Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1219 สอบสวนความผิดปกติ
เกรย์คาสเซิล เมืองเนเวอร์วินเทอร์
ทุกคนที่อยู่สถานีตำรวจต่างวิ่งไปวิ่งมาไม่หยุด เสียงออกคำสั่งและเสียงรายงานดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย พระจันทร์สีแดงปรากฏขึ้นมาบนโลกกลายเป็นประเด็นพูดคุยที่ร้อนแรงที่สุดในช่วงหลายวันมานี้ แล้วก็ทำให้หน่วยงานตำรวจทั้งหน่วยงานยุ่งอย่างมากด้วย
ในฐานะที่เป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ของเกรย์คาสเซิลและเป็นที่ประทับของฝ่าบาทโรแลนด์ ต่อให้ในเมืองเกิดเหตุอะไรนิดหน่อย กองตำรวจก็ต้องสืบหาสาเหตุให้ชัดเจนและจดบันทึกเอาไว้ แล้วนับประสาอะไรกับเหตุการณ์ไฟไหม้กับเสียงระเบิดที่เกิดขึ้นพร้อมกันล่ะ
ช่วงสองวันมานี้คาเตอร์ แลนนิสแทบจะไม่ได้นอนเลย หลังจากที่ปลอบภรรยาที่เสียขวัญตั้งแต่วันที่เกิดเหตุแล้ว เขาก็ทุ่มเทอยู่กับงาน — การคุ้มครองฝ่าบาทคือหน้าที่สำคัญอันดับหนึ่งของหัวหน้าอัศวิน เขาจะไม่ยอมให้ใครมาก่อความวุ่นวายที่นี่เด็ดขาด ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมา การที่เกิดเรื่องในหลายๆ ที่พร้อมกันนั้นจะต้องคดีที่ทำกันเป็นขบวนการแน่นอน ด้วยเหตุนี้เขาจึงเชิญทีมนักสืบของเนเวอร์วินเทอร์มาให้ความช่วยเหลือตำรวจในการสืบสวนทันที คาเตอร์เชื่อว่าขอเพียงสืบหาเบาะแสได้ ไม่นานเขาจะต้องเอาตัวคนร้ายมาลงโทษตามกฎหมายได้แน่นอน
แต่ว่าหลังจากที่ส่งรายงานกองใหญ่ขึ้นไปแล้ว เบื้องบนกลับตั้งทีมสืบสวนร่วมขึ้นมา โดยในทีมประกอบไปด้วยสมาชิกจากสโมสรแม่มด กองสันติบาลและสำนักงานเมือง อีกทั้งพวกเขาไม่ได้มุ่งเป้าไปที่อุบัติเหตุหรือการทำผิดกฎหมายที่เกิดขึ้น หากแต่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังเวทมนตร์เป็นหลัก
“ท่านคาเตอร์ พยานมาแล้วขอรับ” อัศวินคนหนึ่งมากระซิบข้างหู “ท่านจะเริ่มการสอบสวนเลยไหมขอรับ?”
คาเตอร์โยนความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป ก่อนจะดื่มชาร้อนๆ ที่อยู่ในแก้วไปจนหมดแล้วพยักหน้าว่า “เริ่มเลย ไปเชิญคนอื่นๆ เข้ามาด้วย”
“ขอรับ”
เนื่องจากนี่ไม่ใช่การสอบสวนคนร้าย ดังนั้นเพื่อทำให้อีกฝ่ายไม่รู้สึกเครียดจนเกินไป การสอบสวนจึงจัดขึ้นในห้องทำงานที่จัดขึ้นมาชั่วคราว เจ้าหน้าที่หลักๆ ในทีมสืบสวนรวมก็มีเขา เลดี้อกาธาและเวเดอร์ที่เป็นรองหัวหน้ากองสันติบาล
พยานคนแรกที่ถูกพาเข้ามาในห้องคือสาวใช้ในโรงแรมคนหนึ่ง อายุ 21 ปี ไม่ได้เป็นพลเมืองของเนเวอร์วินเทอร์ แล้วก็ไม่เคยมีบันทึกทำความผิด
เธอดูเหมือนจะค่อนข้างตื่นเต้น พอนั่งลงบนเก้าอี้ก็ถูมือตัวเองไม่หยุด
คาเตอร์กวาดตามองดูข้อมูลที่อยู่ในมือ ก่อนจะถามเสียงคร่ำเคร่งว่า “มิสทิงเกิลใช่ไหม? ข้าอยากจะรู้ว่าตั๋วหนังเวทมนตร์ ‘ฝุ่นแห่งการทำลายล้าง’ ราคาสูงตั้ง 50 เหรียญทอง เจ้าไปเอาเงินมากมายจากที่ไหนมาซื้อ?”
“นายท่าน ข้าไม่ได้ไปขโมยหรือไม่แย่งมาจริงๆ นะเจ้าคะ!” อีกฝ่ายรีบแก้ต่าง “ท่านวิคเตอร์ที่เป็นแขกที่ข้าดูแลอยู่เป็นคนซื้อให้ข้าเจ้าค่ะ วันที่ซื้อตั๋วในสำนักบริหารก็มีหลายคนที่เห็น ข้าสาบานว่าข้าไม่ได้โกหกเจ้าค่ะ!”
ความจริงแล้วช่วงนี้เขาได้ส่งคนไปสืบมาแล้ว นี่เขาถามอีกรอบหนึ่งก็เพื่อเพิ่มความกดดันให้กับอีกฝ่าย อีกฝ่ายจะได้ไม่กล้าโกหก เพราะตอนนี้ไนติงเกลไม่อยู่ที่นี่ “วิคเตอร์ใช่ไหม? เอาไว้เดี๋ยวข้าจะเชิญเขามาสอบถามเรื่องนี้ แต่ตอนนี้เรามาคุยกันก่อนดีกว่า ตอนช่วงท้ายของหนังเวทมนตร์เจ้าเห็นอะไร”
“เจ้าค่ะ…” เสียงของสาวใช้สั่นเล็กน้อย “ตอนนี้ข้าก็ไม่ค่อยเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น มันเหมือนกับว่าภาพลวงตากลายเป็นเรื่องจริงอย่างไรอย่างนั้นเจ้าค่ะ…”
หลังจากนั้น 15 นาทีเธอถึงจะหยุดบรรยาย “ยังดีที่สุดท้ายที่ทหารพวกนั้นถูกตำรวจไล่กลับไป ไม่อย่างนั้นข้าเองก็ไม่กล้าคิดถึงจุดจบของสองคนนั้นเหมือนกันเจ้าค่ะ”
คาเตอร์ขมวดคิ้วขึ้นมา เขาเองก็เคยดู ‘หัวใจหมาป่า’มาเหมือนกัน เขาย่อมต้องรู้ว่าหนังเวทมนตร์มันน่าตกตะลึงแต่ไหน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้มากมายถึงขนาดนี้
“เจ้าแน่ใจนะว่าอาวุธของทหารมันทำให้คนดูบาดเจ็บได้จริง?”
“ข้า…ไม่แน่ใจ แต่หน้าของท่านวิคเตอร์มีเลือดออกจริงๆ เจ้าค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นเสียงร้องของคนที่บาดเจ็บคนอื่นก็ไม่เหมือนว่าแกล้งทำเลยเจ้าค่ะ…”
“เจ้าจำได้ไหมว่าเรื่องมันเกิดขึ้นตอนไหน?”
“น่าจะประมาณ 10 นาทีก่อนหนังจบเจ้าค่ะ…ขออภัยเจ้าค่ะ ตอนนั้นข้ากลัวมาก ก็เลยซุกอยู่แต่ในอกของท่านวิคเตอร์เจ้าค่ะ”
“พวกเจ้ามีอะไรจะถามไหม?” คาเตอร์มองไปทางอีกสองคนที่เหลือ
อกาธานิ่งเงียบไปเล็กน้อย “ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิดล่ะก็ เจ้าจะบอกว่าคนในหนังเวทมนตร์พูดคุยกับพวกเจ้าใช่ไหม?” เธอหยิบรูปๆ หนึ่งขึ้นมา “ใช่คนนี้ไหม?”
คนที่อยู่ในรูปคือนักแสดงชายของคณะละครสตาร์ฟลาวเวอร์ที่แสดงเป็นทหารอารักขาแม่มด
“ใช่เจ้าค่ะ เขานั่นแหละเจ้าค่ะ ข้าจำได้แม่นเลย ตอนนั้นเขายังมาขอบคุณพวกข้าด้วยเจ้าค่ะ!”
คาเตอร์ที่ได้ยินเช่นนี้พลันรู้สึกขนลุกขึ้นมา เขาย่อมต้องรู้ว่าทันทีที่หนังเวทมนตร์ถ่ายทำเสร็จเรียบร้อย มันก็จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขเนื้อหาข้างในได้ ส่วนเรื่องที่ออกมาพูดคุยกับคนที่อยู่ข้างนอกนั้นยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้เลย
เมื่อเห็นทั้งสองคนไม่พูดอะไรอีก เขาจึงหันไปโบกมือเรียกลูกน้อง “เปลี่ยนเอาคนอื่นเข้ามา”
การเล่าเรื่องของพยานอีกหลายคนหลังจากนั้นก็ไม่ได้แตกต่างกันมาก พูดง่ายๆ ก็คือหนังเวทมนตร์เหมือนมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ ถึงแม้หลังจากเกิดเรื่องจะถูกบอกว่าเป็นความผิดพลาดเล็กน้อย แต่ในตอนนั้นมันก็เกิดขึ้นจริงๆ จากหลักฐานและคำให้การของพยานหลายๆ คนทำให้เห็นว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ใครคนใดคนหนึ่งคิดไปเอง
เนื่องจากเมื่อหลายวันก่อนคาเตอร์มัวแต่ไปสนใจเรื่องไฟไหม้กับระเบิด เขาจึงไม่ได้สนใจเรื่องรายงานความวุ่นวานที่เกิดขึ้นในโรงหนังมากนัก แต่ตอนนี้เขาเหมือนจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเบื้องบนถึงสนใจเรื่องนี้มากกว่า
“พยานคนต่อมาคือตำรวจที่เคยรักษาความเป็นระเบียบอยู่ภายในลาน หัวหน้าหน่วยที่สอง”
“ให้เขาเข้ามา
หัวหน้าหน่วยคนนี้ดูมีความสุขุมมากกว่าคนอื่นๆ เขาเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นตอนนั้นออกมาอย่างรวดเร็ว “ข้าได้ยินร้องไห้กับเสียงขอความช่วยเหลือดังมากจาด้านนอกก่อน ในตอนที่ข้าคิดจะออกไปดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น ข้าถึงได้สังเกตเห็นว่าบนท้องฟ้ามีพระจันทร์สีแดงปรากฏขึ้นมา บอกตามตรง ตอนนั้นข้าเองก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย ข้าไม่รู้ว่าควรจะยืนเฝ้าอยู่ในตำแหน่งต่อดี หรือว่าออกไปช่วยคนที่ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือดี แต่ในตอนนั้นเอง แม่มดคนหนึ่งก็วิ่งออกมาจากทางด้านหลังของห้องดูหนัง นางบอกให้ข้ารีบพาลูกน้องเข้าไปในห้องดูหนังเพื่อปกป้องผู้ชม”
“จากนั้นเขาก็ยิงปืนใส่ทหารที่ไล่ตามมาในหนังเวทมนตร์?”
“ถึงแม้จะฟังดูแล้วแปลกๆ แต่ความจริงมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ บางทีพวกเขาอาจจะเป็นนักแสดงจริงๆ แต่ตอนนั้นเขาก็ทำให้คนดูตกใจจริงๆ บวกกับข้าคิดมาตลอดว่านั้นเป็นแค่เพียงภาพลวงตา ข้าก็เลยไม้ได้ลังเลอะไร”
คนรองสุดท้ายที่ถูกเรียกตัวมาสอบสวนก็คือแม่มดที่ฉายหนังเวทมนตร์ ไนท์ฟอล
“ข้าจะทำยังไงได้ล่ะ ข้าก็สิ้นหวังเหมือนกันนะ ปกติแม่มดคนไหนมีพลังเวทมนตร์เหลืออยู่เยอะก็จะไปรับผิดชอบเรื่องการกระตุ้นรูนแห่งเวลาเพื่อฉายหนังเวทมนตร์ ใครจะไปรู้ล่ะว่าจะเกิดปัญหาแบบนี้ขึ้น?” ทันทีที่เข้ามาในห้องเธอก็บ่นไม่หยุด “ตอนแรกก็ฉายอยู่ดีๆ แต่จู่ๆ รูนมันก็ผลักข้าออกมา ทำให้ข้ามองอะไรไม่เห็น ตามปกติแล้ว ถ้าเกิดเหตุการณ์ผิดปกติแบบนี้ข้าก็ควรจะรีบหยุดใส่พลังเวทมนตร์เข้าไป แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่ยอมหยุด ข้าอยากจะเขย่าตัวผู้ชมให้ตื่น แต่ข้าผลักยังไงพวกเขาก็ไม่ยอมตื่นขึ้นมา เหมือนว่าพวกเขาโดนเมล็ดพันธุ์แห่งการหลับใหลอย่างไรอย่างนั้น ตอนนั้นข้าพยายามเต็มที่แล้ว คิดไปคิดมาข้าก็เลยได้แต่ต้องไปตามตำรวจให้เข้ามาช่วย”
มุมปากอกาธากระตุกขึ้นมา “รูน…ผลักเจ้าออกมาอย่างนั้นเหรอ?”
“น่าจะนะ ตอนนั้นข้ารู้สึกได้ถึงแรงผลักที่ส่งมาจากมันจริงๆ เหมือนกับว่าใส่พลังเวทมนตร์เยอะเกินไปจนมันเริ่มล้นออกมา แต่จากนั้นสายตาก็กลับมามองเห็นเหมือนปกติ”
“พอแล้ว คนต่อไป”
ในตอนที่คนสุดท้ายเดินเข้ามาในห้องทำงาน คาเตอร์ก็ต้องตกตะลึงไปเล็กน้อย เพราะอีกฝ่ายคือเคแกน เฟส ผู้เขียนบทละครเรื่องนี้
ในขณะที่เพิ่งจะนั่งลง เขาพลันกำหมัดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
“พระเจ้าเป็นพยาน นี่เป็นละครที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ข้าเคยดูมาเลย!”
“ตอนนั้นเขาก็อยู่ในโรงหนังด้วยงั้นเหรอ?” คาเตอร์ขมวดคิ้วขึ้นมา เนื่องจากอีกฝ่ายเคยมีปัญหากับภรรยาของตน เขาจึงไม่ค่อยถูกกับปรมาจารย์ด้านการแสดงคนนี้เท่าไร “ข้าตรวจดูรายชื่อของคนที่เข้าชมรอบแรกแล้ว ในรายชื่อไม่มีชื่อของเจ้านี่นา”
“ตอนนั้นเขานั่งอยู่ในที่นั่งพิเศษด้านหลังเวที ความจริงแล้ว นักแสดงของคณะละครสตาร์ฟลาวเวอร์ไม่จำเป็นต้องเสียเงินเพื่อซื้อตั๋วชมหนังเวทมนตร์ที่ตัวเองแสดง ภรรยาของเจ้าไม่เคยบอกเจ้าเหรอ?” แม่มดน้ำแข็งตอบแทนเคแกน “ความจริงแล้วเป็นเพราะรายงานของเขานั่นแหละถึงได้ทำให้ฝ่าบาททรงสนพระทัยเรื่องนี้ แล้วก็ส่งสโมสรแม่มดให้มาเข้าร่วมการสืบสวนด้วย”
“ขอโทษด้วย นี่คือความเคยชินของข้า” เคแกนพูดขอโทษพร้อมเอามือขึ้นมาทาบที่หน้าอก “ข้ามักจะแอบชอบไปดูละครที่ตัวเองเขียนโดยที่ไม่บอกคนอื่นว่าข้าเป็นใคร เพื่อที่จะได้สัมผัสปฏิกิริยาของผู้ชมได้โดยตรง เลดี้เมย์อาจจะรู้ในจุดนี้ก็เลยไม่ได้บอกเจ้าก่อน” เมื่อพูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงเขาพลันฟังดูตื่นเต้นขึ้นมา “ข้าต้องขอบอกเลยว่า หนังเวทมนตร์เรื่องนี้เป็นปาฏิหาริย์ในประวัติศาสตร์ละครเวที เพราะว่าผู้ชมเป็นคนเขียนตอนจบขึ้นมาเอง!”
“เจ้าว่าอะไรนะ?” คาเตอร์ตกใจ
“ท่านไม่ได้ฟังผิด ท่านอัศวิน บทละครของข้าไม่ได้เขียนเอาไว้แบบนี้!” เคแกน เฟสพูดพร้อมโบกไม้โบกมือ “ตามเรื่องที่ข้าเขียนเอาไว้ เดิมจุดจบของละครเรื่องนี้ควรจะเป็นโศกนาฎกรรมที่น่าเศร้า เพื่อที่ปกป้องคนที่ตัวเองรัก ทหารอารักขายอมใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อทหารที่ไล่ตามมา จนสุดท้ายตัวเองต้องตกลงไปในหน้าผา ทิ้งให้แม่มดต้องใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าทั้งสองคนกลับได้รับความช่วยเหลือของผู้ชม ทำให้ทั้งคู่มีชีวิตรอดต่อไป ยังจะมีเรื่องไหนที่ยอดเยี่ยมกว่าเรื่องนี้อีกเหรอ?”
หัวหน้าอัศวินอ้าปากค้าง
“บทพูดเหล่านั้นข้าก็ไม่ได้เป็นคนเขียน หากแต่เป็นสิ่งที่พวกเขาพูดขึ้นมาเอง ก็เหมือนกับที่นักแสดงว่าเอาไว้ ผู้ชมไม่เพียงแต่จะช่วยพวกเขา แต่ยังเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของพวกเขาด้วย!” เคแกนพูดเสียงดังขึ้นด้วยความตื่นเต้น “นี่คือสุดยอดละครเวทีที่ข้าเฝ้าตามหามาโดยตลอด ถ้าพวกเจ้ารู้สาเหตุของมันแล้วก็ช่วยบอกข้าด้วยล่ะ!”
……………………………………………………….