Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1230 ประชุมฉุกเฉิน
บารอฟถูกคนใช้มาปลุกขึ้นจากความฝัน
ในช่วงที่พระจันทร์สีแดงปรากฏขึ้นมาบนโลก เขาไม่เพียงแต่จะจัดเจ้าหน้าที่คอยเฝ้าอยู่ในสำนักบริหารตลอดทั้งคืน แต่ในคฤหาสน์ของเขาก็เช่นเดียวกัน เขาสั่งให้ลูกน้องมาแจ้งเขาทันทีที่เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินอะไรขึ้นมา
ถึงแม้เอดิธส์จะถูกย้ายออกไปสำนักบริหาร แต่อิทธิพลที่เธอมีต่อฝ่าบาทนั้นไม่ได้ลดลงเลย ตอนนี้แม้แต่หน่วยงานที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาก็ยังต้องไปขอความเห็นจากกองเสนาธิการทหารใหญ่เวลาที่มีการวางแผนอะไร เมื่อเจอกับคู่ต่อสู้ที่มีความสามารถเช่นนี้ เขาจึงไม่กล้าที่จะประมาทแม้แต่นิดเดียว
แต่ว่านี่ไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดที่ทำให้เขาทุ่มเทให้กับงานขนาดนี้
ความจริงแล้วหัวหน้าสำนักบริหารนั้นชื่นชอบความรู้สึกทีได้ทำงานจนหัวหมุนแบบนี้ การทำงานก็หมายถึงอำนาจ นี่หมายความว่าการดำเนินงานต่างๆ ในเมืองเนเวอร์วินเทอร์นั้นไม่อาจขาดเขาได้ ขณะเดียวกันมันยังเป็นการสร้างความไว้วางใจให้กับฝ่าบาทด้วย ความสุขสองอย่างนี้ทำให้เขาทำงานจนลืมเหนื่อยเลยทีเดียว
บารอฟพลิกตัวลงมาจากเตียง ก่อนจะเปลี่ยนเสื้อพร้อมถามไปพลาง “ว่ามา เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
“นายท่าน นี่เป็นคำสั่งของฝ่าบาทขอรับ พระองค์ทรงสั่งให้ท่านเรียกเสนาบดีทั้งหมดไปประชุมกันที่ห้องประชุมในปราสาทขอรับ”
“ตอนนี้เหรอ?” บารอฟมองไปนอกหน้าต่างอย่างแปลกใจ ในเวลานี้มันเป็นเวลากลางดึกอย่างไม่ต้องสงสัย
“ใช่ขอรับ คนที่โทรมาไม่ได้พูดอะไรมาก ท่านจะให้ส่งคนไปถามที่ปราสาทไหมขอรับ..”
“ไม่จำเป็น” หัวหน้าสำนักบริหารทำการตัดสินใจออกมาอย่างรวดเร็ว การที่โทรจากสำนักบริหารตรงมาที่คฤหาสน์ของตัวเองได้นั้นไม่น่าจะเป็นการโทรผิดแน่นอน เพราะว่าตอนนี้โทรศัพท์ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย ด้วยเหตุนี้จึงมีแต่คฤหาสน์ของเขาเท่านั้นที่มีการติดตั้งโทรศัพท์เอาไว้ เสนาบดีคนอื่นๆ จำเป็นต้องแจ้งปากเปล่า “ปลุกทุกคนขึ้นมา แล้วแยกย้ายกันไปแจ้งเสนาบดีคนอื่นๆ ห้ามตกหล่นแม้แต่คนเดียว ไม่งั้นข้าจะมาจัดการกับเจ้า!”
ถ้าหากเป็นเจ้าชายลำดับที่สี่เมื่อก่อนนี้ เขาอาจจะลังเลอยู่บ้าง แต่ฝ่าบาทโรแลนด์ในตอนนี้ทรงเป็นราชาที่ไร้ที่ติ ถ้าพระองค์ทรงตัดสินพระทัยที่จะเรียกประชุมตอนนี้ อย่างนั้นมันก็จะต้องมีเรื่องด่วนอย่างมากแน่นอน
“ขะ…ขอรับ นายท่าน” คนใช้รีบรับคำ “อย่างนั้นท่านจะไปปราสาทคนเดียวหรือขอรับ?”
“ไม่ ข้าจะไปพร้อมกับไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือ” บารอฟตอบ “เดี๋ยวข้าจะเป็นคนไปแจ้งเอดิธส์ เคนท์เอง”
…..
“ฝ่าบาท คนมาเกือบครบแล้วเพคะ” ไนติงเกลหยิบเสื้อคลุมมาคลุมให้โรแลนด์ “หม่อมฉันชงชาให้ซักแก้วไหมเพคะ?”
“ขอโทษด้วยนะ” เขาพยักหน้า “เพิ่งจะนอนไปได้ไม่นานก็ปลุกเจ้าขึ้นมาใหม่…”
“เรื่องเล็กน้อยน่ะเพคะ” ไนติงเกลพูดยิ้มๆ “ยิ่งไปกว่านั้นหม่อมฉันก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรซักหน่อย ที่หาวไปก่อนหน้านี้ความจริงแล้วหม่อมฉันแกล้งทำเพคะ”
“เอ่อ…แกล้งเหรอ?”
“มะ ไม่ใช่เพคะ” เธอเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ก่อนจะรีบพูดแก้ต่างว่า “หม่อมฉันหมายความว่าถึงแม้จะหาวไปหลายครั้ง แต่นั่นเป็นเพราะหม่อมฉันรู้สึกตาพร่ามัวนิดหน่อย ไม่ได้หมายความว่าหม่อมฉันง่วงเพคะ เออใช่ แล้วพระองค์จะให้หม่อมฉันไปปลุกอันนาหรือเปล่าเพคะ?”
“ให้นางนอนไปเถอะ” โรแลนด์ส่ายหัว “ตอนนี้เรื่องนี้ยังไม่มีความเกี่ยวข้องกับนาง ยิ่งไปกว่านั้น….ตอนนี้นางน่าจะเหนื่อยมากแล้วด้วย”
เพื่อที่จะทำให้ลูกบาศก์เวทมนตร์กลายเป็นแหล่งกำเนิดพลังงานใหม่ที่น่าเชื่อถือโดยเร็ว อันนาขลุกอยู่ในห้องทดลองตรงเนินทิศเหนือตั้งแต่เช้ายันเย็น อีกทั้งเครื่องบินสองปีกก็จำเป็นต้องผลิตออกมาอย่างเร่งด่วน ภาระของเธอเรียกได้ว่าหนักหนาเป็นอย่างมาก
“พระองค์ก็เหมือนกันเพคะ” ไนติงเกลยื่นชามาให้เขา “ตอนที่เข้าไปในโลกแห่งความฝันมันก็ไม่ถือว่าได้พักผ่อนใช่ไหมล่ะเพคะ?”
“วางใจได้ เรื่องอดนอนนี่ข้าเก่งที่สุดแล้ว…” โรแลนด์ยิ้มๆ สำหรับตัวเขาในสมัยก่อนนั้น การพักผ่อนและการทำงานไม่เป็นเวลาถือเป็นเรื่องธรรมดาอย่างมาก ความเหนื่อยล้าเพียงแต่นี้ยังไม่ถึงขีดจำกัดของเขา ขอเพียงคอยพักผ่อนทันที่รู้ตัวว่าเหนื่อยก็พอ “อีกอย่างถ้าไม่มอบหมายงานออกไป ต่อให้นอนอยู่บนเตียงข้าก็นอนไม่หลับหรอก”
เขาจิบชาที่มีรสขมนิดหน่อย ก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา “พวกเราไปกันเถอะ”
…..
หลังจากที่ไลต์นิ่งเล่าสิ่งที่ตัวเองได้ทำการสำรวจในเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาออกมา ภายในห้องประชุมก็เงียบไปทันที ทุกคนไม่มีความง่วงหลงเหลืออยู่บนสีหน้า หากแต่เปลี่ยนเป็นความคร่ำเคร่งเข้ามาแทนที่
อกาธามองโรแลนด์ด้วยสีหน้าเจ็บปวด “ฝ่าบาท พวกหม่อมฉัน…”
“นี่ไม่ใช่ความผิดของทาคิลา” โรแลนด์พูดปลอบ “ไม่ว่าจะเป็นปีศาจระดับสูงที่มีจำนวนมากขึ้นหรือว่าปีศาจแมงมุมก็ล้วนแต่แสดงให้เห็นว่าศัตรูนั้นไม่เหมือนกับเมื่อ 400 ปีก่อนอีกแล้ว เห็นได้ว่าจะไม่ได้มีแค่พวกเราเท่านั้นที่ก้าวหน้าขึ้น”
การไปกล่าวโทษข้อมูลของทางทาคิลานั้นไม่ได้มีประโยชน์แม้แต่น้อย เพราะว่าอีกฝ่ายไม่มีความสามารถในการทำนายอนาคต ในอีกแง่หนึ่ง พวกเธอก็ไม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับปีศาจในสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่สามนี้มากไปกว่าเมืองเนเวอร์วินเทอร์เท่าไร
“ถึงแม้ตอนนี้ทีมสำรวจจะยังไม่สามารถยืนยันเรื่อง ‘หมอกแดงที่ปรากฏขึ้นมา’ ได้ว่าจริงหรือไม่ แต่ถ้าเกิดมันข้ามยอดเขาสิ้นวิถีมาได้จริงๆ ข้าคิดว่าไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ ทางแนวหน้าจะต้องแจ้งข่าวกลับมาแน่นอน ปัญหาในตอนนี้ก็คือสมมติว่าศัตรูมันมีความสามารถในการกระตุ้นเสาโอเบลิสให้สามารถใช้งานได้ทันทีจริงๆ พวกเราควรจะรับมือยังไง? ก่อนที่จะคุยกันเรื่องนี้ ข้าอยากจะยืนยันให้แน่ใจก่อนหน้านี้เสาโอเบลิสที่พร้อมใช้งานนั้นสามารถปล่อยหมอกแดงออกไปได้ไกลแค่ไหน?”
อกาธาลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกมาว่า “นับตั้งแต่ที่พบว่ามีปีศาจชนิดต่างๆ อยู่ด้านล่างของสายแร่ ทางสมาพันธ์ก็รู้ว่าความจริงแล้วเสาโอเบลิสอาจจะมีคุณสมบัติเป็นเหมือนหินเวทมนตร์ขนาดใหญ่ ถ้าหินเวทมนตร์ขนาดเล็กที่ฝังอยู่ในร่างกายของปีศาจนั้นถูกเปลี่ยนสภาพออกมาโดยอสูรเลอะเลือน อย่างนั้นเสาโอเบลิสก็สามารถมองว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของเสาหินแร่ มันมีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถเติบโตได้ แต่ขีดจำกัดหลังจากที่เติบโตจนสมบูรณ์แล้วยังคงมีความเกี่ยวข้องกับขนาดของสายแร่อยู่ เพียงแต่ว่า…”
โรแลนด์มองเห็นถึงความลังเลของเธอ “ไม่เป็นไร มีข้อมูลมันย่อมต้องดีกว่าไม่รู้อะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้นสงครามมันก็ไม่มีอะไรแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าผลที่ออกมากับความเป็นจริงมันไม่ตรงกัน ถึงตอนนั้นเราค่อยมาปรับใหม่ก็ได้”
“พระองค์ตรัสถูกต้องเพคะ…” แม่มดน้ำแข็งพยักหน้า สีหน้าดูผ่อนคลายขึ้นกว่าเดิม “จากประสบการณ์ของสมาพันธ์ที่ผ่านมา และการวิเคราะห์สายแร่ที่ไลต์นิ่งค้นพบ เสาโอเบลิสที่แปรสภาพมาจากสายแร่ที่มีขนาดเท่ากับสายแร่ที่เมืองทาคิลาจะสามารถส่งหมอกแดงออกมาได้ไกลถึงที่นี่….”
ปลายนิ้วของเธอมีผลึกน้ำแข็งงอกออกมา ก่อนจะชี้ไปยังมุมหนึ่งบนแผนที่
“นี่มัน…เกาะอาชดยุค?” เอดิธส์พูดเหมือนคิดอะไรอยู่
“ถูกต้อง ถ้าย้ายตำแหน่งของรอยแตกขนาดใหญ่นี้มาที่ทาคิลา เส้นขอบเส้นนี้ก็จะประมาณเทือกเขาสิ้นวิถี” อกาธาอธิบายต่อ “แน่นอน นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ในทันที การขยายตัวของหมอกแดงนั้นต้องใช้เวลา ยิ่งขยายออกไปไกลมันก็จะยิ่งช้า ถ้าจะให้มันปกคลุมไปได้ไกลร้อยกิโลเมตรก็ต้องใช้เวลาหลายเดือน
ตอนนี้ดูแล้วเหมือนการบุกโจมตีทาคิลาก่อนจะเป็นเรื่องที่โชคดีจริงๆ โรแลนด์แอบคิดในใจ เพราะไม่อย่างนั้นเทือกเขาสิ้นวิถีที่เป็นแนวป้องกันตามธรรมชาติที่ถูกหมอกแดงคืบใกล้เข้ามาก็คงไม่อาจป้องกันสี่อาณาจักรใหญ่ได้อีก หรือต่อให้โจมตีช้ากว่านั้นอีกเพียงนิดเดียว อย่างเช่นตอนนี้พวกเขาเพิ่งจะปูรางเหล็กเข้าไปถึงระยะสิบกิโลเมตรจากทาคิลา การโจมตีของกองทัพที่หนึ่งก็คงจะถูกหยุดเอาไว้ด้วยหมอกแดงที่ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า โดยเฉพาะหมอกแดงนั้นสร้างอันตรายให้กับแม่มดถึงชีวิต หากทำสงครามต่อไปในสถานการณ์แบบนี้ กองทัพก็จะเหมือนถูกปิดตาปิดหูเอาไว้ ถึงแม้จะมีความได้เปรียบในเรื่องการยิงระยะไกล แต่ก็ยากที่จะแสดงมันออกมาได้
“ดูเหมือนพวกเราคงต้องชิงลงมือก่อนซะแล้วล่ะ” เขามองไปทางเอดิธส์ “กองเสนาธิการทหารใหญ่มีแผนอะไรหรือเปล่า?”
“มีแน่นอนเพคะ ฝ่าบาท” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือถือได้ว่าเป็นคนที่ีสีหน้าเปล่งประกายที่สุดในห้องประชุม เพราะเธอเป็นคนที่เดาแผนการของปีศาจได้ก่อน “ถึงแม้การเคลื่อนไหวของศัตรูจะเร็วกว่าที่พวกเราคาดเอาไว้ แต่ในทางกลศึกแล้ว การเอาเสาโอเบลิสไปตั้งอยู่บนสันหลังของทวีปนั้นเรียกได้ว่าพวกมันก็จนหนทางแล้วเหมือนกัน ถึงแม้มันจะเป็นสถานที่ในการหลบซ่อนที่ดี แต่มันกลับไม่เหมาะที่จะใช้เป็นสถานที่บุกโจมตี นี่ทำให้พวกเรายังมีโอกาสที่จะพลิกสถานการณ์กลับมาเพคะ อันดับแรกมีอยู่เรื่องนึงที่สมาชิกทุกคนในกองเสนาธิการทหารใหญ่เห็นพ้องต้องกัน นั่นก็คือถ้าหากศัตรูปรากฏตัวขึ้นที่อาณาจักรอีเทอร์นอลวินเทอร์จริงๆ อย่างนั้นแนวป้องกันของพวกเราจะไม่ใช่เกรย์คาสเซิลเด็ดขาด หากแต่เป็นที่นี่”
เธอชี้ไปบนแผนที่
ภูเขาเคจเมาเธ่นของอาณาจักรดอว์น
…………………………………………………………………..