Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1211 รถหุ้มเกราะทางการเกษตร
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท ที่ฝ่าบาทอันนาทรงขับอยู่…มันคืออะไรหรือเพคะ?”
โรแลนด์หันหน้ากลับมา ก่อนจะมองเห็นเอ็คโคกับโซโรยาวิ่งออกมาจากปราสาท
“นั่นคือรถยนต์! รถยนต์ลูกบาศก์เวทมนตร์!” ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไร ลูน่าพลันแย่งตอบออกมา “ถ้าอยากจะลองขับก็ต้องต่อหลังข้า ห้ามแซงแถวล่ะ!”
“รถ…ยนต์เหรอ?” โซโรยาพูดทวนคำศัพท์ใหม่นี้ออกมาอีกรอบ “รถที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องจักรไอน้ำเหรอ?”
“อื้อ แต่ว่าส่วนที่เป็นเตาหลอมถูกแทนที่ด้วยวัตถุโบราณจากเผ่ากัมมันตรังสี มันถึงได้เล็กได้ขนาดนี้” ลูน่าบอกเล่าข้อมูลที่ตัวเองไปถามมา “แต่ข้าเทียบกับมอเตอร์ไฟฟ้าแล้วล่ะก็ พวกมันยังถือว่าใหญ่ไปหน่อย ถ้าใช้รุ่งอรุณหมายเลขหนึ่งมาขับเคลื่อนล่ะก็ รถยนต์คงจะสมบูรณ์แบบมากกว่านี้…ไม่ใช่สิ ถึงตอนนั้นต้องเรียกว่ารถแม่เหล็กแล้ว!”
“ปกติใครนะที่แค่ใส่พลังเวทมนตร์ลงไปในแม่เหล็กไม่กี่สิบเส้นก็บ่นว่าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว?” ลิลลี่เบะปากพูด “แล้วตอนนี้อยากจะมาทำรถยนต์ด้วยงั้นเหรอ?”
“เอ่อ…” ลูน่าพูดเสียงเบา “ข้า ข้าเพิ่งจะบรรลุนิติภาวะไม่นาน ตอนนี้พลังเวทมนตร์ยังไม่พอไม่ได้หมายความว่าต่อไปจะเป็นแบบนี้นี่นา ไม่แน่ตอนตื่นรู้ครั้งหน้าข้าอาจจะทำรุ่งอรุณหมายเลขหนึ่งกองใหญ่ได้สบายๆ ก็ได้”
“แทนที่จะฝากความหวังเอาไว้การวิวัฒนาการของเจ้า สู้ฝากความหวังไว้ที่การเสกของดอร์ริสดีกว่าอีก” ลิลลี่พูดยักไหล่
“ถ้าเจ้ายังพูดมากอีกข้าจะแอบกินเครื่องดื่มยุ่งเหยิงของเจ้า!”
“เจ้ากล้าเหรอ…”
“ฮ่าๆๆ…” ฟิลลิสเอามือปิดปากพร้อมหัวเราะเบาๆ “ความจริงไม่ว่าจะขับเคลื่อนด้วยไอน้ำหรือว่าไฟฟ้ามันก็เรียกว่ารถยนต์เหมือนกันนั่นแหละ”
“เอ๋? จริงเหรอ?” สายตาของทุกคนมองมาที่นาง
“อื้อ ในโลกแห่งความฝันเรียกมันแบบนี้” คำพูดของฟิลลิสมีความรู้สึกภูมิใจที่ไม่อาจปกปิดไว้ได้ “เมื่อเทียบกับรถที่ฝ่าบาททรงขับอยู่คันนี้ รถยนต์ในนั้นสมบูรณ์แบบกว่ามาก มันกันลมกันฝนได้ หน้าหนาวก็มีเครื่องทำความร้อน หน้าร้อนก็มีเครื่องทำความเย็น เรียกได้ว่าเป็นบ้านเคลื่อนที่เลยก็ว่าได้ อีกทั้งมันยังเร็วอย่างมากด้วย ต่อให้เป็นม้าที่ดีที่สุดก็ไม่อาจเทียบได้”
“เจ้า…เคยขับเหรอ?” ดวงตาอิจฉาของลูน่าเบิ่งโตขึ้นมา
“แน่นอน” ฟิลลิสพูดอย่างลุ่มหลง “ข้าเคยขับรถของฝ่าบาทไปบนถนนที่ยาวสุดลูกหูลูกตา ในตอนที่ความเร็วแตะจุดสูงสุด เสียงคำรามของลมก็แทบจะกลบทุกสิ่งทุกอย่าง ตัวรถสั่นขึ้นมา เหมือนเจ้ากำลังฝ่าคลื่นลมอยู่อย่างไรอย่างนั้น ความรู้สึกแบบนั้นมันช่างสุดยอดจริงๆ!”
ความจริงแล้วนั่นเป็นเพราะความสามารถในการกันเสียงของรถมันแย่อย่างมาก บวกกับที่ด้านหลังมีการต่อรถลากเอาไว้ด้วย พอขับด้วยความเร็วสูงก็เลยรู้สึกเหมือนว่ามันจะหลุดออกจากกัน โรแลนด์ถึงกับกุมขมับขึ้นมา เห็นๆ อยู่ว่านั่นเป็นเพียงรถตู้เก่าๆ แต่เธอกลับพูดซะเหมือนกำลังขับรถหรูอย่างไรอย่างนั้น
แต่จะว่าไป ต่อให้เป็นรถเล็กๆ ที่ถูกแค่ไหนมันก็ยังดีกว่ารถลูกบาศก์เวทมนตร์นี่มาก
นับตั้งแต่การประกอบจนกระทั่งออกมาเป็นรูปเป็นร่าง รถคันนี้ใช้เวลาเพียงแค่ 4 วันเท่านั้น มันวางเครื่องจักรไอน้ำไว้ด้านหน้า ส่วนด้านหลังก็วางกล่องต้มน้ำเอาไว้ ระบบขับเคลื่อนถูกวางเอาไว้บนรถคันนี้อย่างง่ายๆ ส่วนตรงกลางก็มีโซฟาอยู่ตัวหนึ่ง แค่นี้ก็ถือว่าเป็นอันเสร็จเรียบร้อย มันไม่มีกล่องเกียร์เหมือนรถทั่วๆ ไป แม้แต่คันเร่งก็ไม่มี นอกจากพวงมาลัย คลัทช์กับเบรกแล้ว อุปกรณ์ควบคุมความเร็วของมันนั้นมีแค่วาล์วที่อยู่ข้างๆ คนขับเท่านั้น
ในตอนที่ลูกบาศก์เวทมนตร์ทำให้อุณหภูมิของน้ำเพิ่มขึ้นสูงจนพอที่จะขับเคลื่อนเครื่องจักรไอน้ำแล้ว รถยนต์ก็จะเคลื่อนที่ออกไปได้ และเมื่อความดันไอน้ำภายในท่อค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้น ความเร็วก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ในเวลานี้ต้องเลือกระดับในการเปิดปิดวาล์ว ไอน้ำส่วนหนึ่งก็จะถูกระบายออกไปทางท่อด้านหลัง ทำให้เครื่องจักรไอน้ำไม่หมุนเร็วจนเกินไป ซึ่งก็เหมือนกับเป็นการควบคุมความเร็วของรถ
พูดอีกอย่างก็คือถ้าอยากจะลดความเร็วก็ต้องเหยียบเบรกกับคลัทช์ แต่ถ้าอยากจะเพิ่มความเร็วก็มีอยู่วิธีเดียว นั่นก็คือปล่อยเบรกเพื่อให้มันค่อยๆ เร่งความเร็วขึ้นมา ขณะเดียวกันเมื่อมีแรงดันอากาศสูง ฟันเฟืองที่หมุนด้วยความเร็วอาจจะทำให้เกิดความเสียหายได้ ดังนั้นทันทีที่รถหยุดวิ่งก็จำเป็นต้องเปิดวาล์วเพื่อลดแรงดัน แล้วให้ค่อยเร่งความเร็วขึ้นมาจากความเร็วต่ำๆ
ด้วยระบบการขับเคลื่อนที่เชื่องช้าขนาดนี้ บวกกับโครงรถที่ไม่มีตัวซัพแรกกระแทกกับพวกมาลัยที่ต้องอาศัยมือเพียงอย่างเดียวในการหมุน ความรู้สึกใจการขับรถคันนี้เป็นอย่างไรก็คงจะรู้ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ อันนาก็ยังขับมันอย่างมีความสุข เหมือนกับเด็กที่ได้ของขวัญที่ถูกใจ เธอขับรถวนรอบสวนรอบแล้วรอบแล้ว จนตอนนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย
ไม่ใช่แค่อันนาเท่านั้น แม่มดคนอื่นๆ ที่ได้ข่าวต่างก็รู้สึกสนใจรถคันนี้อย่างมาก เสียงอุทานตกใจและเสียงพูดคุยดังขึ้นไม่หยุด เสียงหัวเราะและรอยยิ้มที่ไม่ได้ยินมาเป็นเวลานานกลับมาอยู่บนใบหน้าทุกคนอีกครั้งหลังจากจบศึกที่ทาคิลา
สิ่งเดียวที่ทำให้โรแลนด์รู้สึกเสียใจก็คือทิลลีไม่ได้อยู่ตรงนี้
ได้ยินไนติงเกลบอกว่าช่วงนี้เธอทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ให้กับการฝึกซ้อมอัศวินอากาศ จำนวนครั้งที่เธอมายังปราสาทก็น้อยลงไปมาก สำหรับเธอแล้ว ถ้ายังกำจัดปีศาจให้หมดสิ้นไปไม่ได้ เธอก็คงไม่มีหลุดพ้นจากความทุกข์ตรงนี้
ในตอนที่อันนาหยุดรถแล้วถามว่า ‘ใครอยากจะลองบ้าง’ เหล่าแม่มดก็แห่ไปล้อมเธอเอาไว้ทันที
สุดท้ายซิลเวียที่สังเกตเห็นรถยนต์ลูกบาศก์ไฟฟ้าก่อนก็ได้ลองขับเป็นคนแรก และกลายเป็นคนที่สองที่ได้ขับมันต่อจากอันนา
“เป็นยังไงบ้าง?” โรแลนด์หันไปถามอันนาที่อยู่ข้างกาย
“สนุกกว่าที่หม่อมฉันคิดเอาไว้เสียอีกเพคะ” เธอยิ้มๆ “ขอบพระทัยพระองค์มากนะเพคะที่สอนหม่อมฉันขับมัน”
คำตอบที่จริงจังแบบนี้กับรอยยิ้มที่เปล่งประกายทำเอาโรแลนด์ตกตะลึงไปชั่วขณะ ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงเบือนหน้าไปอีกทางอย่างเขินๆ มันเหมือนกับว่าเขาได้กลับไปตอนที่ได้รู้จักเธอใหม่ๆ อย่างไรอย่างนั้น “อืม…เจ้ามีความสุขก็ดี”
“ใช่แล้วเพคะ” อันนากะพริบตา “ถ้าเซลีนสามารถหาวิธีที่สร้างลูกบาศก์เวทมนตร์ที่มีความเสถียรได้ มันน่าจะเอาไปใช้ในสงครามแห่งโชคชะตาได้ใช่ไหมเพคะ?”
“ตามหลักแล้วเป็นแบบนั้น” โรแลนด์กระแอมเล็กน้อย ก่อนจะดึงเอาความคิดกลับมา “เมื่อเทียบกับแหล่งพลังงานอื่นๆ แล้ว ขอเพียงคอยดูแลเรื่องน้ำเอาไว้ เครื่องจักรที่ขับเครื่องด้วยเครื่องจักรไอน้ำลูกบาศก์เวทมนตร์ก็จะสามารถทำงานไปได้ตลอด สงครามยิ่งยืดเยื้อ ขอได้เปรียบของมันก็จะยิ่งแสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน”
“อย่างเช่นอาวุธสงครามที่มีเกราะทั้งตัว แล้วบนหัวก็มีปืนใหญ่ป้อมนั่นน่ะเหรอเพคะ?” ฟิลลิสพูดแทรกขึ้นมาอย่างตื่นเต้น “ถ้าพระองค์สามารถสร้างมันออกมาได้ ต่อให้เจอกับปีศาจแมงมุมในระยะใกล้ๆ ก็ไม่ต้องกลัวอะไรมันแล้วเพคะ”
ถูกต้อง ขอเพียงมีแรงขับเคลื่อนเพียงพอ กองทัพยานเกราะของเขาก็จะกลายเป็นจริง โดยเฉพาะรถถังที่สามารถป้องกันและโจมตี อีกทั้งยังมีพลังโจมตีที่รุนแรงอย่างมากจะยิ่งกลายเป็นพระเอกของสงครามครั้งนี้ ต่อให้เป็นรถถังเวอร์ชั่นแรกที่เพิ่งถือกำเนิดออกมาก็แข็งแกร่งพอที่จะบุกตะลุยโจมตีอสูรยักษ์แมงมุมที่ยิงเข็มหินออกมาได้ จากนั้นก็เปิดทางให้ทหารที่อยู่ด้านหลังได้บุกตะลุยขึ้นมา
แต่ขณะเดียวกัน การจะสร้างอาวุธชนิดนี้ออกมาจำเป็นต้องมีการศึกษา ไม่ใช่แค่เพียงทางเทคนิคกับทางปฏิบัติเท่านั้น แต่ตัวคนงานเองก็จำเป็นต้องมีความรู้เช่นเดียวกัน อันนาไม่มีทางที่จะแบ่งร่างมาดูเรื่องการผลิตเครื่องบินกับรถถังพร้อมกันได้ ทำให้เป็นไปได้ยากที่จะสร้างรถถังขึ้นมาได้ในระยะเวลาสั้นๆ สรุปแล้วก็คือด้วยระดับทรัพยากรและเทคโนโลยีที่มีอยู่อย่างจำกัด งานในส่วนนี้จึงจำเป็นต้องให้คนงานของเนเวอร์วินเทอร์ค่อยๆ เรียนรู้มันไป
ด้วยเหตุนี้โปรเจคแรกที่ผุดเข้ามาในหัวของโรแลนด์จึงไม่ใช่รถถังหรือว่ายานเกราะ หากแต่เป็นอุปกรณ์อย่างหนึ่งที่ให้ประชาชนได้ใช้
มันสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเพาะปลูกของเกษตรกร แล้วก็ทำให้อาณาจักรประหยัดแรงงานไปได้มาก นอกจากนี้เทคโนโลยีที่มันใช้ก็เหมือนกับรถหุ้มเกราะ ซึ่งเหมาะสำหรับการผลิตคนที่มีความสามารถทางด้านนี้อย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นในเวลาที่จำเป็น สายการผลิตอื่นๆ ก็สามารถเปลี่ยนเข้ามาอยู่ในสายการผลิตอาวุธหุ้มเกราะได้ทันที
สิ่งนั้นก็คือ รถแทรกเตอร์
…………………………………………………………………..