Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1229 หมอกแดง
โรแลนด์อยู่เป็นเพื่อนการ์เซียถึงประมาณตีสี่ตีห้า ก่อนที่เธอจะค่อยๆ หลับไป
คำพูดที่เธอพูดออกมาในช่วงเวลาครึ่งคืนนี้รวมๆ แล้วมากกว่าคำพูดที่เธอพูดกับเขาตั้งแต่ที่รู้จักเขามาเสียอีก….แต่แทนที่จะเรียกว่าพูดคุยกัน ควรจะบอกว่าการ์เซียพูดอยู่คนเดียวจะเหมาะกว่า เนื้อหาส่วนใหญ่นั้นล้วนแต่เป็นเรื่องหลังจากที่เธอออกมาจากตระกูลโคลฟเวอร์ แล้วก็ได้มาเจอกับมิสต์
สิ่งที่โรแลนด์ทำได้ก็คือคอยเทนมให้กับเธอ จากนั้นก็นั่งฟังเธอพูดอยู่เงียบๆ
แต่เขาก็สังเกตเห็นว่าความยุติธรรมและการอุทิศตนส่วนใหญ่ของการ์เซียนั้นได้รับมาจากการสั่งสอนของมิสต์ รวมไปถึงความกระหายที่จะปกป้องโลกใบนี้ด้วย ถึงแม้การสั่งสอนของอีกฝ่ายจะเข้มงวดอย่างมาก แต่การ์เซียก็ยังมองเธอเป็นเป้าหมายและสิ่งที่ยึดเหนี่ยวเธอไว้
อย่างน้อยเมื่อดูจากตอนนี้แล้ว มิสต์ก็เหมือนจะมีความรู้สึกผูกพันอยู่กับโลกแห่งความฝัน
ไม่รู้ว่าวิธีที่เธอพูดมาพวกนั้นจะเป็นไปได้หรือเปล่า
ห้อง 0825 นั้นมีห้องนอนแค่สองห้อง ห้องหนึ่งในนั้นเป็นของซีโร่ โรแลนด์กำลังชั่งน้ำหนักดูระหว่างการล้วงหยิบกุญแจออกมาจากตัวการ์เซียกับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาหลังจากนั้น สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจที่จะพาเธอไปนอนที่ห้องนอนของเขา ส่วนตัวเองไปนอนอยู่ที่ห้องรับแขก แบบนี้อีกฝ่ายจะได้พักผ่อนเต็มที่ แล้วตัวเองก็จะได้ไม่โดนเข้าใจผิดด้วย
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา นี่่น่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดแล้ว
แต่แน่นอนว่าเขาไม่ได้จะมานอนหลับอยู่ที่โซฟาจริงๆ เพราะตัวเขาที่อยู่อีกด้านหนึ่งนั้นนอนหลับมาเป็นเวลานานแล้ว
หลังพาการ์เซียเข้านอน โรแลนด์ก็มองดูภาพเมืองที่ถูกความมือเข้าปกคลุมผ่านทางหน้าต่างในห้องนอน นี่คือโลกแห่งความฝันในเวลาตีสี่ แสงไฟยังคงส่องสว่างอยู่ในเมือง ดูแล้วสะดุดตามากกว่าแสงดาวเสียอีก ถึงแม้มันจะดูแล้วเงียบสงบ แต่มันกลับเต็มไปด้วยอันตรายเหมือนกับอีกโลกหนึ่ง พระจันทร์สีแดงที่เป็นตัวแทนของการกัดกินได้เผยใบหน้าที่โหดร้ายของมันออกมา สิ่งเดียวที่แตกต่างกันก็คือ ดวงหนึ่งลอยอยู่บนฟ้า แต่อีกดวงหนึ่งกลับฝังอยู่ใต้ดิน
โรแลนด์ปิดหน้าต่างแล้วออกไปจากโลกแห่งความฝัน
หลังความมึนงงที่คุ้นเคยผ่านไปแล้ว เขาก็ค่อยๆ ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น สิ่งแรกที่สะท้อนเข้ามาในดวงตานั้นไม่ใช่เพดาน หากแต่เป็นดวงตาที่ส่องประกายเหมือนดวงดาว
“….” หลังดวงตาทั้งสองคู่สบตากัน โรแลนด์พลันได้ยินเสียงลมหายใจที่กระชั้นขึ้นมา จากนั้นเงาที่อยู่เหนือหัวก็หายไปอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าเมื่อครู่นี้เป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น
“แค่กๆๆ…เมื่อกี้ หม่อมฉันเพียงแค่อยากจะดูว่าพระองค์ตื่นหรือยัง เพราะพระองค์บรรทมไปนานแล้ว หม่อมฉันก็เลยกังวลนิดหน่อยเพคะ…” ไนติงเกลไปปรากฏตัวอยู่ตรงโต๊ะทำงาน “อีกอย่าง ทำไมพระองค์ถึงตื่นขึ้นมาปุบปับอย่างนี้ล่ะเพคะ หม่อมฉันตกใจแทบแย่!”
เอ่อ…โรแลนด์พูดไม่ออกไปทันที ตื่นขึ้นมาปุบปับมันหมายความว่ายังไง หรือว่าเขายังต้องส่งสัญญาณก่อนที่จะตื่นขึ้นมาด้วย?
“เอาเป็นว่าไม่มีอะไรก็ดีแล้วเพคะ หม่อมฉันจะกลับห้องไปนอนแล้วเพคะ” เธอจงใจทำเป็นหาวออกมา “ใช่แล้วเพคะ ตอนประมาณ 4 ทุ่ม อันนามาหาพระองค์ แต่พอเห็นพระองค์ยังไม่ตื่นขึ้นมา นางก็เลยกลับไปก่อน นางฝากหม่อมฉันให้ทูลพระองค์ด้วยว่าอย่าหักโหมมากเกินไปนะเพคะ”
“เดี๋ยวก่อน ตอนนี้กี่โมงแล้ว?”
“เที่ยงคืนกว่าเพคะ” ไนติงเกลเดินไปที่ประตูห้องทำงาน “อย่างนั้น…ราตรีสวัสดิ์นะเพคะ”
เมื่อเห็นประตูปิดลง โรแลนด์พลันรู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมาในหัวใจอย่างรุนแรง ถึงแม้การเข้าไปในโลกแห่งความฝันจะเหมือนกำลังนอนหลับ แต่พลังงานที่ใช้ไปนั้นไม่ได้ลดลงเลย บวกกับความเร็วของเวลาของทั้งสองโลกนั้นไม่เท่ากัน พูดอีกอย่างก็คือมันเหมือนเขาไม่ได้นอนมาเกือบสองวันแล้ว
เขาบิดขี้เกียจแล้วลุกขึ้นมาจากเก้าอี้นอน ในขณะที่กำลังจะกลับไปนอนต่อ หางตาของเขาพลันเหลือบไปเห็นความผิดปกติบางอย่าง
โรแลนด์มองออกไปทางด้านบนของหน้าต่าง ก่อนจะต้องตกใจจนเกือบตะโกนร้องออกมา!
เขาเห็นใบหน้าที่ขาวซีดสองใบหน้าห้อยแปะลงมาจากด้านบนหน้าต่างจนใบหน้าดูบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย ดวงตาสี่ดวงกำลังจ้องมองเข้ามาในห้อง ไม่ต้องบอกก็คงจะรู้ว่าน่ากลัวแค่ไหน!
ถ้าไม่เป็นเพราะดวงตาสองคู่นั้นดูคุ้นเคย เกรงว่าเขาคงจะเปิดประตูหนีออกจากห้องไปแล้ว
เดี๋ยวๆ คุ้นเคย?
โรแลนด์พยายามสะกดอารมณ์แล้วหรี่ตามองดูอยู่ครู่ ก่อนจะพบว่านั้นคือไลต์นิ่งกับเมซี่!
ทำไมจู่ๆ พวกเธอถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่?
ยิ่งไปกว่านั้นยังในเวลากลางดึกแบบนี้ด้วย
ทั้งสองคนเหมือนจะรู้แล้วว่าร่องรอยของตัวเองถูกเปิดเผย พวกเธอจึงค่อยๆ บินลงมาจากบนหลังคา
“พวกเจ้ามาถึงเมืองเนเวอร์วินเทอร์เมื่อไร?” หลังพาทั้งสองคนเข้ามาในห้อง เขาก็ถามขึ้นมาด้วยใบหน้าเคร่งเครียด “ทำไมถึงไม่รีบมารายงานข้าทันที?”
พอเข้าไปใกล้โรแลนด์ถึงได้สังเกตเห็นว่าไม่ว่าจะเป็นไลต์นิ่งหรือว่าเมซี่ ผมเผ้าและเสื้อผ้าต่างก็สกปรกมอมแมม เหมือนกับว่าในช่วงเวลาครึ่งปีที่ผ่านมานี้พวกเธอไม่ได้อาบน้ำเลย นี่พอจะทำให้เห็นได้ว่าการสอดแนมครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย
“ทูลฝ่าบาท พวกเรามาถึงเมื่อประมาณหนึ่งชั่ว….จิ๊บ…” เมซี่พูดไปได้ครึ่งเดียวก็ถูกไลต์นิ่งเอามืออุดปากไว้
“ไม่ใช่เพคะ พวกเราเพิ่งจะมาถึงไม่นาน ไม่เห็นอะไรเลยเพคะ!” พอพูดจบเธอก็หันไปถลึงตาใส่เมซี่ “ใช่ไหม?”
เมซี่รีบพยักหน้า “จิ๊บ….หม่อมฉันจำผิดไปเพคะ”
มุมปากโรแลนด์กระตุกขึ้นมา การแสดงห่วยๆ ของพวกเจ้านี่ ต่อให้เป็นนาน่าก็ยังหลอกไม่ได้เลย แต่ว่าต่อให้กลับมาเร็วกว่านั้นมันจะเป็นอะไรไป เพราะยังไงเขาก็ไม่ได้ใส่ในเรื่องคนอื่นจะมาดูตัวเองนอนหลับอยู่แล้ว “รีบเดินทางมาตลอดคืนเลยเหรอ? ทำไมพวกเจ้าถึงไม่ใช่นกส่งจดหมาย? หรือว่า…”
ภายในใจเขาพลันสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา
“ใช่เพคะ ฝ่าบาท” ไลต์นิ่งทำหน้าขึงขัง “เมื่อครึ่งเดือนก่อน พวกหม่อมฉันเจอร่องรอยความเคลื่อนไหวของปีศาจระดับสูงบนสันหลังของทวีปเพคะ!”
ความง่วงของโรแลนด์หายไปทันที “จากนั้นล่ะ? พวกเจ้าเป็นมันสิ่งก่อสร้างอะไรของมันบ้างไหม?”
“ตอนนี้ยังไม่มีเพคะ” ไลต์นิ่งส่ายหัว ก่อนจะล้วงเอาแผนที่ที่ยับยู่ยี่ออกมากางบนโต๊ะทำงาน “สภาพภูมิประเทศตรงนั้นไม่เหมาะที่จะให้สำรวจลึกเข้าไป พวกหม่อมฉันจึงได้แต่ต้องบินกลับมารวมกับพวกแม่มดทาคิลาที่เทือกเขาสโนว์ พวกนางใช้เวลาตั้งแกนเวทมนตร์ไปไม่น้อย แต่สุดท้ายก็ทำให้มั่นใจได้เรื่องหนึ่งเพคะ” เธอชี้ไปยังจุดที่เป็นเหมือนรอยแตกบนแผนที่ “ตรงนี้มีสายแร่หินอาญาสิทธิ์อยู่จริงๆ เพคะ ยิ่งไปกว่านั้นขนาดของมันน่าจะใหญ่พอๆ กับเมืองศักดิ์สิทธิ์ทาคิลาด้วยเพคะ!”
มีทั้งปีศาจระดับสูงและสายแร่หินอาญาสิทธิ์ ข้อสรุปที่ออกมาไม่ต้องบอกก็คงจะรู้ว่าเป็นยังไง
โรแลนด์ขมวดคิ้วขึ้นมา ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือเดาถูกจริงๆ ด้วย ศัตรูเตรียมแผนเอาไว้สองแผนตั้งแต่แรกแล้ว ทาคิลานั้นเหมาะแก่การใช้บุกโจมตี แต่ขณะเดียวกันมันก็เป็นสถานที่ที่มนุษย์จะสู้เพื่อนมันด้วย ถึงแม้จะไม่ระวังจนถูกมนุษย์ยึดพื้นที่คืนไป พวกมันก็ยังบุกเข้ามายังสี่อาณาจักรใหญ่จากอีกทางหนึ่งได้ เพราะว่าถึงเทือกเขาสิ้นวิถีจะเดินทางได้ยากลำบากยังไง มันก็ยังดีกว่ารออยู่เฉยๆ ไปอีก 400 ปี
แต่ที่โชคดีก็คือมนุษย์มองเห็นเจตนาของปีศาจออกเสียก่อน จากข้อมูลที่อกาธาให้มา เสาหินโอเบลิสนั้นจำเป็นต้องใช้เวลาอยู่พักหนึ่งถึงจะทำให้มันเติบโตได้อย่างสมบูรณ์ ก่อนหน้านั้นหมอกแดงที่มันผลิตออกมาจะพอแค่ใช้ปกคลุมพื้นที่เล็กๆ เท่านั้น
“แต่ว่าในตอนที่ออกมาจากเทือกเขาสโนว์ พวกหม่อมฉันได้ยินข้อมูลอีกอย่างหนึ่งเพคะ…” ไลต์นิ่งพูดถึงตรงนี้ก็ลังเลไปเล็กน้อย “ตอนนั้นหม่อมฉันกับเมซี่ข้ามชายแดนของอีเทอร์นอลวินเทอร์มาแล้ว เสียงในรูนสดับฟังไม่ค่อยชัดเจน หม่อมฉันก็เลยไม่แน่ใจว่ามันจะใช่อย่างที่ได้ยินหรือเปล่าเพคะ”
“พวกเจ้าได้ยินอะไร?”
เมซี่เอายกสองมือขึ้นมาป้องที่หูเขาแล้วพูดว่า
“แม่มดที่รับผิดชอบเรื่องการติดต่อบอกว่าด้านบนยอดเขาทางเหนือมีหมอกแดงจิ๊บ!”
…………………………………………………………….