Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1232 พี่ชาย
ร่างกายทิลลีสะดุ้งขึ้นมาทันที เธอค่อยๆ หันหน้ามาอย่างช้าๆ ในดวงตาเต็มไปด้วยสายตาที่สับสน เหมือนกับกำลังสงสัยว่าตัวเองฟังผิดไปหรือเปล่า “ท่านว่า…อะไรนะ?”
“ข้าบอกว่า แอชเชสอาจจะยังมีชีวิตอยู่” โรแลนด์พยายมพูดซ้ำอย่างช้าๆ เขารู้ดีว่าเรื่องนี้พอพูดออกไปแล้วก็จะไม่มีมันแก้ไขอะไรได้อีก
“ไม่…ท่านพี่” เธอพยายามฝืนยิ้มเอาไว้ “ต่อให้ท่านอยากจะปลอบข้า แต่ท่านก็ไม่ควร…”
“แต่ที่บอกว่ามีชีวิตอยู่นั้นอาจจะไม่มีกับที่เจ้าคิดเอาไว้เท่าไร” โรแลนด์พูดตัดบท “บอกตามตรง ตอนที่ข้าได้ยินเรื่องนี้ข้าก็ตกใจไม่ต่างจากเจ้า แล้วก็รู้ด้วยว่าการที่เอาเรื่องนี้มาบอกเจ้าก่อนจะยืนยันให้แน่ใจนั้นดูจะไม่ค่อยยุติธรรมสำหรับเจ้าเท่าไร แต่ไม่ว่ายังไง ข้าก็คิดว่ามันดีกว่าจะมานั่งเสียใจทีหลัง”
ทิลลีปิดปากลง
เธอจ้องมองโรแลนด์เหมือนว่ากำลังย่อยเนื้อหาที่เธอได้ฟังมาเมื่อครู่นี้อยู่ ในตอนนี้เธอเหมือนจะรู้แล้วว่าเรื่องนี้คงจะไม่ธรรมดาเหมือนอย่างที่เธอคิดแน่นอน
ถ้าว่ากันเรื่องความสามารถในการรับรู้และระดับความเร็วในการครุ่นคิดแล้ว ทิลลีเรียกได้ว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ของเหล่าแม่มดเลยก็ว่าได้
หลังผ่านไปประมาณ 15 นาทีเธอจึงถามหยั่งเชิงขึ้นมาว่า “ท่านไปฟังใครพูดมา?”
“มิสต์”
“ไม่เคยได้ยินมาก่อน…” ทิลลีครุ่นคิด “หรือว่า…จะเกี่ยวกับโลกแห่งความฝัน?”
สมแล้วที่เป็นคนที่คุยกับอันนาได้อย่างสนุกสนาน โรแลนด์ตอบอย่างคร่ำเคร่งว่า “อย่าใจร้อน เดี๋ยวข้าจะเล่าทุกอย่างให้เจ้าฟังอย่างละเอียด”
….
กระทั่งเขาเล่าจบแล้ว ท้องฟ้านอกห้องจึงค่อยๆ สว่างขึ้น แสงแดดยาวเช้าอันอ่อนโยนโผล่ขึ้นมาจากด้านหลังภูเขา หลังคาบ้านเรือนที่อยู่ไกลออกไปสะท้อนแสงสีทองจางๆ ออกมา
ทิลลีเหมือนจะไม่ได้สังเกตเห็นท้องฟ้าด้านนอก เธอบ่นพึมพำอย่างเหม่อลอย “ก็หมายความว่า…ขอเพียงควบคุมโลกแห่งจิตสำนึกได้ เราก็จะพาแอชเชสที่ยังมีจิตสำนึกหลงเหลืออยู่น้อยนิดกลับมาได้?”
“ตามหลักแล้วเป็นเช่นนั้น” โรแลนด์พยักหน้า “จากที่มิสต์บอกมา หลังจากที่แม่มดกลายเป็นสุดยอดอมนุษย์ พวกเธอจะทิ้งร่องรอยเอาไว้ที่โลกแห่งจิตสำนึก ในจุดนี้สอดคล้องกับข้อมูลที่คาบราดาบีให้มา”
ในตอนที่สอบสวนปีศาจระดับสูงที่ถูกจับมาก่อนหน้านี้ อีกฝ่ายเคยบอกโซอี้ว่าวิญญาณของพวกมันจะถูกแหล่งกำเนิดเวทมนตร์รับเอาไว้ วันใดที่เผ่าพันธุ์ของมันขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุด พวกมันก็จะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ถึงแม้คำพูดนี้จะไม่ทราบแหล่งที่มาแน่ชัด แล้วก็แตกต่างจากคำอธิบายของมิสต์อย่างมาก แต่อย่างน้อยมันก็ยังมีจุดหนึ่งที่เหมือนกัน
นั่นก็คือโลกแห่งจิตสำนึกมีความสามารถในการรับเอาวิญญาณเอาไว้
“ไม่ใช่เท่านี้ ในบันทึกโบราณของอารยธรรมใต้ดินก็ยังเขียนเอาไว้ด้วยว่าการไล่ตามไปบนเส้นทางของเจตจำนงแห่งพระเจ้าก็คือการไต่ขึ้นไปบนบันไดแห่งพลังเวทมนตร์ ในวันหนึ่ง ผู้ชนะจะไม่ได้ต่างอะไรจากพระเจ้า ถ้ามองว่าโลกแห่งจิตสำนึกเป็นปลายทางของพลังเวทมนตร์ อย่างนั้นมันก็สอดคล้องกับคำพูดของมิสต์” เขาชะงักไปเล็กน้อย “แต่เมื่อคำนึงถึงว่าข้อมูลที่อารยธรรมเหล่านี้ได้รับมาอาจจะมาจากสิ่งที่เรียกว่าพระเจ้า ดังนั้นเราจึงไม่อาจเชื่อได้ทั้งหมด ทางที่ดีที่สุดก็คือไปดูด้วยตาตัวเอง”
“ท่านพี่…”
“วางใจได้ ข้าจะรีบหาทางเข้าไปในโลกแห่งจิตสำนึกแล้วช่วยแอชเชสออกมา ถ้านางยังมีชีวิตอยู่ที่นั่นจริงๆ น่ะนะ และก่อนที่จะถึงเวลานั้นข้าก็อยากจะให้เจ้ารักษาตัวเองให้ดี เพื่อที่นางจะได้ไม่มาหาเรื่องข้าภายหลัง เพราะเวลาที่สุดยอดอมนุษย์โมโหขึ้นมา ข้าคงจะรับมือไม่ไหวหรอกนะ…” โรแลนด์แสร้งทำเป็นพูดอย่างสบายๆ เพื่อที่จะได้ทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย แต่เขากลับพบว่าปฏิกิริยาของทิลลีดูแปลกๆ
เธอก้มหน้า ไหล่ของเธอสั่นขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับพูดอะไรเบาๆ ซ้ำไปซ้ำมา โรแลนด์ต้องกลั้นหายใจถึงจะได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย
“ดีจังเลย…ดีจังเลย…”
เขานิ่งเงียบ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อทันที
น้ำตาหยดลงไปบนฝ่ามือของทิลลี ก่อนจะแตกกระจายเป็นหยดน้ำเล็กๆ
เมื่อเห็นองค์หญิงลำดับที่สุดตัวสั่นขึ้นมาเบาๆ สุดท้ายเขาจึงถอนใจออกมาพร้อมกับยื่นมืออกไปลูบหัวอีกฝ่าย
ทันใดนั้นเอง ทิลลีก็โผเข้ามากอดเขาเอาไว้แน่น การตอนแรกที่แค่สั่นเล็กน้อยก็เริ่มร้องไห้เสียงดังออกมา ภาพเหตุการณ์ในตอนนี้เหมือนกับก่อนหน้านี้ไม่มีผิด เพียงแต่โรแลนด์กลับรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
ครั้งนี้ทิลลีไม่ได้ร้องไห้เป็นเวลาหลายชั่วโมง หลังหลั่งน้ำตาอยู่สิบกว่านาที อารมณ์ของเธอก็ค่อยๆ สงบลง ในขณะที่กำลังเงยหน้าขึ้นมาจากอ้อมอกของโรแลนด์ เธอใช้มือดันหน้าของโรแลนด์ให้หันไปอีกด้าน
“ไม่…ห้ามมอง”
จากนั้นก็มีเสียงเช็ดน้ำมูกและน้ำตาดังตามขึ้นมา
ผ่านไปครู่หนึ่ง โรแลนด์ถึงได้รับอนุญาตให้หันหน้ากลับมาได้
“ขอโทษด้วย…ที่ทำให้ท่านเป็นห่วง” ทิลลีพูดเสียงเบาๆ
“รู้ก็ดีแล้ว” โรแลนด์เอาสองมือกอดอก “เรื่องที่เจ้าคุยกับข้าครั้งที่แล้ว เจ้าก็น่าจะลองคิดใหม่ดูให้ดีนะ…”
“ท่านหมายถึงเครื่องบินที่ใช้จัดการพวกปีศาจได้น่ะเหรอ?” ทิลลีกะพริบตา “เรื่องนั้นไม่ได้ ท่านพี่”
“เฮ้..”
“เพื่อที่จะไปถึงบอทธ่อมเลสแลนด์ให้เร็วที่สุด ท่านจำเป็นต้องมีความช่วยเหลือจากข้า ตอนนี้ปีศาจอาจจะตั้งเสาโอเบลิสที่สมบูรณ์เรียบร้อยแล้วก็ได้ แล้วนั่นก็จะทำให้เรายากที่จะควบคุมการเคลื่อนไหวของอสูรสยองได้ด้วย ถ้าไม่ยึดน่านฟ้าเอาไว้ เกรงว่ากองทัพที่หนึ่งคงยากที่จะทำลายฐานที่มั่นของศัตรูได้” ทิลลียื่นนิ้วมือออกมาหนึ่งนิ้วเพื่อหยุดโรแลนด์ที่เหมือนอยากจะพูดอะไรออกมา “จริงอยู่ที่ก่อนหน้านี้ข้ามีความคิดที่ว่าขอเพียงกำจัดปีศาจได้มากที่สุดก็พอ ตัวเองจะเป็นอย่างไรไม่สำคัญ แต่ตอนนี้ข้าไม่ได้คิดแบบนั้นแล้ว”
“ยิ่งไปกว่านั้นท่านก็น่าจะรู้ดีกว่าการไปงมหาอะไรด้วยตัวเองกับการมีคนคอยชี้นำมันแตกต่างกันอย่างมาก ในบรรดาอัศวินอากาศไม่มีใครรู้ว่าควรจะรบกับปีศาจอย่างไร ดังนั้นเราจึงต้องรีบหาทางรับมือกับปีศาจให้ได้โดยเร็วที่สุด แล้วก็ถ่ายทอดวิธีพวกนั้นให้กับพวกเรา แต่คนที่จะทำแบบนั้นได้ก็มีแต่ข้าเท่านั้น” เธอตบหน้าอกตัวเอง “ข้าขอรับรองเลยว่าข้าจะต้องอยู่รอดปลอดภัยจนถึงวันที่ท่านเข้าไปในโลกแห่งจิตสำนึกแน่นอน”
โรแลนด์พบว่าตัวเองไม่อาจพูดปฏิเสธได้ ในสายตาของทิลลีตอนนี้เต็มไปด้วยประกายระยิบระยับ ส่วนความสุขุมที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้ลดลงไปเท่าไร
“เอาล่ะ…แต่ก็จำที่เจ้ารับปากข้าเอาไว้ให้ดีล่ะ”
“แน่นนอน” เธอชะงักไปเล็กน้อย “แล้วก็…ขอบคุณนะที่บอกข้าเรื่องนี้”
“เสียดายที่ข้าไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้ววิธีนี้มันจะได้ผลหรือเปล่า….”
“แค่นี้ก็พอแล้ว อย่างน้อยตอนนี้พวกเราก็มีเป้าหมายเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งแล้ว” ทิลลีเอาหน้าผากซบลงไปบนหน้าอกโรแลนด์อีกครั้ง “ดีจริงๆ ที่มีท่านเป็นพี่ชาย…”
….
หลังจากที่ทิลลีออกไป ไนติงเกลก็ปรากฏตัวขึ้นในห้องทำงานอีกครั้ง “พระองค์ตรัสอะไรกับองค์หญิงทิลลีกันแน่เพคะ? ตอนที่หม่อมฉันเห็นพระองค์เดินออกจากห้องไป เหมือนว่าเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย…”
“เรื่องความสัมพันธ์ของโลกแห่งความฝันกับโลกแห่งความเป็นจริงน่ะ ถ้าเจ้าอยากจะรู้ล่ะก็ เอาไว้ข้าเล่าให้เจ้าฟังก็ได้ แต่ว่าไม่ใช่ตอนนี้” โรแลนด์จัดเรียงแปลนออกแบบที่อยู่ในมือ “เมื่อกี้ข้าได้รับแจ้งมาจากฮันนี่ หลังจากนี้สองวันกองเรือน่าจะมาถึงท่าเรือของแม่น้ำ น่าจะเป็นพวกชาวบ้านกลุ่มแรกที่ย้ายมาจากวูล์ฟฮาร์ทนั่นแหละ และก่อนที่จะถึงเวลานั้น ข้าอยากจะจัดการวาดแปลนในแผนการใหม่ให้เสร็จเรียบร้อย”
ไนติงเกลยักไหล่ “หม่อมฉันยังไงก็ได้เพคะ ก่อนหน้านี้หม่อมฉันก็เคยบอกพระองค์แล้วไม่ใช่เหรอเพคะ ถ้าพระองค์ไม่อยากพูด หม่อมฉันก็จะไม่ถามเด็ดขาด” เธอเดินไปที่โต๊ะทำงาน ก่อนจะก้มมองดูแปลนอย่างละเอียด “เจ้าสิ่งนี่…มันคล้ายๆ กับที่อันนาขับเล่นอยู่ในสวนวันก่อนเลยนี่เพคะ”
“มันก็คืออันเดียวกันนั่นแหละ แต่แค่ขยายขึ้นหลายเท่าเท่านั้น” โรแลนด์พูดยิ้มๆ “ในการประชุมก่อนหน้านี้บารอฟพูดถึงเรื่องปัญหาการขนส่งใช้ไหมล่ะ? เจ้านี่แหละคือทางออกของปัญหานั้น”
นอกจากรถไฟที่มีมูลค่าในการสร้างที่สูงลิ่วแล้ว มันยังมีเครื่องมืออีกอย่างที่มีราคาถูกที่ใช้ในการขนส่งทางภาคพื้นดินได้ นั่นก็คือรถบรรทุก พวกมันมีหลายชนิด ถึงแม้ความสามารถในการขนส่งจะสู้รถไฟไม่ได้ แต่มันกลับมีความคล่องแคล่วกว่า ความยากในการสร้างก็มีน้อยกว่ารถแทรกเตอร์ ขอเพียงมีถนนเรียบๆ พวกมันก็สามารถวิ่งไปได้อย่างอิสระ
อาณาจักรเกรย์คาสเซิลและอาณาจักรดอว์นนั้นมีระบบแม่น้ำอยู่ภายในอาณาจักร เพียงแต่พวกมันไม่ได้เชื่อมต่อถึงกัน ซึ่งรถบรรทุกนั้นสามารถชดเชยในจุดอ่อนตรงนี้และทำให้ระบบการคมนาคมทางบกและทางน้ำของทั้งสองอาณาจักรกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน
………………………………………………………………