียนรู้ตัวอักษรและภาษาของพวกมันได้ ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่สมาพันธ์เฝ้าใฝ่ฝันมาโดยตลอด”
“คิดไม่ถึงว่าคาบราดาบีจะให้ความร่วมมือกับพวกเจ้าด้วย” ไนติงเกลอุทานออกมา
“เปล่า มันไม่ได้ให้ความร่วมมือ เรื่องนี่มันค่อนข้างซับซ้อน…เดี๋ยวพวกเจ้าได้เห็นก็จะเข้าใจเอง”
ทุกคนเดินมาถึงแท่นสอบสวน ก่อนจะเห็นร่างทหารอาญาสิทธิ์ที่ถูกปีศาจระดับสูงยึดครองร่างเอาไว้อยู่ถูกมัดเอาไว้กับเสาเหล็กที่ตั้งขึ้นมา ตรงท้องมีท่อเสียบเอาไว้อยู่ หนังตาของมันถูกบังคับให้ลืมขึ้น ตรงหน้ามีกระดาษที่เขียนตัวอักษรแปลกๆ วางตั้งอยู่
“นี่คือ…จดหมายลับที่แอคเซียทำให้ปรากฏขึ้นมาใหม่เหรอ?” เวนดี้ถาม
“ใช่ ตำแหน่งที่พบนั้นอยู่กลางอากาศ ถ้าไม่เป็นเพราะเมซี่ตาไว ทุกคนก็คงจะพลาดภาพที่สำคัญที่ไปแล้ว” คนที่ตอบคืออกาธา สีหน้าของเธอดูค่อนข้างขาวซีด ขอบตาคล้ำนิดหน่อย ดูเหมือนเธอจะอดหลับอดนอนเพื่อที่จะอ่านจดหมายอันนี้
หลังรู้ว่าสงครามจบลงแล้ว โรแลนด์ก็รีบส่งทีมนักสำรวจของเนเวอร์วินเทอร์ไปยังแนวหน้าเพื่อช่วยกองทัพเก็บรวบรวมข้อมูลข่าวสารสำคัญที่ปกติยากจะหาเก็บรวบรวมมาได้ทันที เมื่อเทียบกับคำพูดที่มันพูดต่อหน้ามนุษย์แล้ว เงื่อนงำที่พวกมันเผลอทิ้งเอาไว้โดยไม่รู้ตัวแบบนี้ดูมีความน่าเชื่อถือมากกว่า
เนื่องจากพลังเวทมนตร์ของแอคเซียมีอยู่จำกัด การย้อนเวลาหลังๆ จึงเน้นไปที่การต่อสู้ระหว่างศัตรูและหน่วยซุ่มโจมตี แล้วก็ผู้พิฆาตเวทมนตร์ทำอย่างไรจึงสามารถวางกำลังซุ่มโจมตีโดยหลอกการตรวจสอบของซิลเวียไปได้
แต่สิ่งที่ได้รับกลับมากลับเหนือความคาดหมายของเขาไปมาก
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าในคืนที่สองก่อนศึกตัดสิน อุรูคจะไปยืนอยู่บนปีศาจโครงกระดูกยักษ์ แล้วก็เขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมาท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่กำลังตกดิน
แต่ภาพเหตุการณ์นี้ก็ได้ถูกการย้อนเวลาของแอคเซียจับภาพเอาไว้ได้
“อ๊ากกกกกก…..!” คาบราดาบีส่งเสียงกรีดร้องขึ้นมาอีก มันพยายามที่จะบิดร่างกาย เหมือนอยากจะหันหน้าไปอีกทางหนึ่ง
อกาธาหันไปพยักหน้าให้บรีส อีกฝ่ายกระทืบเท้า ปีศาจระดับสูงหุบปากลงทันที
“อย่างนี้นี่เอง พวกเจ้าใช้บรีสในการควบคุมความเคลื่อนไหวของมัน บีบบังคับให้มันอ่านจดหมายลับเหรอ?” ไนติงเกลถามขึ้นมา
‘จากนั้นก็ใช้การเชื่อมต่อทางวิญญาณของเลดี้อกาธาในการแสดงความรู้สึกแวบแรกของมันตอนที่เห็นตัวหนังสือออกมา’ เซลีนพูดเสริม ‘ถึงแม้เจ้านี่จะพยายามทำให้จิตสำนึกของตัวเองสับสน แต่ขอเพียงเปลี่ยนเนื้อหาในจดหมาย แล้วก็เอามาเทียบดูหลายๆ ครั้ง เราก็จะรู้ได้ว่าอันไหนคือข้อความจริง อันไหนคือข้อความที่แต่งขึ้นมา บอกตามตรง ที่ข้าคิดถึงวิธีนี้ได้ก็เป็นเพราะฝ่าบาท’
“ข้า?” โรแลนด์งุนงง
‘พระองค์ทรงเขียนเอาไว้ในหนังสือชีววิทยาระดับกลางว่าขอเพียงให้หมามองเห็นชิ้นเนื้อ ไม่ว่ามันจะกินชิ้นเนื้อนั้นลงไปในท้องหรือไม่ ในกระเพาะของมันก็จะมีน้ำย่อยออกมา และการตอบสนองที่มีเงื่อนไขเช่นนี้ก็คือคุณลักษณะที่มีอยู่ทั่วไปในสิ่งมีชีวิต ตอนนี้ดูเหมือนปีศาจเองก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน’
‘และก็ด้วยวิธีนี้ พวกเราถึงได้รวบรวมเอาเนื้อหาที่อยู่ในหัวสมองของปีศาจระดับสูงที่ไม่ยอมให้ความร่วมมือออกมาได้ แล้วก็ทำความเข้าใจตัวอักษรของพวกมัน ถ้าไม่มีเลดี้คามิล่าคอยช่วยเหลือ เกรงว่าขั้นตอนนี้คงจะต้องใช้เวลาอีกนาน’ พูดจบเธอก็หันไปโบกหนวดหลักให้คามิล่าเพื่อแสดงความขอบคุณ
“ข้าก็แค่…อยากจะช่วยท่านทิลลีเท่านั้น” อีกฝ่ายกัดริมฝีปาก
นี่แหละคือแม่มด ความสามารถหลากหลายแต่กลับเต็มไปด้วยข้อจำกัด…โรแลนด์คิดในใจ จุดเด่นที่ซ้ำกันทำให้ไม่มีใครที่จะเลียนแบบพวกเธอได้ ถ้าขาดความสามารถที่สำคัญยางความสามารถไป บางทีพวกเธออาจจะอยู่ไม่รอดมาเป็นเวลาหลายร้อยปีก็ได้ บางทีในสงครามแห่งโชคชะตาสองครั้งที่ผ่านมาอาจจะมีแม่มดที่ีมีความสามารถเหมือนอย่างคามิล่าอยู่ แต่พวกเธออาจจะเกิดไม่ถูกเวลา ตอนที่ตื่นรู้ขึ้นมาสถานการณ์ก็ตกอยู่ในความวุ่นวายแล้ว มนุษย์จึงไม่สามารถจับปีศาจระดับสูงแบบมีชีวิตมาได้อีก
อุรูคก็น่าจะคิดเช่นนี้เหมือนกัน มันถึงได้ให้ความสำคัญกับการสังหารแม่มดขนาดนี้ แต่ในสายตาของปีศาจ…แอชเชส ซิลเวียกับคนอื่นๆ นั้นมีค่ามากพอที่จะเทียบกับทาคิลาได้เหรอ? เสาโอเบลิสต้องใช้สายแร่หินอาญาสิทธิ์ในการตั้งมันขึ้นมา ทันทีที่ัมันตั้งขึ้นมาบนทาคิลา หมอกแดงที่ถูกผลิตออกมาอย่างต่อเนื่องก็จะปกคลุมมาถึงปากทางเข้าเทือกเขาสิ้นวิถี เมื่อถึงตอนนั้นอสูรสยองก็จะข้ามเขามาได้ง่ายๆ แล้วก็บุกเข้ามาในสี่อาณาจักรใหญ่ ถ้ามนุษย์อยากจะขับไล่ปีศาจออกไปจากที่ราบลุ่มก็คงจะยากแล้ว
และนี่ก็เป็นสิ่งที่ทีมที่ปรึกษากับแม่มดทาคิลาต่างเห็นพ้องต้องกัน
ทำไมอีกฝ่ายถึงได้วิเคราะห์ผิดไปขนาดนี้ สาเหตุบางทีอาจจะอยู่ในจดหมายนี้
“อย่างนั้นพวกเจ้าลองเล่าสิ่งที่แกะออกมาจากในจดหมายให้ข้าฟังหน่อย” โรแลนด์ค่อยๆ พูด
….
เนื่องจากประโยคเหล่านี้เป็นประโยคที่รวมขึ้นมาจากการแกะเอาความหมายของคำแต่ละคำมารวมกัน ทำให้เนื้อหาในจดหมายไม่สมบูรณ์ เวลาอ่านบางทีจะขาดๆ หายๆ แต่นี่ก็เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนเข้าใจความหมายของมัน เมื่อเซลีนเอาข้อความเหล่านั้นส่งเข้ามาในหัวของเขา โรแลนด์พลันรู้สึกเหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังมากระซิบอยู่ข้างๆ หูตน
‘ท่านสกายลอร์ด ศึกตัดสินใกล้จะเริ่มแล้ว…ข้าได้เตรียมพร้อมแล้ว ไม่ว่าจะเตรียมพร้อมสำหรับศัตรู หรือว่าเตรียมพร้อมสำหรับตัวเอง’
‘ในช่วงหนึ่งเดือนนี้ ข้าได้ยินเสียงเรียก…อยู่บ่อยครั้ง สัญญาณที่ชัดเจนขนาดนี้ บางทีข้าอาจจะยกระดับในศึกครั้งนี้ก็เป็นได้…’
‘ข้ารู้ว่าการทำเช่นนี้จะทำให้ท่านไม่พอใจ แต่ว่ามันจะไม่ส่งผลกระทบถึงแผนการทางตะวันตกของท่านแน่นอน’
‘ถ้าหากสำเร็จล่ะก็ ศัตรูจะสูญเสียกำลังสำคัญของพวกมันไป แล้วพวกเราก็จะเป็นฝ่ายได้เปรียบในสนามรบอีกครั้ง’
‘…เพิ่มกำลังทหารสิบเท่า มนุษย์จะต้องพ่ายแพ้แน่นอน….’
‘แต่ศึกครั้งนี้มันก็ไม่ใช่ว่าไม่มีความเสี่ยง ถ้าหากข้าพ่ายแพ้ล่ะก็….’
‘ขอให้ท่านมองว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นคู่ต่อสู้ที่ทัดเทียมกับเผ่าพันธุ์เรา และทุ่มกำลังทั้งหมดเพื่อบดขยี้พวกมัน ต่อให้ต้องทิ้งหุบเหวฟาทอมเลสก็ตาม’
‘…ขอเพียงได้ชิ้นส่วนสืบทอดของพวกมันมา พวกเราก็จะมีความหวังในการเอาชนะอาณาจักรซีสกาย’
‘สุดท้ายฝากความเคารพไปถึงท่านจักรพรรดิและท่านไนท์แมร์ด้วยขอรับ’
หลังจดหมายของอุรูคแสดงขึ้นมาจนจบ โรแลนด์ก็รู้สึกได้ถึงเหงื่อเย็นๆ บนแผ่นหลังของเขา
ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าทำไมฟิลลิสถึงได้รีบขนาดนั้น
เมื่อดูจากผลในตอนนี้ อีกฝ่ายนั้นพ่ายแพ้ไปแล้วอย่างแน่นอน มันไม่เพียงแต่จะไม่สามารถกำจัดหน่วยซุ่มยิงได้ แต่มันยังต้องมาตายด้วยน้ำมือแอชเชสด้วย
แต่นี่ก็หมายความว่าสถานการณ์ถูกนำไปสู่สมมติฐานอย่างที่สอง
ถึงแม้จะยังมีจุดที่ยังไม่เข้าใจอยู่ แต่ก็ยังเข้าใจถึงความหมายของทั้งประโยคได้ มันเหมือนจะบอกให้เผ่าพันธุ์ของมันทิ้งการสู้กับอาณาจักรซีสกาย แล้วมันมาทุ่มกำลังสู้กับมนุษย์อย่างเต็มที่?
บ้าเอ้ย…นี่มันอะไรกันเนี่ย!
โรแลนด์รู้สึกได้ถึงความกดดันที่หนักอึ้งเหมือนภูเขา เกรงว่านี่อาจจะเป็นข่าวร้ายที่สุดนับแต่ที่ทำสงครามมาแล้ว
“เกรงว่าแผนการพัฒนาที่ราบลุ่มบริบูรณ์คงต้องล้มเลิกไปก่อนซะแล้ว” เวนดี้พูดงึมงำขึ้นมา
“ถ้าศัตรูทุ่มกำลังทั้งหมดมาจริงๆ การจะเอาเขตที่อยู่อาศัยไปอยู่ด้านนอกแนวป้องกันสิ้นวิธีนั้นค่อนข้างเสี่ยงเกินไป”
“แต่ว่าพวกมันจะแก้ไขเรื่องหมอกแดงยังไง?”
“ถ้าปีศาจเอาเสาโอเบลิสไปตั้งไว้ที่เมืองสตาร์ฟอลก็จะพอลดแรงกดดันของแนวหน้าไปได้”
“แต่แบบนั้นหมอกแดงก็จะไม่สามารถปกคลุมไปทั่วทั้งที่ราบลุ่มได้ ดังนั้นพวกเราก็ยังยื้อไปถึงสงครามแห่งโชคชะตาครั้งหน้าได้ นี่มันก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากแผนการก่อนหน้านี้ใช่ไหมล่ะ”
“สิ่งที่ต่างกันก็คือสิ่งที่เราต้องเจอหลังจากนี้ก็คือกองทัพปีศาจแบบเต็มรูปแบบน่ะสิ”
“ไม่…” ในขณะที่ทุกคนกำลังถกถึงแผนรับมือด้วยสีหน้าคร่ำเครียด จู่ๆ เอดิธส์พลันพูดขึ้นมา “เนื้อหาในจดหมาย…มันแปลกๆ”
……………………………………………………………….