Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1188 ผลสรุปจากการรบ
ในการประชุมอีกสองสามวันหลังจากนั้น กองเสนาธิการทหารใหญ่ได้ทำการทวนและสรุปผลของปฏิบัติการคบเพลิงจากภาพย้อนกลับของแอ็กเซียและผลจากการค้นซากเมืองทาคิลา ในทุกๆ วันจะมีรายงานไปวางเอาไว้บนโต๊ะทำงานของโรแลนด์จนกองสูงเกือบครึ่งตัวคน
รายละเอียดที่เยอะขึ้นเรื่อยๆ เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น
อย่างเช่นพวกเขาค้นพบว่าหินอาญาสิทธิ์ขนาดยักษ์ที่ปรากฏขึ้นที่ศึกนอร์ธบาวด์และศึกตัดสินเมืองทาคิลาล้วนแต่มาจากเหมืองหินอาญาสิทธิ์ใต้เมืองทาคิลา ด้านล่างเหมืองทีมนักสืบได้พบส่วนของแร่หินอาญาสิทธิ์ที่หายไป เสาหินอาญาสิทธิ์ขนาดกลางสองเสาถูกตัดออกไปครึ่งหนึ่ง ผิวหน้าตัดของมันราบเรียบอย่างมาก คล้ายกับว่าถูกอาวุธมีคมตัดไปอย่างไรอย่างนั้น
ถึงแม้บริเวณใกล้ๆ หินอาญาสิทธิ์จะไม่สามารถใช้พลังฉายภาพย้อนกลับได้ แต่เมื่อดูจากสถานการณ์โดยรวมแล้วก็ยังพอจะรู้ได้ว่ามันจะต้องเกี่ยวข้องกับปีศาจโครงกระดูกยักษ์แน่นอน ความจริงแล้วปีศาจโครงกระดูกยักษ์ไม่เพียงแต่จะเป็นเครื่องมือในการขนส่งอย่างหนึ่งเท่านั้น หากแต่มันยังเป็นเหมือนเสาโอเบลิสขนาดเล็กที่ปล่อยหมอกแดงได้ด้วย ซึ่งดินบริเวณรอบๆ ซากเมืองทาคิลาที่ถูกกัดกร่อนคือสิ่งยืนยันในข้อนี้ เมื่อเทียบกับเสาโอเบลิสที่สามารถปล่อยหมอกแดงปกคลุมไปได้หลายร้อยกิโลเมตรแล้ว ขอบเขตการปกคลุมของหมอกแดงที่ปล่อยออกมาจากปีศาจโครงกระดูกนั้นกว้างเพียงแค่ 100 – 200 เมตรเท่านั้น อีกทั้งมันยังจำเป็นต้องมีเส้นส่งหมอกแดงมาเลี้ยงตัวมันเพื่อปล่อยหมอกแดงออกมาอีกทีด้วย
ในฐานะที่เป็น ‘หอสังเกตการณ์’ ที่สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ มันจึงมีความสำคัญทางกลยุทธ์อย่างมาก ทางทีมที่ปรึกษาได้ให้ข้อสรุปออกมาว่าเมื่อเทียบกับปีศาจแมงมุมแล้ว มีความเป็นไปได้สูงที่ปีศาจร่างเปลือกขนาดใหญ่นี้จะมีจำนวนอยู่แค่ไม่กี่ตัว ไม่อย่างนั้นพวกปีศาจคงเอามันมาใช้แทนที่หอสังเกตการณ์และยึดครองทั้งที่ราบลุ่มบริบูรณ์ก่อนที่มนุษย์จะตั้งตัวได้ทันแล้ว
นอกจากนี้ อุโมงค์ที่ตั้งอยู่ด้านหลังเมืองทาคิลาส่วนใหญ่แล้วจะเป็นอุโมงค์ที่ปีศาจแมงมุมขุดขึ้นมา ถึงแม้ความสามารถในการขุดของพวกมันจะไม่สามารถเทียบกับหนอนกลืนกินได้ แต่เมื่อเทียบกับปีศาจคุ้มคลั่งแล้วก็ถือว่าดีกว่ามาก อุโมงค์เหล่านี้กระจายตัวออกมาจากเหมืองแร่หินอาญาสิทธิ์ ระดับความลึกของมันมากพอที่จะป้องกันความสามารถประเภทสอดแนมได้ บวกกับการที่พวกมันมีเวลาเตรียมตัวที่มากพอ ทำให้เป็นเรื่องจากที่จะสังเกตเห็นอุโมงค์เหล่านี้
เนื่องจากเซลีนและอกาธาต่างมองว่าปีศาจโครงกระดูกและปีศาจแมงมุมนั้นเป็นปีศาจประเภทเดียวกัน ด้วยเหตุนี้โรแลนด์จึงตั้งชื่อให้มันใหม่ว่า ‘อสูรยักษ์’ เพื่อที่จะแยกอสูรที่เป็นร่างเปลือกกับอสูรประเภทอื่น แล้วหลังจากนี้ค่อยเติมชื่อประเภทเข้าไปด้านหลัง ก็จะทำให้สามารถตั้งชื่อปีศาจประเภทเดียวกันที่ยังไม่ค้นพบได้อย่างรวดเร็ว
ตอนนี้ปีศาจร่างเปลือกสองชนิดนี้ถูกแบ่งออกเป็น ‘อสูรยักษ์ป้อมปราการ’ กับ ‘อสูรยักษ์แมงมุม’ โดยอสูรยักษ์แมงมุมจะถูกแบ่งออกเป็นประเภทขว้างเข็มหินกับขว้างปีศาจออกมา ชื่อที่ถูกต้องไม่เพียงแต่จะมีประโยชน์ต่อการซ้อมทำสงครามและออกคำสั่ง แต่มันยังทำให้ง่ายต่อการทำสถิติและจดบันทึกหลังสงครามด้วย
นอกจากการวิเคราะห์สถานการณ์บนสนามอย่างละเอียดแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่โรแลนด์ให้ความสำคัญก็คือข้อบกพร่องและจุดที่ต้องทำการแก้ไขที่ทางกองเสนาธิการทหารใหญ่ทำการเรียบเรียงออกมา
ในนั้นมีรายงานที่เอดิธส์เป็นคนเขียนออกมาด้วยตัวเอง แล้วก็เป็นปัญหาสำคัญอันดับแรกในบรรดาปัญหาจำนวนมาก นั้นก็คือเรื่องความสามารถในการสอดแนม
ถ้าตัดเรื่องการสอดแนมบนท้องฟ้าไป ในประวัติศาสตร์การรบของมนุษย์ที่ผ่านมา การทำศึกในอุโมงค์ใต้ดินซึ่งมีข้อจำกัดในเรื่องเครื่องมือการขุดและค่อนข้างเสียเวลานั้นถือเป็นเพียงแค่ลูกไม้ในการรบอย่างหนึ่งเท่านั้น มันไม่สามารถนำมาใช้เป็นวิธีการรบอย่างจริงจังได้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหนอนกลืนกินกับอสูรยักษ์แมงมุมแล้ว แนวคิดนี้ดูจะไม่ได้เป็นเพียงแค่ลูกไม้อีกต่อไป ขอเพียงรวบรวมร่างเปลือกได้มากพอ ศัตรูก็จะมีโอกาสที่จะขุดอุโมงค์ใต้ดินที่มีขนาดใหญ่พอที่จะให้กองทัพเดินผ่านได้ ด้วยเหตุนี้พื้นที่ใต้ดินจึงกลายเป็นพื้นที่อันตรายที่จำเป็นต้องทำการป้องกันด้วย
การจะพึ่งพาซิลเวียเพียงคนเดียวนั้นไม่เพียงแต่จะดูแลไม่ทั่วถึง แต่มันยังไม่คุ้มค่าอย่างมากด้วย เวลาที่ดวงตาแห่งเวทมนตร์ต้องมองทะลุสิ่งกีดความ การใช้พลังเวทมนตร์จะเพิ่งขึ้นอย่างมาก ด้วยพลังเวทมนตร์ทั้งหมดที่ซิลเวียมีอยู่ในตอนนี้ทำให้เธอมองดูเป้าหมายบนพื้นดินที่อยู่ห่างออกไปมากกว่า 10 กิโลเมตรได้ทั้งวัน แต่ถ้าให้เธอสำรวจดูใต้ดินล่ะก็ พื้นที่ที่เธอสำรวจได้ก็จะมีขนาดแค่ 1- 2 สนามฟุตบอลแล้วก็ลึกแค่ 3 – 4 เมตรเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากแม่มดอมนุษย์แล้ว พลังของแม่มดทุกคนต่างก็มีเกณฑ์การใช้พลังอยู่ ในตอนที่เงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่งเกินเกณฑ์ไป การใช้พลังเวทมนตร์จะเพิ่มขึ้นเป็นแบบยกกำลัง ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ถ้าใช้พลังไปกับเรื่องไม่เร่งด่วนจะถือเป็นการสิ้นเปลืองพลังเวทมนตร์อย่างหนึ่ง
งานเฝ้าระวังนี้จำเป็นต้องให้กองทัพที่หนึ่งเป็นคนรับผิดชอบ
โรแลนด์จำได้ลางๆ ว่าในประวัติศาสตร์เคยมีการใช้เครื่องฟังใต้ดินมาป้องกันฝ่ายตรงข้ามขุดอุโมงค์เข้ามาลอบโจมตี หลักการทำงานของมันคล้ายๆ กับหูฟังทางการแพทย์ โดยเสียงจะวิ่งผ่านดินได้เร็วกว่าอากาศ ทำให้สามารถใช้ยินเสียงอีกฝ่ายขุดอุโมงค์ได้อย่างชัดเจน
เพียงแต่วิธีนี้จะใช้ได้แค่กับอุโมงค์ที่ขุดอยู่ใกล้ๆ ฐานเท่านั้น พวกกับดักที่วางเอาไว้นานแล้วอย่างที่ทาคิลานั้นไม่สามารถใช้วิธีนี้มาแก้ปัญหาได้
เขาครุ่นคิดดูแล้วก่อนจะคิดหาวิธีที่น่าจะใช้ได้วิธีหนึ่งออกมา….นั่นก็คือการเจาะสำรวจดิน
นี่เป็นวิธีการตรวจสอบระดับความลึกที่วิศวโยธาใช้กันอย่างแพร่หลาย ในฐานะที่เขาเคยทำงานในสายวิทยาศาสตร์และวิศวะมา เขาเคยได้ยินเพื่อนร่วมงานที่เป็นวิศวโยธาพูดถึงมันอยู่บ่อยๆ พูดง่ายๆ ก็คือเป็นการใช้เหล็กเส้นตอกลงไปใต้ดิน แล้วก็ใช้ระยะของเหล็กที่ตอกลงไปใต้ดินในการวิเคราะห์ดูความอ่อนแข็งของชั้นดิน ปกติจุดที่ทำทดสอบจะมีการปักเสาไม้ห่างกันหลายเมตร ขอเพียงมีอุปกรณ์ที่ใช้ตรวจสอบ แค่คนไม่กี่คนก็สามารถตรวจสอบดูพื้นที่ได้เป็นบริเวณกว้างแล้ว ในตอนที่จู่ๆ ตัวเลขระยะของเหล็กเส้นที่จมลงไปใต้ดินเพิ่มขึ้นมา นั่นก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่ด้านล่างจะมีโพรงอยู่
หากเอาวิธีการฟังเสียงและทดสอบความลึกมาใช้ด้วยกัน มันก็จะสามารถใช้เฝ้าระวังการโจมตีจากใต้ดินโดยไม่ต้องพึ่งพาแม่มดได้
ส่วนการสอดแนมทางอากาศนั้น ถ้าไม่อยากจะพึ่งพาเมซี่กับไลต์นิ่ง หนทางเดียวก็คือต้องพึ่งอัศวินอากาศเท่านั้น
ซึ่งอัศวินอากาศจะพร้อมปฏิบัติหน้าที่นี้เมื่อไรก็คงต้องฝากความหวังเอาไว้ที่ทิลลีแล้ว
นอกจากนี้ในรายงานยังมีข้อสรุปทำนองว่า ‘พึ่งพาแนวรบมากเกินไป’ ‘ขาดความสามารถในการสนับสนุนที่รวดเร็ว’ ซึ่งข้อสรุปเหล่านี้ทำให้โรแลนด์รับรู้ได้ถึงการพัฒนาของทีมที่ปรึกษา แต่ขณะเดียวกันมันก็ทำให้เขารู้สึกจนปัญญาด้วย ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ถึงปัญหาเหล่านี้ แต่เนื่องจากเมืองเนเวอร์วินเทอร์มีข้อจำกัดในเรื่องของจำนวนประชากร มันจึงยากจะทำให้เขาแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ
สุดท้ายในรายงานจำนวนมากมีความเป็นอันหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกสนใจ มันเป็นรายงานจากทหารระดับล่างของกองทัพ คนที่ส่งมาคือทหารที่ทำหน้าที่ขนส่ง ในรายงานบอกว่าในการต่อสู้ที่หนักหน่วง ปืนกลแม็กซิมนั้นไม่ค่อยเสถียรเท่าไร หลังจบศึกแล้วมีทหารของหน่วยปืนกลหลายนายบ่นออกมา พวกเขาบอกว่าเวลาที่ต้องใช้ในการเปลี่ยนลำกล้องปืนนั้นนานกว่าเวลาที่ใช้ในการยิงปืนเสียอีก ซึ่งนี่ได้สร้างภาระให้กับทีมขนส่งไม่น้อย หากเป็นไปได้ พวกเขาอยากจะให้ทำการปรับเปลี่ยนมันให้ดีขึ้น
นี่เป็นครั้งแรกที่โรแลนด์ได้รับรู้ความรู้สึกของทหารจากแนวหน้าหลังจากที่จัดตั้งระบบรับฟังความคิดเห็นขึ้นมา ในฐานะที่เป็นผู้ที่ใช้อาวุธนั้นโดยตรง พวกเขาย่อมต้องเป็นคนรู้เรื่องข้อดีข้อเสียของอาวุธดีที่สุด
ความจริงในตอนที่สถานีหมายเลขหนึ่งถูกลอบโจมตี เขาก็สังเกตเห็นแล้วว่าลำกล้องปืนที่เสียมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น แต่ว่าเนื่องจากชิ้นส่วนเหล่านี้สามารถเอากลับมาเข้าเตาหลอมแล้วขึ้นรูปใหม่ได้ ในตอนนั้นเขาจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก แต่ตอนนี้เมื่อมาคิดดูแล้ว ที่จำนวนลำกล้องปืนที่เสียมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น มันน่าจะเป็นเพราะคนยิงขาดประสบการณ์กับความกดดันจากทางฝั่งศัตรูที่เพิ่มมากขึ้น การทำศึกในเวลากลางคืนนั้นยิ่งทำให้ทหารวิตกกังล บวกกับยากที่จะมองเห็นผลจากการยิง จึงทำให้พวกเขาแทบจะกดไกปืนค้างเอาไว้ตลอด ส่วนลำกล้องปืนที่ใช้อากาศในการระบายความร้อนก็มีอายุการใช้งานสั้นกว่าลำกล้องปืนที่ใช้น้ำในการระบายความร้อน ในการทำศึกก่อนหน้านี้ปืนยังพอจะระบายความร้อนได้ทันอยู่ แต่เมื่อระยะเวลาในการยิงนานขึ้น การระบายความร้อนของปืนจึงเริ่มจะตามไม่ทัน
นี่ทำให้โรแลนด์เริ่มฉุกคิดขึ้นมา ตอนแรกที่เลือกใช้ลำกล้องปืนที่ระบายความร้อนด้วยอากาศก็เพราะเขาอยากจะให้มันใช้งานได้ในหลายๆ สถานการณ์ ถ้าออกแบบมันเหมือนอย่างปืนกลแม็กซิม มันจะไม่เหมาะกับแนวคิด ‘ครอบจักรวาล’ ซักเท่าไร แต่ผลการใช้งานออกที่ออกมากลับไม่ได้ดีเหมือนอย่างที่คิดเอาไว้ ถึงแม้การผลิตกระสุนส่องวิถีกับประสบการณ์รบในเวลากลางคืนที่เพิ่มมากขึ้นจะพอช่วยแก้ปัญหาได้บ้าง แต่ทหารที่ศัตรูส่งเข้ามาทางตะวันตกนั้นเป็นเพียงแค่หยิบมือเดียวของพวกมันเท่านั้น ถ้าทัพหลักของพวกมันบุกเข้ามาจริงๆ เกรงว่าพวกเขาคงต้องตายเพราะปืนกลหนักถูกใช้งานจนพังแน่
โชคดีที่รายงานนี้ทำให้เขารู้ถึงความผิดพลาดของตัวเอง
วิธีการแก้ไขปัญหาก็คือแยกทั้งสองอย่างออกจากกัน ปืนกลหนักที่เอาไว้ใช้รับมือกับพวกศัตรูโดยเฉพาะจะทำการเปลี่ยนลำกล้องปืนให้มีขนาดยาวกว่าเดิมและมีการติดตั้งแผ่นระบายความร้อนเอาไว้ด้วย ส่วนปืนกลเบาที่จะให้ทหารถือบุกเข้าไปหรือติดตั้งเอาไว้บนรถก็จะเอาปืนกลแม็กซิมมาออกแบบใหม่ให้มีน้ำหนักเบากว่าเดิม เพื่อให้มันใช้ทำศึกหลังจากนี้ได้
………………………………………………………………..