Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1216 การเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
คนที่เห็นภาพอันน่าตกตะลึงนี้ไม่ได้มีแต่ประชาชนของเมืองเนเวอร์วินเทอร์เท่านั้น
ก่อนหน้าเหตุการณ์นี้ มาร์จอรีกำลังยืนอยู่บนหัวเรือของเรือสโนวบรีซ สายตาเธอทอดมองออกไปยังปลายสุดของท้องทะเลอันกว้างใหญ่ นี่เป็นวันที่ 66 หลังจากที่เธอข้ามเส้นทะเลมาแล้ว คลื่นทะเลยังคงซัดเข้ามาหาพวกเธออยู่ตลอดเวลา บ้างเล็กบ้างใหญ่ ความถี่ในการเปลี่ยนแปลงนั้นเหมือนกับทะเลชาโดว์ที่อยู่ห้างออกไปหลายร้อยกิโลเมตรไม่มีผิด เหมือนกับว่าน้ำทะเลเหล่านี้ล้วนแต่มาจากที่เดียวกัน
ถ้าทะเลน้ำวนมีแหล่งกำเนิดจริงๆ อย่างนั้นนี่จะต้องเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาอย่างแน่นอน
สิ่งที่ทำให้วาณิชหญิงเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจเช่นนี้ นอกจากคลื่นทะเลที่คอยบอกทิศทางแล้ว อีกเรื่องหนึ่งก็คือเรือสโนวบรีซลำนี้
ตัวเรือที่สามารถเคลื่อนที่ไปได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาใบเรือทำให้มันสามารถล่องไปบนคลื่นทะเลอันบ้าคลั่งได้โดยไม่ต้องกังวลว่าเรือจะคว่ำ ปริมาณน้ำหนักอันมหาศาลที่มันสามารถบรรทุกได้ทำให้มันสามารถเติมน้ำจืดและเสบียงให้กับเรืออื่นๆ ได้ การที่เดินทางออกมาไกลขนาดนี้เป็นครั้งแรก แต่กลับไม่มีเรือลำไหนที่หลุดขบวน ทุกอย่างก็เป็นเพราะเรือเหล็กที่ใช้กำลังและเงินจำนวนมหาศาลในการสร้างขึ้นมาลำนี้
เธอมีเหตุผลที่ทำให้เชื่อว่าการเดินทางครั้งนี้ของธันเดอร์จะต้องไม่กลับไปมือเปล่าอย่างแน่นอน
“เห็นอะไรไหม?” ด้านหลังพลันมีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมา
มาร์จอรีหันหน้าไปพร้อมยิ้มขึ้นมา “ถ้ามีอะไรจริงๆ คนที่จะแจ้งท่านเป็นคนแรกก็คือคนสังเกตการณ์ที่อยู่บนเสากระโดงเรือ ดังนั้นท่านควรจะไปถามพวกเขาถึงจะถูก”
อีกฝ่ายก็คือผู้นำของคณะเดินทาง ธันเดอร์
“มันก็ไม่แน่” เขาพูดอย่างอารมณ์ดี “บางทีพวกเขาอาจจะเห็นอะไรบางอย่างนานแล้ว แต่กลับกำลังตกตะลึงจนกลายเป็นใบ้ก็ได้”
“พรืด..” มาร์จอรีเอามือปิดปาก ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง สิ่งที่อีกฝ่ายพูดก็คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนที่ข้ามเส้นทะเลมา ในตอนที่ผิวน้ำทะเลที่พุ่งสูงขึ้นไปเหมือนกำแพงยักษ์ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา แม้แต่ลูกเรือที่มีประสบการณ์โชกโชนก็ยังตกตะลึงจนยืนนิ่งไปเพราะภาพอันน่าเหลือเชื่อนี้ ในตอนที่เรือไต่ขึ้นไปบนกำแพงน้ำทะเล มีบางคนถึงกับแข้งขาอ่อนร่วงลงมาจากหอสังเกตการณ์
ปกติต่อให้อยู่ในคลื่นทะเลอันบ้าคลั่ง ลูกเรือเหล่านี้ก็ยังเกาะเชือกกับเสากระโดงเรือไว้แน่นเหมือนกับจิ้งจก แต่ครั้งนี้พวกเขากลับแข้งขาอ่อนทั้งๆ คลื่นลมปกติ นี่พอจะเห็นได้ว่าเส้นทะเลสร้างความตกตะลึงให้พวกเขาขนาดไหน
ธันเดอร์ยักไหล่ “จากที่ข้ารู้มา หลังจากนั้นหอการค้าสองสามแห่งได้เปลี่ยนตัวเอาคนสังเกตการณ์ที่มีสายตาที่ดีที่สุดออกไป แล้วเปลี่นรเป็นคนที่มีความกล้ามากที่สุดเข้ามาแทน เพราะว่าเรื่องนี้มันน่าขายหน้าอย่างมาก”
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ..” มาร์จอรีส่ายหัวอย่างจนปัญญา “แต่หลังจากที่ได้เห็นภาพแบบนี้ ข้าคิดว่าหลังจากนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาก็คงไม่เป็นเหมือนอย่างก่อนหน้านี้แล้วล่ะ”
“ใครจะไปรู้ล่ะ” ธันเดอร์ตบไหล่เธอ จู่ๆ เสียงของเขาพลันคร่ำเคร่งขึ้นมา “วางใจได้ โจนจะต้องไม่เป็นอะไรแน่”
มาร์จอรีเองก็หุบยิ้มลง ก่อนจะพยักหน้าออกมา “อื้อ ทะเลคือดินแดนของนาง ข้าคิดสุดท้ายแล้วนางจะต้องกลับมาเจอพวกเราในที่ไหนซักแห่งแน่นอน”
การล่องเรือไปบนทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาล สภาพจิตใจที่มองโลกในแง่ดีนั้นคือสิ่งสำคัญ เมื่อเทียบกับความกังวลที่ไร้ประโยชน์แล้ว การกระตุ้นจิตใจให้มุ่งไปหาเป้าหมายข้างหน้าต่างหากถึงจะเป็นสิ่งที่ควรจะทำ มาร์จอรีย่อมต้องรู้ในจุดนี้ดี
“เออใช่ ข้ามาหาเจ้าเพราะว่าการประชุมการเดินเรือกำลังจะเริ่มแล้ว” หลังทั้งสองคนเงียบไปครู่หนึ่ง ธันเดอร์ก็หันหน้ามาส่งสัญญาณบอกให้เธอตามเขาไป “กัปตันเรือลำอื่นๆ มากันครบแล้ว พวกเรากลับไปเข้าไปในตัวเรือกันเถอะ”
“อื้อ ข้ารู้แล้ว”
การประชุมการเดินเรือก็คือการที่กัปตันเรือทุกคนจะมารวมตัวกันที่เรือสโนวบรีซเพื่อรายงานและพูดคุยกันเรื่องส้นทางเดินเรือหลังจากนี้ สภาพของเรือและทรัพยากรที่เหลืออยู่ ปกติแล้วการประชุมจะจัดขึ้นทุกๆ 3 – 4 วัน ซึ่งนี่เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ขบวนในขณะที่ทั้งสองคนเพิ่งหมุนตัวเดินกลับเข้ามาได้ไม่กี่ก้าว ผิวน้ำทะเลสีน้ำเงินพลันมีเงาสีแดงแปลกๆ สะท้อนขึ้นมา
ลูกเรือที่อยู่บนดาดฟ้าเรือต่างพากันตกตะลึง สายตาทุกคนมองไปทางเดียวกัน เหมือนว่าพวกเขามองเห็นอะไรบางอย่างที่น่าตกตะลึง
และตรงที่ๆ ไกลออกไป ก็มีลูกเรือหลายคนบนเรือใบสามเสาตกลงมาจากเสากระโดงเรือ เหตุการณ์ทั้งหมดเหมือนกับตอนที่ข้ามเส้นทะเลไม่มีผิด นี่ทำให้มาร์จอรีรู้สึกตกใจอย่างมาก
ไหนบอกว่า…เปลี่ยนเอาคนที่กล้าที่สุดมาแล้วไง?
วาณิชหญิงคอยๆ หันหน้ากลับไปช้าๆ แต่เธอก็ต้องรู้สึกเหมือนเลือดในร่างกายจับตัวแข็งขึ้นมาทันที
เธอเห็นบนทองฟ้าสีน้ำเงินที่ปลอดโปร่งไร้ก้อนเมฆมีวัตถุขนาดใหญ่มหึมาปรากฏขึ้นมา โครงร่างของมันเป็นวงกลม ทุกส่วนของมันเป็นสีแดงสด เทียบกับพระอาทิตย์แล้วมันมีขนาดใหญ่กว่าหลายเท่า และก่อนหน้านี้ไม่กี่อึดใจ ที่ตรงนั้นมันยังไม่มีอะไรเลย!
“พระเจ้า…คุ้มครองลูกด้วย” เธอบ่นพึมพำขึ้นมา “นี่คือพระจันทร์สีแดง…ที่ฝ่าบาทตรัสเอาไว้อย่างนั้นเหรอ?”
แต่มาร์จอรีไม่ได้รับคำตอบใดๆ กลับมา ภาพเหตุการณ์ที่น่าตกตะลึงและน่ากลัวนี้ แม้แต่ธันเดอร์เองก็ยังพูดไม่ออก
“อูวววว……อูวววววว……”
ทันใดนั้นเอง เรือสโนว์บรีสพลันเปิดหวูดขึ้นมา
เสียงหวูดที่เล็กแหลมทำลายความเงียบลง ทำให้ทุกคนพลันได้สติกลับคืนมา
เสียงหวูดยาวๆ หมายความว่ามีศัตรูเข้ามาใกล้!
ทั้งสองคนสบตากัน ก่อนจะวิ่งไปทางสะพานเรือพร้อมกัน
“เกิดอะไรขึ้น!” ธันเดอร์ตะโกนเสียงดังทันทีที่เข้ามาในห้องบัญชาการ
“มะ…มี….เรือ” ผู้ช่วยกัปตันพูดติดๆ ขัดๆ “ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้…กำลังมุ่งหน้ามาหาพวกเรา…”
“เจ้าว่าอะไรนะ?” ธันเดอร์คว้าเอากล้องส่องทางไกลที่อยู่ในมือเขามา ก่อนจะมองไปทางทิศทางที่เขาบอก
มาร์จอรีเองก็ตกใจอย่างมาก ตอนนี้พวกเขาออกมาจากทะเลชาโดว์เป็นระยะทางหลายร้อยกิโลแล้ว อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่นกก็แทบจะไม่เคยเจอ แล้วจะไปมีเรือได้ยังไง?
เพราะว่าที่นี่เป็นทะเลแห่งใหม่ที่ยังไม่เคยมีมนุษย์ย่างกรายเข้ามาก่อน!
เธอขอกล้องส่องทางไกลมาจากผู้ช่วยกัปตันอีกคนหนึ่ง ก่อนจะมองตามสายตาธันเดอร์ออกไป
“พระเจ้า…”
วาณิชหญิงสูดปากด้วยความตกใจ เธอเห็นบนผิวน้ำทะเลมีเงาสองกลุ่มกำลังลอยอยู่เหนือน้ำทะเล พวกมันไม่มีใบเรือเหมือนกัน แต่กลับล่องไปบนคลื่นทะเลได้ แต่ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่น่าตกใจที่สุด น้ำทะเลรอบๆ เรือนั้นคล้ายว่ากำลังเดือดพล่านอยู่ เหมือนว่ามีฝูงปลาจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังว่ายตามพวกมันเข้ามา
แต่ไม่นานเธอก็พบว่าเจ้าสิ่งนั้นมันไม่ใช่ฝูงปลาอย่างที่เธอคิด หากแต่เป็นสิ่งที่นักสำรวจกับเหล่าพ่อค้าที่เดินเรือไม่อยากจะเจอมากที่สุด
ปีศาจทะเล
ครีบปลาที่อยู่ด้านหลังของพวกมันจะโผล่พ้นน้ำขึ้นมาเป็นบางครั้งบางครั้ง เมื่ออยู่ภายใต้พระจันทร์สีแดง น้ำทะเลที่สาดกระเซ็นขึ้นมาสะท้อนแสงแปลกๆ นี่ทำให้มาร์จอรีนึกถึงภาพปลาฉลามที่กำลังแย่งอาหารกัน
“ถ่ายทอดคำสั่งข้า ให้เรือทุกลำปรับหางเสือเต็มกำลัง!” ธันเดอร์คำราม “กางใบเรือ เร่งความเร็วเต็มที่! คนที่เหลือเตรียมสู้!”
“ขอรับ!”
“พวกเรามีปัญหาแล้ว…” กัปตันเรือทูน่ากลืนน้ำลาย
“ขอพระเจ้าได้โปรดคุ้มครองเราด้วย” กัปตันเรือคนอื่นๆ พากันสวดภาวนาขึ้นมา
ชาวฟยอร์ดทุกคนต่างรู้กันดีกว่า นอกจากเรือที่มีขนาดเบาหรือเรือที่แล่นไปด้วยความเร็วลมเต็มกำลังแล้ว เรือเดินทะเลปกติทั่วไปไม่ได้มีทางแล่นไปได้เร็วกว่าปีศาจทะเลเลย นี่หมายความว่าช้าเร็วศัตรูก็จะต้องตามพวกเขามาทันอย่างแน่นอน
แต่สถานการณ์ดูเหมือนจะยิ่งเลวร้ายลงไปมากกว่านั้น
เมื่อระยะห่างร่นเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ในที่สุดมาร์จอรีก็ได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของกลุ่มเงาสองก้อนนั้น ครึ่งล่างพวกมันเป็นเหมือนเรือ ส่วนครึ่งบนนั้นเป็นเหมือนก้อนเนื้อกองหนึ่ง เหมือนว่ามันเป็นสัตว์ประหลาดที่ปลอกเอาเปลือกออกแล้วเหลือแค่เครื่องในกับโครงกระดูกเท่านั้น ปกติมีแต่ตอนที่อยู่ในฝันร้ายที่น่ากลัวที่สุดเท่านั้นถึงจะเห็นสัตว์ประหลาดแบบนี้ได้ ในตอนที่โครงกระดูกที่ห่อหุ้มตัวเรือครึ่งบนกางออก พวกมันก็เริ่มยิงวัตถุสีเขียวอมดำบางอย่างมากทางกองเรือ ทั้งๆ ที่ทั้งสองยังอยู่ห่างกันตั้งหลายกิโลเมตร!
วัตถุสีดำเขียวตกลงไปในน้ำทะล เสาน้ำขนาดใหญ่พุ่งขึ้นมาจนทุกคนตกใจกลัว ถึงแม้จะยังไม่มีเรือลำไหนถูกยิง แต่ก็คงไม่มีใครอยากจะลองดูแน่ว่ามันคืออะไร
ธันเดอร์สีหน้าคร่ำเคร่ง เขาสั่งการออกไปอีกครั้ง “ทิ้งอาหารและของที่ใช้ในการสำรวจ เหลือน้ำจืดไว้แค่ครึ่งหนึ่ง…ไม่ แค่ 30% ก็พอ! แล้วรีบเร่งความเร็วเต็มกำลัง!”
มาร์จอรีตกตะลึง “แบบนี้พวกเราก็ไม่สามารถเข้าไปยังน่านน้ำที่ไกลกว่านี้ได้น่ะสิ”
“ยิ่งไปกว่านั้นยังเหลือน้ำจืดแค่นี้ เกรงว่าแค่ล่องเรือกลับเพียงอย่างเดียวก็ยัง…” รองกัปตันทำสีหน้ายากลำบากขึ้นมา
“อาหารยังตกเอาปลาจากในทะเลมากินได้ น้ำก็ยังรอฝนตกลงมาได้” ธันเดอร์สูดปาก “แต่ถ้าเราหนีเจ้าปีศาจทะเลพวกนั้นไม่พ้น แม้แต่โอกาสที่จะวัดดวงก็คงจะไม่เหลือ….การสำรวจจบลงแล้ว ตอนนี้เป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวคือ…เราต้องรอดกลับไป!”
…………………………………………………..