Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1182 แอบแฝงตัวเข้าไป
ตอนที่เอาใบอนุญาตไล่ล่ามาให้ฉัน เธอไม่ได้พูดแบบนี้นี่นา โรแลนด์แอบบ่นกับตัวเอง “ทำไมรู้สึกเหมือนคนที่เธอแนะนำมาจะเป็นพวกยุคใหม่ทั้งหมดเลย? ภารกิจกวาดล้างแบบนี้ มันควรจะให้พวกยุคเก่ามาเป็นหัวหอกไม่ใช่เหรอ?”
“จริงอยู่ที่คนของยุคเก่ามีเยอะกว่า แต่ว่า….” การ์เซียชี้ไปยังคนที่ดูภายนอกแล้วเหมือนคนทั่วๆ ไป “พวกเขาแทบจะไม่มีข้อมูลอะไรเลย ปกติเวลาไปไหนมาไหนก็เรียกได้ว่าเป็นความลับ นอกจากคนที่รับผิดชอบติดต่อพวกเขาแล้ว สมาชิกในสมาคมคนอื่นๆ รู้เรื่องของพวกเขาน้อยมาก ถึงฉันอยากจะแนะนำก็ไม่รู้ว่าควรจะแนะนำยังไง”
โรแลนด์แอบกุมขมับ ถ้าไม่เป็นเพราะอีกฝ่ายชี้ให้เขาดู เขายังนึกว่าคุณลุงวัยกลางคนพวกนั้นเป็นคนขับรถหรือไม่ก็ผู้ช่วยของพวกผู้ฝึกยุทธ์ชื่อดังเหล่านั้นเสียอีก ยังไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องความสามารถ เอาแค่หน้าตากับการแต่งตัวก็เรียกได้ว่าแตกต่างกันอย่างมากแล้ว การที่ไม่เข้าร่วมงานประลองยุทธ์ไม่ได้หมายความว่าต้องปล่อยเนื้อปล่อยตัวนี่นา! เมื่อคิดถึงว่าตัวเองต้องกลายเป็นตัวแทนของกลุ่มคุณลุงเหล่านี้ จู่ๆ เขาก็มีความคิดที่อยากจะออกจากกลุ่มมา
ตอนนี้ไปลงชื่อแข่งประลองยุทธ์รอบคัดเลือกยังทันไหมเนี่ย?
ทันใดนั้นเอง รถบัสสีดำคันหนึ่งก็ขับเข้ามาในลานจอดรถ
“นั่นรถของเมืองปริซึม” การ์เซียพูด “ไปกันเถอะ”
“อื้อ” โรแลนด์ตบไหล่ขวาของตัวเอง นี่เป็นสัญญาณเพื่อบอกให้เหล่าแม่มดตามมา ขอเพียงยังมีแมลงของฟาลดี้ติดอยู่บนตัวเขา พวกแม่มดก็ไม่มีทางพลาดเป้าหาย
หลังขึ้นไปบนรถบัส ทั้งสองคนก็เดินตรงไปนั่งที่แถวหลังสุด
“ตรงนี้แหละที่เหมาะกับฉันที่สุด” โรแลนด์นั่งเอนตัวไปบนเก้าอี้พร้อมอ้าขา “นั่งอยู่ตรงนี้เหมือนกับเป็นราชาเลย แถมยังเห็นความเคลื่อนไหวทุกอย่างในรถด้วย”
“อยากอยู่คนเดียวก็บอก” การ์เซียพูดขัด
“……” เธอนี่ชอบขัดตลอดเลย! “เหมือนฉันจะไม่ได้ขอให้เธอมานั่งด้วยนะ”
“รุ่นน้องออกมาทำภารกิจครั้งแรก รุ่นพี่ก็ต้องมาคอยดูแลสิ”
ในขณะที่ทั้งคู่กำลังเขม่นกันอยู่นั้น ภายในรถพลันมีเสียงดังโหวกเหวกขึ้นมา
“คุณเฟยอวี่หาน ข้างผมมีที่ว่าง”
“อวี่หาน มานั่งข้างฉันสิ!”
เมื่อหญิงสาวที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะเดินขึ้นมาบนรถ ทุกคนต่างก็พากันส่งเสียงเชิญชวนออกมา
“ดูแล้วถึงจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ชื่อดังเหมือนกันหมด แต่กลับได้รับความสนใจไม่เท่ากันนะเนี่ย…” โรแลนด์อุทานออกมา
“ใช่” ทั้งสองคนเห็นพ้องต้องกันในจุดนี้
แต่ว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องแปลกใจก็คือเธอไม่ได้ตอบรับคำเชิญเชิญของใครเลย หากแต่เดินตรงมานั่งด้านหลังรถ
“ตรงนี้มีใครนั่งไหม?”
เฟยอวี่หานชี้ไปยังที่นั่งข้างโรแลนด์พร้อมถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
การ์เซียมองดูเธอด้วยสีหน้าประหลาดใจแล้วก็หันมามองโรแลนด์ เหมือนกำลังพยายามทำความเข้าใจเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งสองคนอยู่
ส่วนโรแลนด์เองก็งุนงงเหมือนกัน เขาไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ สายตาทุกคู่ภายในรถกำลังจับจ้องมาที่เขา โรแลนด์กระแอมขึ้นมาอย่างลนลานพร้อมกับพูดว่า “ไม่มี”
“ขอบคุณ” เฟยอวี่หานพยักหน้า ก่อนจะนั่งลงไปข้างๆ เขา “สวัสดี ฉันเฟยอวี่หาน ยินดีที่ได้รู้จัก หรือพูดอีกอย่างก็คือ…เราเคยเจอกันแล้ว ภารกิจครั้งนี้ช่วยชี้แนะด้วยนะคะ”
“เอ่อ ผมคงไม่กล้าไปชี้แนะอะไรหรอกครับ ผมโรแลนด์ คนนี้คือ…คุณการ์เซีย”
หลังแนะนำตัวเสร็จแล้ว บรรยากาศก็นิ่งเงียบไปทันที
น่าจะเป็นเพราะรู้ว่าความสามารถในการได้ยินของผู้ฝึกยุทธ์นั้นมีความเฉียบคมอย่างมาก การ์เซียจึงไม่ได้พูดอะไรอีก หากแต่ก้มหน้าเล่นมือถือ ส่วนตัวเฟยอวี่หานนั้นนั่งตัวตรง ร่างกายมีรังสีเยือกเย็นที่ทำให้คนอื่นไม่กล้าเข้าใกล้แผ่ออกมา ดูแล้วไม่เข้ากับอายุของเธอเลย โรแลนด์ที่นั่งอยู่ตรงกลางระห่างทั้งสองคนนั้นรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ เดิมทีเขามานั่งแถวสุดท้ายก็เพราะไม่ต้องการเป็นที่สนใจ แต่ตอนนี้ดูเหมือนทั้งรถจะไม่มีใครที่ไม่สังเกตเห็นเขาแล้ว
ความรู้สึกกระอักกระอ่วนจากการถูกจ้องมองค่อยๆ เบาบางลงหลังจากที่รถเคลื่อนตัวออกไป
ในขณะที่เขากำลังคิดจะขอแลกที่กับการ์เซีย เฟยอวี่หานพลันหันหน้ามาพูดว่าเบาๆ ว่า “…ฝ่าบาท?”
“ตุ๊บ”
มือถือของการ์เซียตกพื้นไปทันที
โรแลนด์เองก็ตกตะลึง เขาจ้องมองอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากออกมาว่า “เธอ…”
“สวัสดียามบ่ายครับทุกท่าน ผมคือ Co2 เป็นผู้ประสานงานในเรื่องข้อมูลและการสนับสนุนในปฏิบัติการครั้งนี้ ทุกท่านเรียกผมว่า o2 ก็ได้” ยังไม่ทันที่โรแลนด์จะถามออกไป ผู้ชายสวมชุดสูทคนหนึ่งก็ถือไมโครโฟนพูดแทรกขึ้นมา “ในช่วงเวลาหลังจากนี้ ผมจะอธิบายแผนการและเป้าหมายของปฏิบัติการกวาดล้างครั้งนี้ให้ฟังอย่างละเอียด หากมีข้อสงสัยอะไรก็เชิญถามมาได้เลยนะครับ”
นี่ทำให้โรแลนด์ต้องเงียบไปก่อน และทุ่มสมาธิไปที่ตัวผู้ประสานงาน
“จากข้อมูลที่ได้รับมา ในช่วงนี้พวกฟอลเลนอีวิลเหมือนจะมีความเคลื่อนไหวแปลกๆ มากขึ้น แล้วก็เริ่มมีแนวโน้มว่าจะเคลื่อนไหวกันเป็นกลุ่ม ในบันทึกที่ผ่านมา นี่หมายถึงการใกล้เข้ามาของการกัดกิน และทางสมาคมก็ได้ข่าวที่น่าเชื่อถือมาว่าพวกฟอลเลนอีวิลจะจัดงานรวมตัวกันที่โรงงานร้างแห่งหนึ่งที่อยู่ทางชานเมืองทิศใต้ เป้าหมายยังไม่แน่ชัด แต่นั่นจะต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่”
“บางทีพวกมันอาจจะมาทำความรู้จักกันเฉยๆ ก็ได้”
คำพูดของลั่วฮว่าเรียกเสียงหัวเราะขึ้นมาได้
“ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงจะดี” ชายใส่สูทไม่ได้แสดงสีหน้าหงุดหงิดออกมา “แต่เสียดายที่ฟอลเลนอีวิลนั้นเป็นศัตรูที่ร้ายกาจของพวกเรา ดังนั้นสังหารพวกมันให้หมดจะดีกว่า โรงงานร้างแห่งนั้นมีถนนใต้ดินที่ตรงเข้าไปยังโรงงานอยู่เส้นหนึ่ง แต่ว่าหลังโรงงานปิดตัวไป ถนนนี้ก็ถูกปิดไป สมาคมได้เปิดทางลับนี่ขึ้นมาใหม่เมื่อสองวันก่อน ทำให้พวกเราสามารถเข้าไปถึงใจกลางของพวกศัตรูได้ เพื่อไม่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ปฏิบัติการนี้จึงถูกกำหนดเวลาเอาไว้ตอนสามทุ่มตรง อุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ก็จะทำการแจกจ่ายให้ตอนลงจากรถ”
“นอกจากนี้กองทัพของรัฐบาลก็จะให้ความร่วมมือกับเราในปฏิบัติการครั้งนี้ด้วย เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้พวกฟอลเลนอีวิลหนีรอดออกไป แต่มีเพียงผู้ตื่นรู้พลังแห่งธรรมชาติเท่านั้นถึงจะสร้างความเสียหายให้กับสัตว์ประหลาดพวกนี้ได้ ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงต้องแบ่งออกเป็นสองทีม ทีมหนึ่งรับผิดชอบในการจัดการกับฟอลเลนอีวิล ส่วนอีกทีมหนึ่งรับผิดชอบไล่ล่าพวกที่เล็fรอดออกมา รายชื่อของแต่ละทีมได้ถูกเอาไว้ที่ด้านล่างของเก้าอี้แต่ละท่านแล้ว ถ้าไม่มีปัญหาอะไร พวกเราก็จะปฏิบัติการตามแผนการนี้…”
…..
น่าสนใจจริงๆ เฟยอวี่หานพลิกดูรายชื่อด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่ภายในใจเธอกลับไม่ได้จดจ่ออยู่บนกระดาษ หากแต่คิดซ้ำไปซ้ำมาถึงสีหน้าของโรแลนด์ในตอนที่ได้ยินคำว่า ‘ฝ่าบาท’
คนปกติถ้าถูกเปิดโปง สิ่งแรกคนเหล่านั้นจะแสดงออกมาก็น่าจะเป็นความขายหน้าและความโกรธ ถึงแม้น้อยคนนักที่จะแสดงความโกรธออกมาต่อหน้าเธอ แต่ขอเพียงอีกฝ่ายไม่ได้มีการเตรียมตัวมาก่อนล่วงหน้า เธอก็เชื่อว่าตัวเธอไม่มีทางพลาดสีหน้าที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่ายแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม
แต่บนสีหน้าของอีกฝ่าย สิ่งที่เธอมองเห็นกลับเป็นสีหน้าที่มีความสับสน
ทั้งแปลกใจ ทั้งระมัดระวัง ทั้งสงสัย แล้วก็มีความรู้สึกดีใจอยู่เล็กน้อย…มีอยู่ชั่วแวบหนึ่งที่เธอสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายอ้าปากขึ้นมาเหมือนกำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่สุดท้ายคำพูดนั้นก็ไม่หลุดออกมา เมื่อวิเคราะห์จากรูปปากแล้ว มันน่าจะเป็นคำว่า ‘เอ’
ปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนั้นมันยากที่จะใช้หลักการทั่วๆ ไปมาอธิบายได้ ดูก็รู้ว่าโรแลนด์นั้นเพิ่งจะรู้จักเธอเป็นครั้งแรก ไม่ว่าจะปฏิเสธหรือตอบรับ เขาก็ไม่ควรจะที่พูดคำๆ นี้ออกมา
ยิ่งไปกว่านั้นเธอมองไม่เห็นความกระอักกระอ่วนใจอยู่ในสีหน้าของเขาเลย หรือว่าเขาจะเคยชินกับคำเรียกนี้มานานแล้ว?
เฟยอวี่หานอดถึงไปถึงคำพูดที่เธอได้ยินในงานเลี้ยงเมื่อครั้งที่แล้วขึ้นมาไม่ได้ ในตอนนั้นเธอมองว่าคำพูดนี้เป็นคำพูดที่เด็กสาวพวกนั้นพูดเล่นกัน แต่ในตอนนี้เธอกลับรู้สึกไม่ค่อยแน่ใจเท่าไร
ราชา…ของสองโลกอย่างนั้นเหรอ?
ถ้าจะบอกว่าความสงสัยในตอนแรกนั้นเป็นเพราะแค่อยากจะพิสูจน์ความสามารถของเธอและเขา แต่ตอนนี้สิ่งที่ทำให้เธอยิ่งรู้สึกสนใจมากขึ้นไปอีกก็คือตัวของโรแลนด์
การที่ตัดสินใจมาเข้าร่วมภารกิจกวาดล้างครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่ถูกจริงๆ ด้วย เธอคิดในใจ อาจารย์เคยบอกว่าประวัติศาสตร์ของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์นั้นยาวนานเกินกว่าที่เธอจะจินตนาการได้ ความลับที่สมาคมปิดบังเอาไว้อยู่มีมากมายกว่าดวงดาวบนท้องฟ้า ความลับบางส่วนนั้นมีความเกี่ยวข้องกับจุดกำเนิดของโลก เพียงแต่มีน้อยคนเท่านั้นที่จะล่วงรู้ความลับนี้
การที่ฉีกกฏมอบใบอนุญาตไล่ล่าให้กับสมาชิกหน้าใหม่จะเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้ด้วยหรือเปล่านะ?
เมื่อคิดถึงท่าทีเฝ้าระวังที่อีกฝ่ายแสดงออกมา เฟยอวี่หานจึงสะกดความคิดที่จะถามต่อไปเอาไว้ ก่อนที่จะได้รับคำตอบที่แน่ชัด เธอไม่อยากจะผิดใจกับโรแลนด์
ขอเพียงเปิดประเด็นไปแล้ว ต่อไปก็ต้องมีโอกาสได้พูดคุยกันซักวัน ค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า
….
หลังจากนั้นสองชั่วโมง รถบัสก็มาถึงปลายทางของถนนใต้ดิน
ผู้ฝึกยุทธ์แบ่งออกเป็นสองทีมตามที่วางแผนเอาไว้ ก่อนจะเข้าไปยังพื้นที่โรงงานผ่านทางทางออกฉุกเฉินที่เตรียมเอาไว้ และเข้าไปยังจุดหมายที่ตัวเองรับผิดชอบตามจุดที่ระบุเอาไว้บนแผนที่
โรแลนด์กับเฟยอวี่หานนั้นเป็นสมาชิกของทีมบุกโจมตีอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนการ์เซียนั้นถูกจัดให้ไปอยู่ในทีมเก็บกวาด หลังบอกให้โรแลนด์ระวังตัวเสร็จเรียบร้อย เธอก็หายเข้าไปในความมืดอย่างรวดเร็ว
“คนอื่นๆ ตามผมมา” คุณชายโหยวหลงที่ร่ำลือกันว่ามีฝีมือทัดเทียมกับ ‘ผู้คุม’ ถูกเลือกให้เป็นหัวหน้าทีมเหมือนอย่างที่การ์เซียคิดเอาไว้ หลังจากใช้สายตาปลุกขวัญทุกคนแล้ว เขาก็เดินนำทุกคนเข้าไปในท่อระบายอากาศ
ปฏิบัติการครั้งนี้มีความรัดกุมมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้ในตอนแรก ก่อนลงจากรถ ทุกคนต่างก็ได้รับแว่นไนท์วิชั่นสำหรับมองในเวลากลางคืนมาคนละชุด นาฬิกาข้อมือที่สามารถแสดงพิกัดได้ แล้วก็เสื้อกั๊กที่มีอุปกรณ์แยกแยะพวกเดียวกันกับพวกศัตรู แล้วก็หูฟังสำหรับติดต่อกันในทีม นี่ทำให้โรแลนด์รู้สึกอิจฉาอย่างมาก ถ้ากองทัพที่หนึ่งมีอุปกรณ์แบบนี้บาง สถานการณ์ในการสู้รบตอนกลางคืนก็คงจะเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
เขาแอบนับอยู่เงียบๆ ก่อนจะพบว่าในทีมบุกโจมตีมีสมาชิกทั้งหมด 15 คน นอกจากสามคนที่การ์เซียแนะนำแล้ว สมาชิกคนอื่นๆ ที่เหลือล้วนแต่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ยุคเก่า จากจุดนี้จะเห็นได้ว่าเบื้องบนยังคงยอมรับในความสามารถของพวกเขา แต่ถ้าผลการปฏิบัติการณ์ครั้งนี้ทำให้ฝ่ายยุคใหม่ได้เปรียบล่ะก็ หลังจากนี้จะเป็นอย่างไรก็คงพูดได้ยาก
แน่นอนว่าโรแลนด์นั้นไม่ได้สนใจที่จะเข้าไปยุ่งกับความขัดแย้งของฝ่ายยุคใหม่กับยุคเก่า แต่เขาก็แอบรู้สึกอยากรู้เหมือนกันว่าเวลาที่ต้องเจอกับฟอลเลนอีวิลที่ไม่ตายไม่ยอมเลิกราพวกนั้น เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาจากการประลองยุทธจะคว้าชัยชนะได้สบายๆ เหมือนอย่างการแข่งขันหรือเปล่า
เมื่ออยู่ภายใต้กล้องไนท์วิชั่น ภาพในตอนกลางคืนไม่เพียงแต่จะไม่เป็นอุปสรรคต่อพวกเขา แต่ในทางกลับกัน มันกลับกลายเป็นเกราะกำบังที่ดีที่สุดให้กับพวกเขา ทุกคนเคลื่อนไหวอย่างไร้ซุ่มเสียงเข้าไปยังพื้นที่ชุมนุมของฟอลเลนอีวิลเหมือนวิญญาณ
……………………………………………………………..