Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1195 เรื่องที่อยากทำ
กู๊ดไม่รู้ว่าตัวเองกลับมาถึงเขตที่อยู่อาศัยชั่วคราวได้อย่างไร
ตอนที่เดินมาถึงหน้าประตูบ้านก็เป็นเวลาเกือบค่ำแล้ว ผู้คนที่ทำงานกันมาทั้งวันต่างทยอยกันกลับมาถึงที่อยู่อาศัย รอบๆ มีควันและเสียงตะโกนลอยไปมา กลิ่นหอมของข้าวต้มกับกลิ่นเหงื่อผสมปนเปกัน แสดงให้เห็นถึงความวุ่นวายของที่นี่ ถึงแม้ทุกวันจะมีงานให้ทำไม่หมดไม่สิ้น แต่สีหน้าทุกคนยังคงเต็มไปด้วยความสดใส ดูแล้วไม่เหมือนเป็นที่อยู่ของผู้อพยมเลย
ส่วนสิ่งที่ทำให้พวกเขามีชีวิตชีวาก็คือความหวัง ขอเพียงทำงานวันนึง พวกเขาก็จะอิ่มท้องไปได้หลายวัน ถ้าทำงานสิบวันครึ่งเดือน พวกเขาก็จะมีไข่ไก่กับเนื้ออยู่ในชามข้าว ดังนั้นทุกคนจึงมีความหวัง ถ้าหากพวกเขาทำงานไปเป็นปี ชีวิตพวกเขาจะเปลี่ยนไปยังไง? ถึงแม้เขตที่อยู่จะดูสกปรกและวุ่นวาย แต่มันกลับไม่ได้ดูหม่นหมองเหมือนสลัมทั่วๆ ไปเลย
ทุกสิ่งที่นี่เต็มไปด้วยสีสันสดใส
ยกเว้นก็เพียงกู๊ดเท่านั้น
ยิ่งเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของเพื่อนบ้าน เขาก็ยิ่งรู้สึกมึนงง ภายในใจเหมือนมีเสียงหนึ่งคอยพูดอยู่ตลอดเวลา ‘ดูสิว่าเจ้าทำอะไรลงไป เจ้าโง่ เจ้าทำลายทุกอย่างที่ได้มาอย่างยากลำบาก!’
ใช้แล้ว ถ้าเขาไม่ตะโกนออกไป แล้วก็ยอมก้มหน้ารับโทษไป เขาก็ยังเป็นสมาชิกอยู่ในโรงเรียนอัศวินอากาศอยู่ ต่อให้ไม่ได้กลายเป็นนักบิน แต่มันก็ถือเป็นงานที่ดีมาก อย่างน้อยก็ดีกว่าการกลายเป็นผู้อพยพไปเรื่อยๆ
เห็นๆ อยู่ว่าตอนนั้นเขาตอบโดยไม่มีความลังเลเลย แต่หลังจากที่องค์หญิงทรงตอบตกลง ความกล้านั้นก็หดหายไปเหมือนกับสายน้ำทันที สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือความรู้สึกผิดและความกลัว
ถ้าล้มเหลวล่ะ เขาก็จะไม่เหลืออะไรเลย
กู๊ดเปิดประตูเดินเข้าไปในบ้านด้วยสีหน้าเลื่อนลอย
เสียงที่สดใสเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “กู๊ด เจ้ากลับมาแล้วเหรอ รีบมาดูเร็วว่าข้าทำอะไร!”
เรเชลวิ่งเข้ามาหาเขาอย่างดีใจ ก่อนจะผลักเขาให้เดินไปที่โต๊ะ จากนั้นก็เปิดฝาครอบจานขึ้นมา “แท่นแท้น แพนเค้กไข่ เป็นยังไง?”
ไข่ไก่กับแพนเค้กข้าวสาลีที่อยู่ตรงกลางจานประกบกันเป็นสองชั้น แทนที่จะบอกว่ามันเป็นแพนเค้กไข่ มันดูแล้วเหมือนไข่ดาวที่วางอยู่บนแป้งแพนเค้กมากกว่า แต่ว่านี่ก็ไม่ถือว่าล้มเหลว ไข่ขาวบางๆ รอบข้างเป็นรอยไหม้สีน้ำตาล ไข่แดงที่สีส้มนูนขึ้นมาเล็กน้อย แถมยังดูนุ่มลื่น เนยที่อยู่ตรงกลางระหว่างไข่ดาวและแพนเค้กละลายไหลเยิ้มออกมาบนจาน กลิ่นหอมอันเย้ายวนลอยขึ้นมาเตะจมูก
เห็นได้ชัดว่าเรเชลใช้เวลาทำอาหารเย็นไปไม่น้อย
กู๊ดตกตะลึง “เจ้าซื้อไข่ไก่มาเหรอ?” ถึงแม้ราคาข้าวของในเมืองเนเวอร์วินเทอร์จะไม่สูง แต่สำหรับพวกเขาแล้ว มันก็ยังไม่ถือว่าเป็นกับข้าวที่พวกเขาจะกินได้บ่อยๆ
“อื้อ” เรเชลยื่นส้อมไม้มาให้เขา “วันนี้ข้าออกไปตลาดกับลุงบักกี้มา สบายใจได้ เงินเก็บที่ข้าเอาออกมายังมีเหลืออยู่ ไม่ง่ายเลยกว่าเจ้าจะได้พักซักวัน นานๆ กินซักครั้งมันไม่เป็นอะไรหรอก อีกอย่างถ้าเจ้ากลายเป็นอัศวินได้ล่ะก็ เงินเก็บเราก็จะเพิ่มขึ้น ข้าคิดเอาไว้แล้วน่า!” พูดจบเธอก็ตบหน้าอกตัวเอง
กู๊ดรับเอาส้อมมาจากเธอด้วยสีหน้าอึกอัก “เจ้า…พูดถูก”
“ไม่ต้องพูดแล้ว ลองชิมฝีมือข้าดูซิ” เรเชลพูดอย่างรอคอย
เขาลังเลเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ เอาไข่ใก่ใส่เข้าไปในปากตัวเอง พริบตานั้นเอง ไข่แดงก็แตกทะลักออกมาผสมกับเนยหอมๆ จนเต็มไปทั้งปากของเขา
ขณะเดียวกันรสชาติอันแสนอร่อยนี้ก็ทำให้เขารู้สึกปวดใจ
ระหว่างทางที่หนีจากวูล์ฟฮาร์ทมายังดินแดนตะวันตกของเกรย์คาสเซิล ทั้งสองคนเรียกได้ว่ายากลำบากอย่างมาก อาหารแบบนี้แม้แต่จะคิดยังไม่กล้าคิดเลย แต่หลังจากที่มาถึงเมืองเนเวอร์วินเทอร์ สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปราวกับปาฏิหาริย์ พวกเขาไม่เพียงแต่จะมีบ้านให้อยู่ แต่ยังใช้ชีวิตโดยไม่ต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้า เผลอๆ แม้แต่ ‘แพนเค้กไข่ไก่’ ที่เขากินอยู่นี้ เรเชลก็จะได้กินทุกวันด้วย —- ขอเพียงเขายังอยู่ในโรงเรียนต่อไป
จริงอยู่ที่เขาอยากจะบินขึ้นไปบนฟ้า แต่การเอาทุกอย่างมาวัดดวงกับมัน มันคุ้มจริงๆ เหรอ?
ก่อนหน้านี้้เขาไม่มีอะไรให้เสีย แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกันแล้ว
ไหนบอกเอาไว้แล้วว่าจะดูแลเธอให้ดีไง
ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้วทำไมถึงยังทำแบบนั้นเพราะความคิดส่วนตัวอีก?
แม้แต่ตอนที่ตอบรับจะไปแอบดูเครื่องบินกับฟินกิ้น นั่นก็เป็นเพราะคิดถึงแต่ตัวเอง
คนที่เห็นแก่ตัวแบบนี้ แต่ตอนนี้กลับมากินอาหารที่อีกฝ่ายทำขึ้นมาด้วยใจ มันช่างน่ารังเกียจจริงๆ!
“เป็นยังไง น่าจะ…ใช้ได้ใช่ไหม? ข้าไม่ได้ทำอาหารมานานแล้ว ไม่รู้ว่าฝีมือถอยลงหรือเปล่า” เรเชลพูด “เฮ้ อร่อยหรือเปล่า เจ้าพูดอะไรหน่อยสิ…เดี๋ยวๆ เจ้าร้องไห้ทำให้เนี่ย? ฝีมือข้ามันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“เปล่า…” กู๊ดร้องไห้ไปพลางยัดของกินเข้าปากไปพลาง “อร่อย เจ้าทำได้อร่อยมาก ข้าเพียงแค่…เพียงแค่ กลั้นเอาไว้ไม่อยู่…”
เรเชลตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินมาหาเขาพร้อมเอามือลูบหัวเขาเบา “มีเรื่องอะไรเหรอ?”
“ขอโทษนะ…ขออาจจะไม่ได้อยู่ในโรงเรียนต่อไปแล้ว…”
จากนั้นกู๊ดก็เล่าเรื่องที่ตัวเองทำออกมาทั้งหมด
“ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง” เรเชลนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าแค่อยากจะถามเจ้าว่า เจ้า…ชอบบินใช่ไหม?”
“ข้า….” กู๊ดอ้าปากพร้อมกับสบตาอีกฝ่าย เขาพบว่าตัวเองไม่สามารถพูดคำพูดที่ทรยศต่อใจตัวเองออกมาได้ หลังนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ เขาจึงพยักหน้าออกมา
“อย่างนั้นก็ดี” เรเชลพูดยิ้มๆ “ตั้งแต่เล็กจนโต นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้ามีเรื่องที่เจ้าอยากจะไปทำใช่ไหมล่ะ? แม้แต่เรื่องที่พาข้าออกมาจากที่นั่นก็ยังเป็นความคิดของข้า ไม่ว่าจะที่วูล์ฟฮาร์ทหรือว่าระหว่างทางที่หนีมา เจ้าก็ทุ่มเทเพื่อข้ามามากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นความจริงเรื่องพวกนี้มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าด้วย การที่เจ้าทำแบบนี้มันจะเป็นคนเห็นแก่ตัวได้อย่างไรล่ะ?”
“แต่ว่าข้า….”
“อย่างมากก็แค่ไปเริ่มต้นกันใหม่ใช่ไหมล่ะ?” เธอเอียงหัวเล็กน้อย “ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็รู้หนังสือด้วย ต่อให้ไม่…ไปทำเรื่อแบบนั้น ข้าก็ยังมีงานให้ทำอีกเยอะ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นยังไง เจ้าพยายามทำให้เต็มที่ก็พอ”
“แบบนี้…มันก็จะได้จริงๆ เหรอ?”
“ยังไงซะตอนนี้มานั่งเสียใจมันก็ไม่มีประโยชน์แล้ว สู้เลิกคิดฟุ้งซ่านแล้วตั้งใจเผชิญหน้ากับมันดีกว่า แต่ว่าครั้งต่อไปถ้ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก เจ้าก็ต้องคิดให้เยอะๆ อย่าทำอะไรวู่วามอีก”
กู๊ดเหม่อมองดูเธออยู่ครู่ “ข้ารู้สึกว่าบางครั้งเจ้ารู้อะไรเยอะกว่าข้าเสียอีก”
“อายุน้อยกว่ามันไม่ได้หมายความว่าต้องรู้อะไรน้อยกว่านี่ อีกอย่างก็เจ้านั่นแหละที่บอกให้ข้าเป็นน้อง” เรเชลพูดงึมงำ ก่อนจะยิ้มออกมา “ถ้าเจ้าถูกไล่ออกจากโรงเรียน เจ้าก็เรียกข้าว่าพี่แล้วกัน”
….
วันถัดมา ณ ลานบินของโรงเรียนอัศวินอากาศ
นักบินฝึกหัด 16 คนยืนต่อแถวหน้ากระดานอยู่ตรงปลายสุดของรันเวย์ ในฐานะที่เป็นผู้ผ่านเกณฑ์กลุ่มแรก พวกเขาจึงกลายเป็นคนกลุ่มแรกที่ได้ลองบิน
เครื่องบินใหม่เอี่ยม 4 ลำค่อยๆ เคลื่่อนตัวออกมาจากโรงเก็บเครื่องบิน ก่อนจะมาจอดอยู่ตรงหน้าทุกคน
ในกลุ่มนักบินฝึกหัดมีเสียงพูดคุยดังขึ้นมา ทุกคนต่างบอกเครื่องบินที่สวยงามทั้ง 4 ลำนี้อย่างตื่นเต้นพร้อมกับกระซิบกระซาบกัน
ฟินกิ้นกับฮายส์นั้นยืนหน้าเคร่งเครียด
แต่กู๊ดกลับยืนหลับตา
เขากำลังยืนรับลมอันเย็นสบายที่พัดมาและพยายามที่จะจับความรู้สึกนั้นที่อยู่ในหัว การฝึกซ้อมซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกวัน คำชี้แนะขของครูฝึก แล้วก็วินาทีที่เขาได้จับเครื่องบินจริงๆ ภาพต่างๆ ค่อยหลอมรวมเข้ามาในหัวของเขา
ในตอนที่ทิลลีปรากฏขึ้นตรงหน้า ทุกคนพลันคุกเข่าลงไปข้างหนึ่ง ฟินกิ้นต้องดึงกู๊ดให้คุกเข่าลงไปด้วย
“ถวายบังคมองค์หญิง!”
“ลุกขึ้นเถอะ” ทิลลีกวาดตามองทุกคนด้วยสีหน้าราบเรียบ “ถึงแม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่พวกเจ้าได้เห็นเครื่องบินเหล่านี้ แต่มันก็ไม่ได้เป็นสิ่งแปลกหน้าสำหรับพวกเจ้า ไม่ว่าจะเป็นหนังสือหรือในการเรียนทฤษฎีก็ล้วนแต่อ้างอิงมาจากยูนิคอร์น แต่เครื่องบินที่อยู่ตรงหน้าพวกเจ้านี้คือยูนิคอร์นที่ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้น แล้วก็มีความเสถียรมากขึ้น ขอเพียงทำทุกอย่างตามที่ฝึกซ้อมมา พวกเจ้าก็จะสามารถทำการบินขึ้นแบบง่ายๆ ได้ แต่เมื่อคำนึงถึงว่านี่เป็นการบินครั้งแรกของพวกเจ้า ดังนั้นข้าจะคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ ที่นั่งคนขับ แล้วก็คอยเตือนพวกเจ้าว่าต้องทำอะไรอย่างไร จากนั้นก็ให้คะแนนพวกเจ้าตามความสามารถที่แสดงออกมา — แต่แน่นอนว่าคนที่ทำให้ข้าไม่ต้องพูดอะไรออกมาได้ย่อมต้องเป็นคนที่ยอดเยี่ยมที่สุด”
เธอชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อว่า “แต่ว่าข้าก็คิดถึงความเป็นไปได้ว่าอาจจะมีคนที่ทำผิดพลาด จนอาจจะตกลงมา ดังนั้นข้าจึงเชิญนาน่ามาร่วมในการทดสอบบินครั้งนี้ด้วย ตอนนี้นางก็อยู่ในลานบินนี่แหละ ขอเพียงยังไม่ตาย คนที่ล้มเหลวก็จะยังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่นั้นจะหมายความว่าพวกเจ้าจะถูกตัดคะแนนออกไป หากในการฝึกซ้อมหลังจากนั้นยังไม่มีอะไรดีขึ้น คนเหล่านั้นก็จะถูกคัดออกจากทีม ดังนั้นข้าจึงอยากจะให้พวกเจ้าพยายามให้เต็มที่ นอกจากนี้ถ้าผิดพลาดจนทำให้เครื่องบินตกล่ะก็ คะแนนจะกลายเป็นศูนย์ทันที เพราะในโรงเรียนไม่มีเครื่องบินมาให้พวกเจ้าพังเล่นเยอะขนาดนั้น เข้าใจไหม?”
“พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิง!” ทั้ง 16 คนตอบพร้อมกัน
“อย่างนั้นก็เริ่มกันเลย คนแรกคือกู๊ด” ทิลลีขานชื่อ
กู๊ดสูดหายใจพร้อมกับก้าวไปข้างหน้า แล้วปีนขึ้นไปยังห้องขับเครื่องบิน
………………………………………………………….