Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1223 มิสต์
เมื่อเห็นมิสต์ โรแลนด์ทั้งรู้สึกแปลกใจแล้วก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล “เจ้า…เป็นใครกันแน่?”
“คนที่ถูกจองจำที่ต้องการความช่วยเหลือ” มิสต์มองไปรอบๆ “ข้ารู้ว่าเจ้ามีคำถามมากมายอยากจะถามข้า พวกเรานั่งลงแล้วค่อยๆ คุยกันเถอะ เอาที่ตรงข้างหน้าต่างนี้แล้วกัน”
“ไม่ต้องไปห้อง 302 เหรอ?” เขามองดูอีกฝ่ายเลือกที่นั่งที่อยู่ใกล้ริมถนน
“ที่นัดสถานที่เอาไว้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงสายตาคนอื่น แต่ที่นี่ไม่มีใคร ดังนั้นนั่งตรงไหนก็ได้” มิสต์พูด “เออใช่ ในเมื่อเป็นร้านกาแฟ งั้นข้าขอกาแฟเย็นแก้วหนึ่งสิ?”
“ข้านึกว่าการคุยกันอย่างลับๆ นั้นต้องเป็นความลับที่น่าตกใจ ทำให้รู้สึกเครียด ถ้าแพร่งพรายออกไปจะทำให้เกิดความโกลาหลยกใหญ่เสียอีก”
“คุณค่าของความลับมันขึ้นอยู่กับคนที่ฟังมัน ยิ่งไปกว่านั้นการที่อยู่ใต้ดินทั้งวัน แล้วยังต้องมาคอยป้องกันการกัดกินขยายตัว แค่นั้นมันก็เครียดมากพออยู่แล้ว ได้ออกมาข้างนอกทั้งทีก็ต้องมาผ่อนคลายหน่อย” มิสต์ตอบช้าๆ “กาแฟแก้วนึง ขอบคุณ”
โรแลนด์จ้องมองเธออยู่ครู่ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดว่า “มีแต่กาแฟสำเร็จรูปนะ”
“ไม่เป็นไร”
บ้าเอ้ย นี่มันร้านของตัวเองชัดๆ แต่ทำไมกลับรู้สึกเหมือนกลายเป็นคนใช้เลย….เขาเอากาแฟกับนมจากในตู้เย็นมาเทใส่แก้ว จากนั้นเติมน้ำแข็งลงไปอีกสองก้อน ก่อนจะยกไปให้อีกฝ่าย ตลอดทั้งขั้นตอนเขาไม่ได้ละสายตาจากอีกฝ่ายเลย
“วางใจได้ ข้าไม่หายตัวไปเฉยๆ หรอกน่า” มิสต์ยักไหล่
“มันก็ไม่แน่” โรแลนด์มองตาไม่กะพริบ “ข้าเคยวานให้การ์เซียติดต่อเจ้า แล้วก็เคยไปที่เมืองปริซึมสองครั้ง แต่ตอนนั้นเจ้าเหมือนกับหายตัวไปอย่างไรอย่างนั้น ในเมื่อทิ้งกระดาษโน้ตนี่เอาไว้ ทำไมถึงไม่มาพูดกับข้าตรงๆ ล่ะ?”
ครั้งนี้มิสต์นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ “เพราะว่าตอนนั้นมันยังไม่ถึงเวลา เด็กน้อย”
ยังไม่ถึง…เวลา? โรแลนด์ชะงักไปเล็กน้อย “เจ้าหมายความว่าให้ข้าได้ไปเห็นเองว่าแท้ที่จริงแล้ว…พระจันทร์สีแดงคือการกัดกัน มันน่าเชื่อถือกว่าการที่เจ้าเป็นฝ่ายบอกข้าเองอย่างนั้นเหรอ?”
“หัวเร็วนี่ นี่ทำให้ข้าคาดหวังในตัวเจ้ามากขึ้นไปอีก”
“คาดหวังว่าข้าจะช่วยเจ้าเหรอ?” โรแลนด์ส่งเสียงเหอะออก “สีหน้าของเจ้าดูไม่เหมือนคนต้องการความช่วยเหลือเลยแม้แต่นิดเดียว”
“แล้วเจ้าคิดว่าต้องทำหน้าแบบไหนเจ้าถึงจะเชื่อ? ขอร้องอ้อนวอน? กอดขาเจ้าแล้วร้องไห้? หรือว่าสัญญาว่าจะให้อะไรตอบแทน?” มิสต์ส่ายหัว “ไม่ ต่อให้ข้าทำแบบนั้น เจ้าก็ไม่แน่ว่าจะเชื่อข้า แบบนั้นมีแต่จะทำให้เรื่องราวบานปลายเข้าไปใหญ่”
ถ้าเจ้าไม่ทำแล้วจะรู้ได้ยังไง โรแลนด์เดิมอยากจะตอบแบบล้อเล่นออกมา แต่พอกำลังจะพูดออกมาเขาก็ต้องกลืนคำพูดกลับเข้าไปใหม่ อีกฝ่ายไม่ได้อายุรุ่นราวคราวเดียวกับการ์เซีย เธอเป็นลูกศิษย์คนแรกของผู้คุมแห่งสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ เป็นอาจารย์ของการ์เซีย เป็นผู้อาวุโสของอาวุโสของคน ถ้าคำนวณจากรูนแห่งเวลาที่ได้เห็นได้โบสถ์สะท้อนกลับแล้ว อายุของเธอน่าจะ 700 – 800 ปีแล้ว เมื่อมองดูคนที่เหมือนเดินออกมาจากในประวัติศาสตร์แล้ว เขาจึงพบว่าตัวเองไม่กล้าที่จะล้อเล่นออกมา
“เอาล่ะ…” โรแลนด์นั่งลงตรงหน้ามิสต์ ก่อนจะเรียบเรียงคำถามจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ในหัว “เจ้าเคยเป็นหนึ่งในสมาชิกของสมาพันธ์เหรอ?”
“ข้าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับโลกของเจ้า” มิสต์ตอบ “ข้าเกิดที่นี่ แล้วก็ต้องตายที่นี่ ถึงแม้มันจะเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานก็ตาม”
“แต่ข้าเห็นรูปเจ้าอยู่ในโบสถ์เงาสะท้อน…”
“หน้าตาคล้ายกันมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร” เธอพูดตัดบท “ยิ่งไปกว่านั้นบันทึกที่ทิ้งเอาไว้ในประวัติศาสตร์มันไม่มีอะไรให้เก็บมาคิดอะไรนัก”
“มันจะไม่บังเอิญเกินไปหน่อยเหรอ?” โรแลนด์ขมวดคิ้ว
“ถ้ายืดเส้นเวลาออกไปให้ยาวมากพอ เจ้าจะพบว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญอะไรมันก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เทียบกับการไปนั่งครุ่นคิดเรื่องอดีตแล้ว สู้ทุ่มความสนใจเอาไว้ที่ปัจจุบันจะดีกว่า”
บางทีเธออาจจะไม่รู้ความจริง หรือไม่เธอก็อาจจะจงใจปิดบัง แต่โรแลนด์รู้ดีว่าถ้าไม่มีไนติงเกลอยู่ข้างๆ อาศัยแค่ระดับในการแยกแยะคำพูดและสีหน้าของเขานั้นยากที่จะแยกแยะคำพูดของอีกฝ่ายว่าจริงหรือโกหกได้ ในเมื่ออีกฝ่ายตอบมาเช่นนี้ เขาจะรบเร้าไปมันก็ไม่มีประโยชน์ สู้ถามคำถามอื่นดีกว่า
“อย่างนั้น…พลังเวทมนตร์คืออะไร?”
มุมปากของมิสต์ยิ้มขึ้นมา “เจ้าน่าจะพอเดาได้แล้ว มันไม่ใช่อะไรทั้งนั้น ระบบทั้งหมดที่มีอยู่ในตอนนี้ไม่สามารถอธิบายมันได้ เพราะว่ามันไม่ได้เป็นของโลกนี้ เหมือนกับสิ่งมีชีวิตในมิติที่ต่ำกว่าไม่สามารถเข้าใจสิ่งมีชีวิตในมิติที่สูงกว่าได้ สิ่งเดียวที่รู้ในตอนนี้ก็คือพวกเราสามารถใช้มันได้ หรือเจ้าจะอธิบายมันด้วยคำพูดธรรมดาๆ ว่า ‘พลังที่ได้รับมาโดยบังเอิญ’ ก็ได้”
ใช่จริงๆ ด้วย…เหมือนกับพลังแห่งธรรมชาติเลย โรแลนด์คิดในใจ ไม่ ไม่สิ…พูดแบบนี้มันก็ไม่ถูก ไม่ใช่ว่าพลังเวทมนตร์เหมือนกับพลังแห่งธรรมชาติ แต่พวกมันคือสิ่งเดียวกันต่างหาก เพื่อที่จะอธิบายให้ตัวเองรู้จากอีกมุมหนึ่งว่าพลังเวทมนตร์คืออะไร โลกแห่งความฝันก็เลยกลายเป็นแบบนี้ “ในงานต้อนรับสมาชิกใหม่ที่เมืองปริซึม ที่เจ้าพูดอธิบาย…แล้วก็การคาดเดาที่อยู่บนหนังสือ ‘เหตุผลของการมีอยู่’ ต่างก็…เป็นเรื่องจริงอย่างนั้นเหรอ?”
เรื่องหนึ่งก็คือที่มาของการกัดกินกับแท้ที่จริงแล้วการกัดกินคืออะไร ส่วนอีกเรื่องหนึ่งก็คือสมมติฐานว่าสงครามแห่งโชคชะตานั้นจะวนกลับมาอยู่ตลอด ทั้งสองเรื่องนี้เรียกได้ว่าเป็นปัญหาที่เขาอยากจะรู้คำตอบมากที่สุด
“ไม่ถูกซะทีเดียว แต่เจ้าจะคิดแบบนี้ก็ได้” คำตอบของมิสต์ดูสบายใจมากกว่าที่คิดเอาไว้
“ข้าอยากจะรู้ว่าแล้วที่ถูกต้องมันคืออะไร”
“นั่นมันเกินกว่าความสามารถในการทำความเข้าใจของเจ้าจะทำความเข้าใจได้ ถ้าใช้ระบบตัวหนังสือของเจ้าในการอธิบายมันก็ไม่สามารถบรรยายออกมาได้อย่างชัดเจน” เธอจิบกาแฟเข้าไปคำหนึ่ง “นอกจากนี้ทุกๆ การเคลื่อนไหวของข้าล้วนแต่อยู่ภายใต้การจับตาดูของ ‘พระเจ้า’ ถ้าหากข้าแพร่งพรายข้อมูลที่อาจจะก่อให้เกิดอันตรายไปถึงมัน ทั้งสองโลกก็จะพังทลายลง ดังนั้นจำเอาไว้ มีแต่สิ่งที่เจ้าทำความเข้าใจได้ด้วยตัวเองเท่านั้นถึงจะเป็นคำตอบที่แท้จริง”
มุมปากโรแลนด์กระตุกขึ้นมา นี่เท่ากับจะบอกว่าต่อให้โกหกก็เพราะข้าหวังดีต่อเจ้าอย่างนั้นเหรอ
“มันทำลายทั้งสองโลกได้?”
“ข้าถึงได้เรียกมันว่าพระเจ้าไง เพราะว่านี่น่าจะเป็นคำพูดที่ใช้เรียกสิ่งที่มีพลังแบบนี้ในความคิดของเจ้า”
“เป้าหมายของพระเจ้าคืออะไร?”
“ทำให้สงครามแห่งโชคชะตาดำเนินต่อไปเรื่อยๆ”
“แล้วเจ้าเกี่ยวข้องยังไงกับพระเจ้า?”
ครั้งนี้มิสต์ไม่ได้ตอบทันที หากแต่ลังเลเล็กน้อย “ข้าคือคนที่ทรยศมัน”
“ทร…ยศ?”
“ถูกต้อง การวนเวียนแบบนี้ไม่มีทางที่จะจบลง ข้าไม่อยากจะถูกขังอยู่ในสถานที่นี้ไปตลอด ยิ่งไปกว่านั้นการวนเวียนก็หมายถึงการสูญเสีย ต้องมีซักวันที่พระเจ้าพังทลายลง เมื่อถึงตอนนั้นไม่ว่าจะเป็นโลกไหน มันก็จะกลายเป็นดินแดนแห่งความตาย
โรแลนด์มองดูเธออยู่ครู๋ “อย่างนั้นจุดประสงค์ที่เจ้ามาหาข้าคือ…”
“ข้าต้องการความช่วยเหลือของเจ้า เด็กน้อย” มิสต์หลบตาเขา “ข้าอยากจะให้เจ้าหยุดสงครามแห่งโชคชะตา ทำให้มันสิ้นสุดลงอย่างเด็ดขาด”
“เจ้าหมายถึงเอาชนะสงครามเหรอ?”
“ไม่ แบบนั้นมันก็เป็นแค่การเริ่มต้นสงครามครั้งใหม่เท่านั้น” มิสต์ส่ายหัว “ถ้าอยากจะหยุดทุกสิ่ง เจ้าต้องเข้าไปแทนที่พระเจ้า!”
โรแลนด์ตกตะลึง คำตอบนี้…ช่างน่าตกใจจริงๆ
เขาสูดหายใจ “ขอโทษด้วย แต่ข้าคงต้องขอปฏิเสธ”
“ทำไม?” มิสต์ถามอย่างไม่เข้าใจ สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย
“สิ่งที่เจ้าพูดมานี้ ข้าไม่สามารถไปพิสูจน์ได้ ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่เจ้าเองก็ยอมรับว่าที่ต้องใช้คำตอบกำกวมก็เพื่อหลีกเลี่ยงการจับตาดูของพระเจ้า บางครั้งแค่คำพูดเพียงคำเดียวก็ทำให้เข้าใจผิดได้ นี่ก็หมายความว่าข้าอาจจะถูกเจ้าหลอกได้ ในเมื่อเจ้ายังหักหลังพระเจ้าได้ อย่างนั้นหักหลังข้าไม่ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่เหรอ?” โรแลนด์ผายมือออก “เรื่องที่ให้ไปเป็นหนังหน้าไฟนั้นข้าไม่ถนัดซักเท่าไร ดังนั้นเรื่องที่จะให้ข้าไปแทนที่พระเจ้าอะไรนั่น เจ้าไปหาคนอื่นเถอะ”
“ถ้าเจ้าทำได้ล่ะก็….”
“หยุดเลย” โรแลนด์พูดพร้อมยื่นมือออกไป “ไหนบอกจะไม่สัญญาว่าจะมีอะไรตอบแทนไง? เมื่อกี้เจ้าเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่าทำแบบนั้นจะยิ่งทำให้เรื่องมันยุ่งยากมากเข้าไปใหญ่”
ครั้งนี้มิสต์จ้องมองดูเขาอยู่ 10 นาที “ไม่…ข้าเปลี่ยนความคิดแล้ว”
“มันก็ไม่มีประโยชน์เท่าไร” โรแลนด์ลุกขึ้นไปเทกาแฟให้ตัวเอง “สัญญาที่เลื่อนลอยมันก็เหมือนกับการแขวนแครอทเอาไว้หน้าลา ดูแล้วเหมือนจะดี แต่ถ้ากินไม่ได้มันก็ไม่มีประโยชน์”
“อย่างน้อยเจ้าก็น่าจะฟังข้าพูดให้จบก่อน”
“ข้าบอกแล้วไง…”
“เจ้าจะพาแอชเชสกลับมาได้”
“ฟึบ….เพล้งง!”
โรแลนด์ตกตะลึงไปทันที แก้วที่อยู่ในมือหลุดตกลงไปที่พื้น ก่อนจะแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
…………………………………………………………………