Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1210 รถลูกบาศก์เวทมนตร์
ณ ห้องทดลองใต้ดินของเมืองชายแดนที่สาม
หลังอ่านรายงานเสร็จ โรแลนด์ก็รีบพาอันนาเดินทางมาที่นี่ทันที เมื่อมองผ่านกระจกนิรภัยหนาๆ เขามองเห็นตรงกลางห้องทดลองที่ถูกบุด้วยแผ่นตะกั่วมีลูกบาศก์เวทมนตร์สองลูกกำลังอยู่ในสภาพเปิดใช้งานอยู่ หนึ่งลูกในนั้นดูแล้วปกติทุกอย่าง แต่แสงสีแดงที่ปล่อยออกมาจากลูกบาศก์อีกลูกกลับสั้นกว่าอย่างเห็นได้ชัด
“ลูกบาศก์เวทมนตร์ที่ปล่อยแสงสีแดงสั้นๆ ออกมา…คือลูกบาศก์ที่สร้างออกมาใหม่ล่าสุดเหรอ?” อันนาถาม
‘ถูกต้องเพคะ ความจริงแล้วมันเกิดขึ้นมาจากความผิดพลาดล้วนๆ เลยเพคะ’ เซลีนตอบอย่างตื่นเต้น ‘ปกติแล้วลวดลายที่อยู่ข้างในลูกบาศเวทมนตร์จะถูกแกะสลักขึ้นมาโดยสลิมริสก์ ถ้าวัตถุดิบที่ใช้สร้างมีความเสียดาย มันก็จะทำให้เกิดความเสียหายในตอนที่แกะสลักได้ง่าย ปกติแล้ว ‘ก้อนหิน’ ที่ผิดปกติเหล่านี้มักจะถูกโยนทิ้งไป แต่เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนตอนที่สลิมริสก์กำลังแกะสลักชิ้นส่วนหมายเลข 236 อยู่ นางแกะไปจนจะเสร็จแล้วถึงได้มีปัญหาเกิดขึ้นมา ตรงกลางของชิ้นหินมีรอยแตกเล็กๆ ปรากฏขึ้นมา ทำให้ชิ้นส่วนนี้มีตำหนิ’
วัตถุดิบที่ใช้ในการทำลูกบาศก์เวทมนตร์ล้วนแต่มาจากดินแดนทางใต้สุด เมื่อวิเคราะห์ดูจากภาพวาดบนผนังแล้ว ซากโบราณวัตถุเหล่านี้อย่างน้อยก็หลับใหลอยู่ใต้ดินมาเป็นเวลานับพันปีแล้ว เมื่อถูกลมถูกฝนกัดกร่อยมานานขนาดนี้ มันก็เป็นเรื่องปกติที่จะมีความเสียหาย โรแลนด์เหมือนจะคิดอะไรบางอย่างอยู่ “แต่เจ้าก็ไม่ได้โยนชิ้นส่วนหมายเลข 236 ทิ้ง?”
เซลีนพยักหนวดหลัก ‘ตอนนั้นหม่อมฉันรู้สึกเสียดายแปลกๆ เพราะว่าโดยรวมแล้วมันถือว่าสมบูรณ์ดี ไม่แน่มันอาจจะยังใช้ได้ก็ได้ หม่อมฉันก็เลยเอาชิ้นส่วนหมายเลข 236 ไปเปลี่ยนกับชิ้นส่วนตำแหน่งเดียวบนบนลูกบาศก์ที่ทำเสร็จไปแล้วก่อนหน้านี้ เพื่อดูว่ามันจะยังใช้งานได้ปกติหรือไม่’
เฮ้ๆ นี่มันอาวุธนิวเคลียร์เลยนะ โรแลนด์แอบรู้สึกเหงื่อตก
‘วางพระทัยได้เพคะฝ่าบาท’ เซลีนเหมือนจะมองเห็นความคิดของเขา เธอยกส่วนหัวที่เป็นเหมือนก้อนเนื้อขึ้นมา ‘หม่อมฉันไปทำการทดสอบที่ลานทดสอบอาวุธในเทือกเขาสิ้นวิถีเพคะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็จะไม่มีทางที่จะส่งผลกระทบมาถึงเมืองเนเวอร์วินเทอร์ได้ นี่คือกฎที่สมาชิกของสถาบันค้นคว้าศาสตร์ลึกลับต่างต้องปฏิบัติตาม ถึงแม้หม่อมฉันจะโชคร้ายไม่รอดชีวิตกลับมา พระองค์ก็ทรงไม่ต้องเสียพระทัยไปเพคะ เพื่อค้นหาความจริงแล้ว หม่อมฉันได้เตรียมตัว….’
เมื่อเห็นอีกฝ่ายพูดยืดยาวไม่หยุด ความรู้สึกกังวลใจที่เกิดขึ้นภายในใจโรแลนด์ก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว “เข้าเรื่องเลยเถอะ!”
‘แค่กๆ…ขออภัยที่เสียมารยาทเพคะ’ เซลีนกระแอมเล็กน้อย ‘สรุปแล้วมันก็เป็นเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงทอดพระเนตรอยู่นี่แหละเพคะ ลูกบาศก์เวทมนตร์ยังคงถูกกระตุ้นได้ตามปกติ แต่ลำแสงสีแดงที่ปล่อยออกมากลับหดสั้นลงไม่ถึงหนึ่งในสิบของของเดิม แต่นี่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการให้พลังงานความร้อนของเมจิกคิวบ์พาวเวอร์สามสูบเลยเพคะ ดังนั้นหม่อมฉันจึงทำการทดสอบให้ความร้อนดูเพื่อตรวจสอบให้มั่นใจว่าลำแสงสีแดงที่หดสั้นลงจะทำให้ประสิทธิภาพในการให้ความร้อนเปลี่ยนแปลงหรือไม่ การทดสอบอันนี้กินเวลาอยู่ 2 – 3 วัน จนกระทั่งในตอนที่หม่อมฉันตรวจสอบดูแผ่นยูเรเนียม หม่อมฉันถึงได้พบว่ามันแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย แม้แต่การใช้พลังเวทมนตร์ก็ลดลงไปไม่น้อยเพคะ’
อันนานิ่งเงียบไปครู่ “หรือว่า…ลูกบาศก์เวทมนตร์ใช้ยูเรเนียมส่วนใหญ่ไปกับการคงสภาพลำแสงสีแดง?”
‘สมแล้วที่เป็นผู้ตื่นรู้ระดับสูงที่อายุน้อยกว่าอกาธา’ เซลีนชื่นชม ‘หลังจากคิดอยู่นาน หม่อมฉันก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ถ้าบอกว่าลำแสงนั้นเกิดจากลูกกลมเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนประกอบกันขึ้นมา อย่างนั้นถ้าอยากจะทำให้พวกมันพุ่งตรงไปยังทิศทางเดียวกันนั้นต้องไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นการทดลองยังแสดงให้เห็นด้วยว่าขอเพียงไม่ไปกระทบถูกแสงสีแดง การให้ความร้อนทั้งด้านหน้าและด้านข้างของมันก็จะไม่ได้รับผลกระทบ เมื่อดูแบบนี้แล้ว การอดสั้นลงของลำแสงนั้นเหมือนเป็นการช่วยลูกบาศก์เวทมนตร์ทำงานน้อยลงเพคะ’
“เดี๋ยวๆ” จู่ๆ โรแลนด์ก็พูดขึ้นมา “นี่ก็หมายความว่าชิ้นส่วนหมายเลข 236 ที่มีตำหนิเป็นตัวกำหนดระยะทางในการปล่อยรังสีของลูกบาศก์เวทมนตร์งั้นเหรอ?”
นี่เป็นการค้นพบที่สำคัญอย่างมากที่เดียว เผลอๆ อาจจะมีความสำคัญมากกว่าการแก้ปัญหาเรื่องระยะเวลาการใช้งานของแผ่นยูเรเนียมเสียอีก! ลูกบาศก์เวทมนตร์หนึ่งลูกมีชิ้นส่วนทั้งหมด 300 กว่าชิ้น ก้อนหินที่มีรูปร่างและลวดลายที่แตกต่างกันเหล่านี้ประกอบเข้าในด้วยเหมือนอย่างตัวต่อเด็กเล่น ไม่มีใครรู้ว่าลูกบาศก์เวทมนตร์นี้มันทำงานได้อย่างไร แต่ตอนนี้ ปัญหานี้เหมือนจะมีทางแก้ไขแล้ว
‘จะเข้าใจเช่นนั้นก็ได้เพคะ’ น้ำเสียงเซลีนแฝงเอาไว้ด้วยความตื่นเต้น ‘ไม่แน่ลวดลายบนชิ้นส่วนแต่ละชิ้นอาจจะมีประโยชน์ที่ต่างกันก็ได้เพคะ ถ้าสามารถวิเคราะห์ได้ว่าลวดลายพวกนั้นมันหมายความว่าอย่างไร บางทีพวกเราอาจจะเข้าใจหลักการทำงานของลูกบาศก์เวทมนตร์ก็ได้ว่ามันทำงานยังไงเพคะ’
“ชิ้นส่วนหนึ่งชิ้นรับผิดชอบความสามารถหนึ่งความสามารถ แค่ด้านนี้ด้านเดียวก็จะเห็นได้วิธีคิดของเผ่ากัมมันตรังสีนั้นคล้ายกับพวกเราอย่างมากทีเดียว” อันนี้ยิ้มออกมา “นี่ถือเป็นโชคดีของมนุษย์หรือเปล่าเพคะ?”
“แน่นอน” โรแลนด์พยักหน้าอย่างไม่ลังเล เขาย่อมต้องรู้ว่าอันนาหมายความว่าอย่างไร อารยธรรมที่แตกต่างกันนั้นมีสิ่งที่แตกต่างกันอย่างมาก ไม่ใช่แค่รูปร่าง ภาษาเท่านั้น เพียงแค่ความคิดก็เรียกได้ว่าต่างกันอย่างมาก ถ้าอยากจะหาอะไรซักอย่างที่เข้าใจตรงกันได้ ความเป็นไปได้นั้นก็เรียกได้ว่าน้อยอย่างมาก อารยธรรมใต้ดินนั้นคือตัวอย่างที่ดี ถึงแม้แกนเวทมนตร์ของพวกมันจะเป็นอุปกรณ์ที่ควบคุมพลังเวทมนตร์เหมือนกับลูกบาศก์ แต่ก็กลายเป็นร่างต้นแบบเสียก่อนถึงจะใช้งานมันได้ เซลีนวิจัยมันมาเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว แต่เธอก็ยังไม่อาจเข้าใจหลักการทำงานของมัน แค่นี้ก็เพียงพอที่จะเห็นได้ถึงระดับความยากของมันแล้ว
ในอีกแง่หนึ่ง อารยธรรมนั้นคือความโดดเดี่ยว
ถึงแม้ตอนที่เขาปลอบใจทุกคนก่อนหน้านี้เขาจะพูดเอาไว้ว่าต่อให้ไม่พึ่งพาการสืบทอดของมรดกของพระเจ้า พวกเขาก็สามารถเรียนรู้ความรู้ของอารยธรรมที่หายสาบสูญเหล่านั้นได้เหมือนกัน แต่ความจริงแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้ง่ายๆ เลย โดยเฉพาะในตอนที่ไม่มีใครคอยชี้นำ ในตอนทีวิธีการคิดไม่เหมือนกัน แล้วจะไปเรียนรู้ผลงานของอีกฝ่ายได้อย่างไร?
ถ้าสมมติฐานของเซลีนถูกต้อง อย่างนั้นมันอาจจะทำให้พวกเขามีหนทางใหม่ในการวิจัยลูกบาศก์เวทมนตร์ก็เป็นได้
“เออใช่” จู่ๆ อันนาก็หันหน้ายิ้มให้โรแลนด์ “ในเมื่อตอนนี้ลูกบาศก์เวทมนตร์ก็เป็นรูปเป็นร่างแล้ว แล้วเราก็แก้ปัญหาเรื่องระยะเวลาการใช้งานได้แล้ว อย่างนี้ก็ถึงเวลาที่พระองค์จะมอบรางวัลให้หม่อมฉันตามที่สัญญาเอาไว้แล้วสินะเพคะ”
โรแลนด์มองดูดวงตาสีน้ำเงินที่ใสเหมือนทะเลสาบคู่นั้น ก่อนจะพบว่าตัวเองไม่สามารถพูดปฏิเสธได้เลย
“ได้ๆๆ…ราชินีของข้า” ข้าหัวเราะขึ้นมา “เดี๋ยวกลับไปข้าจะทำให้เจ้า”
…..
“แถ่ดๆๆ…บรึม….”
เสียงที่ดังมาจากนอกหน้าต่างปลุกโซโรยาให้ตื่นขึ้นมา เธอลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง
“หาวว…” เธอหาวอย่างงัวเงีย ก่อนจะเอื้อมมือไปคลำหาเสื้อของตัวเองที่ปลายเตียง เธอคุ้นเคยกับเสียงๆ นี้มาก มันเป็นเสียงร้องของเครื่องจักรไอน้ำในตอนที่เริ่มทำงาน ในตอนที่มันดังขึ้นมา นั่นก็หมายความงานของวันใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว
แต่ว่านี่มันเช้าจังเลย เธอมองไปยังเอคโค่ที่ยังนอนหลับอยู่อีกด้านหนึ่งของเตียง เดินจะค่อยๆ เดินไปหยิบเอาเสื้อคลุมมาคลุม มีคนทำงานเช้ากว่าตนอีกเหรอเนี่ย แถมยังทำใน….
เดี๋ยวก่อน โซโรย่าตกตะลึง ที่นี่ไม่ใช่เขตโรงงาน แล้วทำไมถึงมีเสียงเครื่องจักรไอน้ำได้? เมื่อคิดดูดีๆ แล้ว วันนี้น่าจะเป็นวันหยุดพักผ่อนนี่นา แม่มดส่วนใหญ่ก็มักจะกลับจนถึงเที่ยง จะไม่ถึงเวลาอาหาร ในปราสาทก็มักจะเงียบจนเหมือนไม่มีใครอยู่ หรือว่าเมื่อกี้ตัวเองจะฝันไป?
“แถ่ดๆๆๆ…บรึมๆๆๆ…” แต่ด้านนอกหน้าต่างก็มีเสียงเครื่องจักรไอน้ำดังขึ้นมาอีก ขณะเดียวกันก็มีเสียงหัวเราะคิดคักดังขึ้นมาด้วย
“เจ้านี่มันสนุกจริงๆ เลย!”
“ฝ่าบาท ให้หม่อมฉันลองมั่งสิเพคะ!”
“หม่อมฉันด้วยๆ!”
“เอ่อ…มีอะไรกันเหรอ?” เอคโค่ก็นั่งขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ
“ไม่รู้สิ พวกลูน่าคงจะเล่นอะไรอีกแล้วล่ะมั้ง…” โซโรยาบิดขี้เกียจ ก่อนจะเดินไปเปิดผ้าม่านที่หน้าต่างออก แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาในห้องทันทีจนทั้งห้องนอนสว่างขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าตอนนี้พระอาทิตย์ได้ลอยขึ้นไปสูงแล้ว
กระทั่งดวงตาปรับตัวเข้ากับแสงอาทิตย์ได้แล้ว เธอก็มองลงไปด้านล่างก่อนจะตกตะลึงไปทันที
เธอเห็นตรงประตูทางเข้าปราสาทมีพี่น้องของสโมสรแม่มดยืนออกันอยู่เต็มไปหมด สายตาทุกคนจับจ้องไปตรงกลางสวน บนใบหน้าของพวกเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้น
เมื่อมองตามสายตาของพวกเธอไป โซโรยาก็เห็นอันนากำลังนั่งอยู่บนรถสี่ล้อรูปทรงแปลกๆ คันหนึ่ง ถึงแม้จะไม่มีม้าคอยลาก แต่มันก็ยังวิ่งไปรอบสวนได้อย่างรวดเร็ว ส่วนรอยยิ้มของอันนาที่อยู่บนรถนั้นก็สดใสอย่างมาก เผลอๆ จะสดใสยิ่งกว่าแสงอาทิตย์เสียอีก
ภาพเหตุการณ์นี้ดึงดูดความสนใจทั้งหมดของเธอเอาไว้ทันที
………………………………………………………………………..