Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1193 ผู้ไล่ตามลม (2)
ก็เหมือนกับที่ฟินกิ้นบอกไว้ โรงเรียนขนาดใหญ่นั้นแทบไม่มีคนเลย ทั้งสามคนเดินผ่านอาคารต่างๆ มาจนสุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่หน้ากำแพงที่สูงใหญ่แห่งหนึ่ง
“นี่มัน…”
“กำแพงด้านตะวันตกของลานบิน” ฟินกิ้นยกเอาบันไดไม้ออกมาตรงหัวมุมก่อนจะพาดมันไปบนกำแพง “ตามข้ามา”
กู๊ดลังเลเล็กน้อย สุดท้ายจึงปีนตามหลังเขาขึ้นไป ในวินาทีที่ปีนพ้นกำแพงขึ้นไป เขาพลันส่งเสียงหอบหายใจออกมา พระอาทิตย์ที่คล้อยไปทางตะวันตกค่อยๆ เข้าใกล้ทะเลไปทีละน้อย ตรงกลางทะเลส่องประกายสีทองระยิบระยับออกมา ท้องฟ้าที่เปลี่ยนจากสีน้ำเงินเป็นสีเหลืองเหมือนมีชั้นท้องฟ้าเพิ่มขึ้นมาอีกชั้น ชั้นเมฆที่อยู่ด้านบนทอดยาวไปตามเส้นขอบฟ้าเหมือนเป็นเนินที่ไหลลงในทะเล ส่วนลานบินที่ราบเรียบและเปิดโล่งที่อยู่ด้านล่างเท้าของเขานั้นคือจุดเริ่มต้นที่จะก้าวขึ้นไปบนท้องฟ้า
ลมทะเลพัดเข้ามาบนฝั่ง ก่อนจะพัดพาความกลัดกลุ้มที่สุมอยู่ในอกเขาออกไป เขาหลับตาลงพร้อมค่อยๆ กางแขนทั้งสองข้างออก ภายในหัวจินตนาการภาพของตัวเองกำลังกุมคันบังคับรอคอยคำสั่งขึ้นบิน
“สวยใช่ไหมล่ะ?” ฟินกิ้นพูดยิ้มๆ “ที่นี่เป็นที่ลับของข้าเลยนะ อย่างเดียวที่เราต้องระวังก็คืออย่าตกลงไป”
ฮายส์ปีนตามขึ้นมาบนกำแพงเป็นคนสุดท้าย “ฟู่วว ต่อไปเอาไงต่อ?”
“ไปที่นั่นน่ะสิ” เขาชี้ไปยังโรงเก็บเครื่องบินที่อยู่ไม่ไกล ครั้งแรกที่พวกเขาเห็นซีกัลก็เหมือนมันจะวิ่งออกมาจากข้างในนั้น ด้านหลังโรงเก็บเครื่องบินอยู่ห่างจากกำแพงประมาณ 2 เมตรเท่านั้น “แต่ว่าต้องเอาบันไดไปด้วย”
การเดินบนกำแพงแคบๆ นั้นไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับทั้งสามคน ในการฝึกซ้อมรักษาสมดุลของร่างกายพวกเขาต้องเดินอยู่บนสะพานไม้แคบๆ เป็นประจำอยู่แล้ว หลังเดินไปประมาณ 15 นาที พวกเขาก็เข้าใกล้ที่หมาย
โรงเก็บเครื่องบินเหล่านี้สูงกว่ากำแพงประมาณ 2 – 3 เมตร
“เครื่องบินคลุมผ้า เครื่องบินคลุมผ้า…เจอแล้ว!” จู่ๆ ฟินกิ้นก็หยุดฝีเท้า
กู๊ดมองตามสายตาของเขาไป หัวใจเขาเต้นเร็วขึ้น
เขาเห็นเครื่องบินปีกสองชั้น 4 ลำจอดอยู่ในโรงเก็บเครื่องบินอย่างเป็นระเบียบ แต่บนตัวพวกมันไม่มีผ้าคลุมเอาไว้ หากแต่จอดอย่างเปิดเผยอยู่ตรงหน้าทั้งสามคน ความมันวาวและตัวเครื่องที่เรียบรื่นของมันทำเอากู๊ดไม่สามารถละสายตาไปจากมันได้ แค่คิดว่าซักวันเขาจะมีโอกาสได้ขับเจ้าสิ่งที่น่าเหลือเชื่อนี้บินขึ้นไปบนฟ้า เขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างมาก
ช่างหัวอัศวินสิ ท้องฟ้าต่างหากคือที่ๆ เขาควรจะไป!
ฟินกิ้นเอาบันไดพาดขึ้นไปบนหน้าต่าง ก่อนจะปัดมืออย่างภูมิใจ “แบบนี้พวกเราก็ไม่ได้เข้าไปในลานฝึกบิน แล้วก็ไม่ถือว่าฝ่าฝืนคำสั่งด้วย”
ถึงแม้จะรู้ว่าคำพูดนี้มันมีช่องโหว่อยู่ แต่กู๊ดก็ไม่อาจห้ามใจตัวเองเอาไว้ได้ เขาปีนบันไดตามอีกฝ่ายเข้าไปในโรงเก็บเครื่องบิน
สิ่งที่น่าเหลือเชื่อก็คือเมื่อครู่เขายังรู้สึกไม่สบายใจอยู่เลย แต่พอได้เห็นเครื่องบิน ภายในใจเขากลับรู้สึกสงบขึ้นมา
หลังลงมาบนพื้น เพื่อนทั้งสองคนของเขาก็รีบวิ่งไปยังเครื่องบินที่อยู่ใกล้ตัวเองที่สุด ส่วนเขานั้นเดินอยู่ด้านหลังสุด
“ว้าววว นี่มัน…สุดยอดจริงๆ” ฮายส์เอามือลูบเครื่องบิน “ดูเหมือนมันจะทำมาจากเหล็กนะเนี่ย”
“ใช่ แถมยังบางอีกด้วย เจ้าดูสิ…” ฟินกิ้นเอานิ้วกดลงไป ผิวนอกของเครื่องบินยุบตัวลงไปเล็กน้อย “ไม่รู้จริงๆ ว่ามันสร้างขึ้นมาได้ยังไง”
“เฮ้ย ระวังหน่อยนะ ถ้ามันเสียจะทำยังไง!”
“วางใจได้ มันยืดหยุ่นจะตาย”
“จริงเหรอ? อย่างนั้นข้าลองบ้าง…”
แต่กู๊ดกลับไม่ได้เดินวนรอบเครื่องบินแล้วส่งเสียงอุทานตกใจออกมาเหมือนทั้งสองคน เขาเดินเข้าไปใต้ปีกเครื่องบินก่อนจะปีนขึ้นไปบนตัวเครื่องคล้ายมีอะไรบางอย่างดึงดูดเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น ภายในใจเขาเหมือนมีเสียงเรียกกำลังเรียกให้เขาเดินเข้าไปยังส่วนหัวของเครื่องบิน
บนหน้าปก ‘คู่มือการบิน’ องค์หญิงทิลลีทรงนั่งอยู่ตรงนี้ พื้นดินและท้องทะเลกลายเป็นฉากหลังให้กับพระองค์
จากนั้นกู๊ดก็ข้ามเข้าไปยังที่นั่งคนขับก่อนจะนั่งลง
นี่แท้…โลกในมุมมองของอัศวินอากาศเป็นแบบนี้หรอกเหรอเนี่ย?
ปีกที่ตรงยาวกับคานค้ำทั้งสองด้านบนบังทัศนวิสัยเอาไว้ครึ่งหนึ่ง แต่มันกลับทำให้เขาสายตาของเขาเพ่งมองไปข้างหน้า เก้าอี้ที่อยู่ด้านหลังมีหนังนุ่มๆ หุ้มเอาไว้ เขาถึงขนาดได้กลิ่นนมๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของหนังใหม่ แผงหน้าปัดก็ไม่ใช่ภาพวงกลมสองวงที่ถูกวาดอยู่บนแผ่นไม้อีก หากแต่เป็นเข็มวัดที่มีกระจกใสครอบปิดอยู่ คันบังคับและแป้นเหยียบทำขึ้นมาจากโลหะ โดยด้านบนของคันบังคับนั้นมียางหุ้มเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง สัมผัสหลังจากที่จับนั้นทั้งสบายแล้วก็ไม่ลื่นมือ
กู๊ดจับคันบังคับแล้วค่อยๆ ดึงลงมา ด้านหลังเขาพลันมีเสียงแคร่กดังขึ้นมา
ความรู้สึกนี่แตกต่างกับคันบังคับไม้บนแท่นฝึกซ้อมอย่างสิ้นเชิง เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังดึงอะไรบางอย่างอยู่จริงๆ เส้นเหล็กให้การตอบสนองกลับมาที่เขาอย่างชัดเจน ยิ่งเมื่อเขาดึงคันบังคับลงมา คันบังคับก็ยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ เหมือนว่ามันกำลังตอบรับความเคลื่อนไหวของเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น
“พระเจ้า เจ้ากำลังทำอะไรเนี่ย?” เสียงของฮายส์ดังแทรกความคิดเขาขึ้นมา
“เอ่อ…” กู๊ดปล่อยมือทันที “ข้าแค่…”
“อยากซ้อมดูสักหน่อยเหรอ?” ฟินกิ้นยิ้มๆ “ก่อนหน้านี้ใครนะที่บอกว่าข้าบ้า แล้วดูตอนนี้สิ ตรงดิ่งเข้ามามาที่ห้องนักบินไม่พูดไม่จา แล้วไหนบอกว่าแค่ดูเฉยๆ ไง?”
“ขอโทษ ข้าอดใจไม่ไหว…”
“วางใจได้” เขาพูดตัดบท “ในเมื่อตอนฝึกซ้อมก็ทำแบบนี้ ลองดูซักหน่อยมันก็ไม่เสียหรอก แต่ว่าลองเสร็จแล้วก็รีบออกมาสิ ให้ข้าลองมั่ง”
“เดี๋ยวก่อน” กู๊ดพูดเหมือนยังไม่อยากลุก “เมื่อกี้ข้าแค่ลองดึงคันบังคับดู เจ้าจะลองมานั่งข้างหลังดูไหม?”
“เดี๋ยว แล้วข้าล่ะ?” ฮายส์เองก็ปีนขึ้นไปบนปีกเครื่องบิน
ในขณะที่ทั้งสามคนกำลังถกเถียงกันอยู่นั้น ประตูใหญ่ที่ปิดแน่นพลันมีเสียงดึงโซ่ดังขึ้นมา
กู๊ดหน้าถอดสีทันที!
ฮายส์เองก็มีสีหน้าลนลาน “ทะ ทำไมถึงมีคนมาได้ล่ะ?”
“พวกเราจะทำยังไงดี?”
มีเพียงฟินกิ้นเท่านั้นมีดูใจเย็น “หนีไม่ทันแล้ว หลบก่อนแล้วกัน!”
แต่ในโรงเก็บเครื่องบินโล่งๆ ไม่มีที่ไหนให้พวกเขาใช้หลบได้เลย ที่นั่งแคบๆ ก็ไม่พอที่จะยัดผู้ใหญ่สามคนเข้าไป ยังไม่ทันที่พวกเขาจะปีนลงมาจากเครื่องบิน คนที่อยู่ด้านนอกก็เดินเข้ามาในโรงเก็บเครื่องบินแล้ว
“ใครน่ะ?”
“อย่าขยับ!”
เสียงแครกหลายเสียงดังขึ้นมา กู๊ดพบว่าตัวเองถูกกองทัพที่หนึ่งล้อมเอาไว้
ปากกระบอกปืนที่ขึ้นลำเรียบร้อยจ่ออยู่ตรงหน้า ทั้งสามคนไม่กล้าที่จะขัดขืน พวกเขาถูกกดลงไปที่พื้นทันที
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” คนที่คุ้นเคยคนหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา นั่นคือองค์หญิงทิลลี วิลเบิลดัน “มีผู้บุกรุกเหรอ?”
ยังไม่ทันทีทหารจะตอบ ฟินกิ้นชิงตะโกนขึ้นมาก่อน “องค์หญิง พวกกระหม่อมผิดไปแล้ว! พวกกระหม่อมเป็นนักเรียนรุ่นที่หนึ่ง พวกกระหม่อมเพียงแค่สงสัย ก็เลยอยากจะมาดูว่าเครื่องบินที่พวกกระหม่อมจะได้ขับหลังจากนี้หน้าตาเป็นยังไง พวกกระหม่อมก็เลยแอบเข้ามาที่นี่ ขอพระองค์ได้โปรดอภัยให้พวกกระหม่อมด้วยเถอะพ่ะย่ะค่ะ!”
ที่แท้เจ้าก็รู้นี่นาว่าทำแบบนี้มันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่ง จบสิ้นแล้ว กู๊ดร้องอยู่ในใจ
กระทั่งสอบถามเสร็จเรียบร้อย องค์หญิงจึงพยักหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ “ที่แท้แบบนี้นี่เอง ตามกฎแล้ว พวกเจ้าต้องถูกจับไปขังมากกว่า 15 วัน จากนั้นก็สูญเสียสิทธิ์ในการเป็นอัศวินอากาศ ส่วนเรื่องที่ว่าหลังจากนี้จะไปทำงานอะไร นั่นก็แล้วแต่พวกเจ้าเป็นคนเลือก กลับไปรายงานหัวหน้าหน่วยได้แล้ว”
“พ่ะ พ่ะย่ะค่ะ..” ทั้งสองคนทำหน้าเศร้า
หัวใจกู๊ดพลันรู้สึกวูบขึ้นมาทันที ในขณะที่ทหารกำลังจะลากเขาออกมา เขาไม่รู้ไปเอาความกล้ามาจากไหน ก่อนจะเงยหน้าตะโกนขึ้นมาว่า “องค์หญิง ขอพระองค์ทรงเมตตาด้วยเถอะพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมเพียงแค่อยากจะกลายเป็นนักบิน เพื่อมันแล้วกระหม่อมยินดีที่จะทุ่มเททุกอย่าง! ยิ่งไปกว่านั้น…ยิ่งไปกว่านั้นกระหม่อมคิดว่าตัวเองเหมือนขาดความรู้สึกในการบินบางอย่างไป ถึงจะฝึกซ้อมหนักแค่ไหนก็ไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นแม้แต่น้อย กระหม่อมก็เลยมาที่นี่ ที่กระหม่อมทำไปไม่ใช่เพราะอยากรู้อยากเห็นเพียงอย่างเดียวพ่ะย่ะค่ะ!”
“โอ้?” จู่ๆ ทิลลีพลันเลิกคิ้วขึ้นมา “เจ้าว่า…ความรู้สึกงั้นเหรอ?”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่สามารถโยงการบังคับเข้ากับสิ่งที่เขียนอยู่ในคู่มือได้ เหมือนกับว่าทั้งๆ ที่บินอยู่ แต่กระหม่อมกลับไม่รู้สึกถึงลมอย่างไรอย่างนั้น…เอ่อ ไม่สิ น่าจะเป็น…” เขาครุ่นคิด “กระหม่อมไม่รู้จะอธิบายมันอย่างไร กระหม่อมเพียงแต่รู้สึกว่าไม่ว่าจะฝึกยังไงมันก็เหมือนไม่ใช่…”
“เหลวไหล เหตุผลอะไรของมันเนี่ย”
“เจ้านี่มันบ้าไปแล้วเหรอ?”
“รีบลากมันออกไป ก่อนเจ้าหญิงทิลลีจะทรงหงุดหงิดขึ้นมา”
เหล่าทหารพูดเสียงเบาๆ
กลายเป็นทิลลีที่เหลือบมองเขาเหมือนคิดอะไรอยู่ “เจ้าชื่อกู๊ดใช่ไหม? ข้าจำที่อีเกิลเฟซรายงานได้ว่าคะแนนของเจ้านั้นดีมาก ในการฝึกซ้อมจำลองการบินก็สามารถปรับตัวได้เป็นคนแรก แถมยังฝึกหนักอีกด้วย”
“กระหม่อม…”
ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยปาก เธอพลันพูดตัดบทขึ้นมา “แล้วเป็นยังไง? ความรู้สึกที่ได้ขึ้นเครื่องบิน”
“อา?” กู๊ดงุนงง
“เมื่อกี้เจ้าบอกไม่ใช่เหรอว่าขาดความรู้สึกในการบินอะไรบางอย่างไป? แล้วตอนนี้ล่ะ? เจ้าคิดว่าตัวเองบินได้ไหม?”
เขาลังเลเล็กน้อย ก่อนจะกำหมัดทั้งสองข้าง “ทูลองค์หญิง…กระหม่อมคิดว่าได้พ่ะย่ะค่ะ”
“อย่างนั้นก็ลองดู” ทิลลีหมุนตัวกลับไปโดยไม่มองเขาอีก “ความจริงข้าคิดจะให้พวกเจ้าเริ่มฝึกบินจริงพรุ่งนี้ สำหรับคนอื่นๆ แล้ว ถ้าผิดพลาดก็ยังมีโอกาสให้แก้ตัว แต่เจ้าไม่มี ถ้าไม่สำเร็จ เจ้าจะถูกไล่ออกจากโรงเรียน แต่แน่นอน เจ้าจะเลือกรับโทษก็ได้ อันนี้มันก็แล้วแต่เจ้า”
“กระหม่อมจะบินพ่ะย่ะค่ะ” ครั้งนี้กู๊ดแทบจะตอบอย่างไม่ลังเล
“อย่างนั้นก็เอาตามนี้” ทิลลีชะงักไปเล็กน้อย “แล้วก็ อีกสองคนก็เอาตามนี้แล้วกัน”
…………………………………………………………….