Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1234 โลกแปลกหน้า
ใช่แล้ว ถูกขัง
วัลคีรีย์ค่อยๆ นึกขึ้นมาได้ ในตอนที่มันกำลังไล่ตามคลื่นกระเพื่อมที่เหมือนมีเหมือนไม่มีอยู่นั้น มันก็ดำดิ่งลงไปด้านล่างของโลกแห่งจิตสำนึก ยิ่งดำก็ยิ่งลึกขึ้นเรื่อยๆ หลังผ่านเส้นแบ่งชั้นบนกับชั้นล่าง จิตสำนึกของมันก็จะยากที่ก้าวต่อไปข้างหน้าได้ ไม่เพียงแต่จะต้องต้านทานความวุ่นวายที่ถาโถมเข้ามา แต่ว่ามันยังต้องออกแรงต้านมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย เหมือนกับว่าตัวมันกำลังดิ้นรนอยู่ในโคลนตมอย่างไรอย่างนั้น
มันเพิ่งจะเคยเข้ามาในส่วนที่ลึกขนาดนี้เป็นครั้งแรก ดังนั้นมันจึงระมัดระวังในทุกๆ การเคลื่อนไหว เพราะหากสูญเสียทิศทางไป มันคงจะต้องหลงทางและหาทางออกไปจากที่นี่ไม่ได้แน่ ถ้าไม่เป็นเพราะสัมผัสที่มันรับรู้ได้ถึงคลื่นกระเพื่อมนั้นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ มันก็อยากตัดการเชื่อมต่อแล้วออกไปจากโลกจิตสำนึกเหมือนกัน
เพราะว่าพิกัดของจุดกำเนิดคลื่นกระเพื่อมนั้นมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ ไม่ว่ายังไงมันก็ต้องหาปากทางเข้าเจอแน่นอน เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น
ทว่าสุดท้ายมันก็ตัดสินใจที่จะอดทนอยู่ในโลกแห่งจิตสำนึกต่ออีกหน่อย
เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะท่าทีที่เหมือนจะไม่พอใจของเฮคซอดที่เห็นมันนอนแช่อยู่ในบ่อละอองชีวิตทั้งวัน โดยเฉพาะในตอนที่ปลูกหอคอยแห่งการให้กำเนิดสำเร็จแล้วโดยที่มนุษย์ยังไม่รู้ตัว
สองคือมันอยากจะรู้ให้ได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของมนุษย์นั้นเกี่ยวข้องกับการสืบทอดหรือไม่
วัลคีรีย์คิดไม่ถึงเลยว่าในตอนที่มันกำลังเข้าใกล้จุดกำเนิดแรงกระเพื่อม จู่ๆ โลกแห่งจิตสำนึกก็เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ความรู้สึกมันเหมือนกับว่าจู่ๆ โคลนตมก็เปลี่ยนเป็นน้ำตก หรือไม่ก็พื้นที่อยู่ใต้เท้าของมันจู่ๆ ก็มีรอยแตกขนาดใหญ่เกิดขึ้นจนทำให้มันร่วงตกลงไปยังชั้นล่างโดยที่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะดิ้นรน พอตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่นี้แล้ว
ที่นี่น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของโลกแห่งจิตสำนึกอย่างไม่ต้องสงสัย แต่มันจะเกี่ยวข้องกับมนุษย์ตัวผู้คนนั้นหรือไม่นั้น มันกลับไม่แน่ใจเหมือนกัน
เมื่อมองผ่านมุมหนึ่งของหน้าต่างออกไป วัลคีรีย์มองเห็นเมืองที่กว้างใหญ่อย่างมากแห่งหนึ่ง ทุกที่ล้วนแต่มีตึกสูงที่สูงกว่าหอคอยแห่งการให้กำเนิดอยู่เต็มไปหมด ยิ่งไปกว่านั้นยังไกลสุดลูกหูลูกตาด้วย แม้แต่ ‘หอเจ้าชีวิต’ ของจักรพรรดิก็ยังดูไม่ยิ่งใหญ่เท่า
อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้มันสงสัยคือถ้าที่นี่เป็นดินแดนที่มนุษย์ตัวผู้คนนั้นสร้างขึ้นมาจริงๆ อีกฝ่ายก็น่าจะสัมผัสได้ถึงตัวมันทันทีที่มันเข้ามาแล้ว เพราะผู้สร้างดินแดนคือผู้ที่มีพลังยิ่งใหญ่ที่สุดในดินแดน อีกทั้งมันยังเป็นศัตรูคู่อาฆาตของมนุษย์ด้วย อีกฝ่ายไม่มีทางที่จะอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรแน่ พูดในอีกมุมหนึ่งก็คือ ถ้าจิตสำนึกของแม่มดคนหนึ่งหลุดเข้ามาในหอเจ้าชีวิตโดยไม่รู้ตัว เกรงว่าจิตสำนึกของอีกฝ่ายคงต้องตายสถานเดียว
แต่ปัญหาอยู่ที่ถ้าที่นี่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับมนุษย์ตัวผู้คนนั้น อย่างนั้นมันคือที่ไหน?
ในตอนที่แรงสั่นสะเทือนส่งออกมา มันแน่ใจว่ามันอยู่เหนือจุดกำเนิดของคลื่นกระเพื่อมนั้น นอกเสียจากว่ามันจะมาผิดทางตั้งแต่แรก ไม่อย่างนั้นมันก็คิดถึงความเป็นไปได้อื่นไม่ออก
วัลคีรีย์ครุ่นคิดอยู่นานก็ยังคิดไม่ออก สุดท้ายมันจึงตัดใจเลิกคิดเรื่องนี้ ในเมื่อไม่มีคำตอบ อย่างนั้นคิดต่อไปมันก็ไม่มีประโยชน์ ในสภาพแวดล้อมแปลกหน้านี้ มันควรจะรีบทำความเคยชินกับร่างใหม่ให้เร็วที่สุดถึงจะมีโอกาสหลุดออกไปจากที่นี่ได้
มีจุดหนึ่งที่มันสามารถมั่นใจได้ นั่นคือร่างใหม่ของมันอ่อนแอกว่าร่างเก่าอย่างมาก บาดแผลที่ขาทั้งสองข้างยังไม่ฟื้นตัว พลังในการรักษาตัวเองลดต่ำลง บวกกับบาเรียเวทมนตร์ที่ไม่สามารถใช้ได้ มันไม่ได้สัมผัสความรู้สึกที่เหมือนตัวเองไม่มีเกราะปกป้องมาเป็นเวลานานแล้ว เหมือนว่ามันได้ย้อนเวลากลับไปยังช่วงแรกของพิธียกระดับ นั่นเป็นช่วงที่ไม่ว่าใครก็สามารถเล่นงานมันได้สบายๆ
แต่ที่โชคดีก็คือมันยังสามารถใช้พลังเวทมนตร์ได้อยู่ แล้วก็เป็นพลังที่ไม่ธรรมดาซะด้วย เรียกได้ว่าพอๆ กับแม่มดอมนุษย์เลย
ในขณะที่วัลคีรีย์กำลังตรวจสอบสภาพร่างกายตัวเอง ด้านนอกประตูพลันมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา
จากนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออก มนุษย์สองคนเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
มันแทบจะอยากบินออกไปฉีกร่างกายอีกฝ่ายให้ขาดออกเป็นสองท่อน แต่สุดท้ายมันก็สะกดความวู่วามนั้นไว้
นี่ไม่ใช่โลกแห่งความเป็นจริง!
มันเตือนตัวเอง ในตอนที่มันสลบไปตอนแรกก็เหมือนจะเป็นมนุษย์นี่แหละที่ช่วยเหลือมันเอาไว้
บางทีในจิตสำนึกของคนพวกนี้อาจจะไม่ได้มีคำว่า ‘ปีศาจ’ อยู่ก็ได้ ถ้าหากมันทำอะไรวู่วามไป มันอาจจะกลายเป็นการเปิดเผยตัวเองเสียเปล่าๆ
“สีหน้าดูดีมากเลยนะคะ คุณวัลคีรีย์” มนุษย์ตัวเมียเปิดผ้าห่มออกพร้อมกับตรวจดูขาทั้งสองข้างที่ถูกมัดเอาไว้แน่นของมัน “สมแล้วที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์…ถูกคานใหญ่ขนาดนั้นหล่นลงมาทับ กระดูกยังไม่เป็นอะไร ถ้าเปลี่ยนเป็นฉัน เกรงว่าขาทั้งสองข้างคงถูกทับจนเละแล้วค่ะ”
“มีใครที่ไหนเขาพูดแบบนี้ต่อหน้าคนไข้บ้างเนี่ย?” ตัวผู้ถลึงตาใส่ตัวเมีย จากนั้นจึงมองมาทางมัน “ผมเป็นหมอเจ้าของไข้ของคุณ เรียกผมหมอเกาก็ได้ครับ ดูจากผลเอกซเรย์แล้ว อาการบาดเจ็บของคุณไม่มีปัญหาอะไร วางใจได้ ขอเพียงรักษาตัวให้ดี คุณก็ยังลงแข่งประลองยุทธ์หลังจากนี้ได้ ถ้ามีตรงไหนรู้สึกไม่สบายก็บอกผมได้นะครับ”
วัลคีรีย์ส่ายหัว
มันฟังคำพูดกว่าครึ่งของอีกฝ่ายไม่เข้าใจ วิธีรับมือที่ดีที่สุดก็คือพูดให้น้อยที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้นมันยังสังเกตเห็นว่าท่าทีของมนุษย์เหล่านี้ดูเป็นมิตรอย่างมาก ดูแล้วไม่เหมือนว่ากำลังดูสิ่งมีชีวิตต่างเผ่าพันธุ์เลย นี่ทำให้มันรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจ ต่อให้ไม่มีความคิดที่เป็นศัตรู แต่ทั้งสองเผ่าพันธุ์ก็เรียกได้ว่าแตกต่างกันอย่างมาก จะเป็นไปได้ยังไงที่จะมาพูดคุยกันแบบนี้?
วัลคีรีย์สังเกตเห็นว่ามนุษย์ตัวเมียคนนั้นเหมือนจะสนใจมันอย่างมาก สายตาแทบจะไม่ละไปจากร่างกายของมันเลย
“ไม่มีอะไรก็ดี” มนุษย์ตัวผู้ที่เรียกตัวเองว่าหมอเกาพลิกแฟ้มที่อยู่ในมือ “เดี๋ยวตอนบ่ายทางสมาคมจะเข้ามาเยี่ยม ส่วนตอนเย็นผมได้ยินว่าเดี๋ยวจะมีประชุมอีก ซึ่งผมช่วยคุณปฏิเสธเรื่องประชุมไปแล้ว คนพวกนี้นี่จริงๆ เลย บาดเจ็บขนาดนี้ยังจะให้คุณนั่งรถเข็นไปประชุมอีก แต่ว่าเรื่องเยี่ยมผมไม่สามารถปฏิเสธได้ เพราะโรงพยาบาลแห่งนี้ทางสมาคมผู้ฝึกยุทธ์เป็นคนเปิดขึ้นมา การจะไปห้ามไม่ให้พวกเขาเข้ามานั้นเป็นไปไม่ได้”
“…ขอบคุณ” มันตอบออกไปโดยเลียนแบบน้ำเสียงของมนุษย์
“ไม่เป็นไรครับ” มนุษย์ตัวผู้ยิ้ม “เออใช่…นั่งอยู่ที่นี่เฉยๆ คงจะเบื่อใช่ไหมครับ เพราะตอนที่สมาคมส่งคุณมาที่นี่ พวกเขาไม่ได้เอาโทรศัพท์มือถือของคุณมาด้วย ถ้าไงดูโทรทัศน์แก้เบื่อดีไหมครับ?”
โทรศัพท์? โทรทัศน์? มันคืออะไร?
วัลคีรีย์เป็นใบ้ไปทันที มันไม่รู้ว่าควรจะตอบยังไง
น่าจะเป็นเพราะอีกฝ่ายมองว่าการเงียบของมันเป็นการตอบตกลงอย่างนึง อีกฝ่ายจึงหยิบเอากล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ กล่องหนึ่งมาจากบนตู้หัวเตียง ก่อนจะเล็งไปยังกระดานสีดำที่อยู่บนกำแพงแล้วกดไปสองสามที
ไม่นาน กระดานสีดำก็มีแสงออกมา!
“อย่างนั้นพักผ่อนเยอะๆ นะครับ” หมอเกาโบกมือ ก่อนจะพามนุษย์ตัวเมียออกจากห้องไป
วัลคีรีย์มองดูภาพบนจอโทรทัศน์อย่างตกตะลึงจนเกือบจะลืมรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองเอาไว้
นี่มัน…ทำได้ยังไง?
ภาพบนกระดานดำเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ไม่ว่าจะเป็นคนหรือว่าสิ่งของก็ล้วนแต่ดูเหมือนมีชีวิตจริงๆ ถ้าสิ่งที่มันใช้คือพลังเวทมนตร์ อย่างนั้นมันก็คงไม่แปลกอะไร แต่นี่เห็นๆ อยู่ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่สร้างขึ้นมาจากพลังเวทมนตร์ เพราะมันสัมผัสไม่ได้ถึงแรงกระเพื่อมของพลังเวทมนตร์เลย
วัลคีรีย์ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่ถึงปรับตัวได้
มันพบว่าเนื้อหาที่แสดงอยู่บนจอโทรทัศน์มีความเกี่ยวข้องกับกล่องสีเหลี่ยมเล็กๆ อันนี้ ขอเพียงกดปุ่ม ‘ทิศทาง’ที่อยู่ด้านบน โทรทัศน์ก็จะแสดงสิ่งที่ไม่เหมือนกันออกมา
ถ้ามันเดาไม่ผิดล่ะก็ เนื้อหาเหล่านั้นคงจะมีความเกี่ยวข้องกับโลกนี้
นี่เป็นวิธีที่ดีในการทำความเข้าใจโลกแปลกหน้าใบนี้
ในขณะที่มันกำลังดูไปเรื่อยๆ มันก็ได้ยินคำพิเศษอยู่คำหนึ่ง ‘สมาคมผู้ฝึกยุทธ์’
เมื่อวิเคราะห์จากคำพูดของมนุษย์ตัวผู้ก่อนหน้านี้ มันก็เหมือนจะเป็นหนึ่งในสมาชิกของสมาคมเหมือนกัน หรือพูดอีกอย่างก็คือถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสมาชิกของสมาคม
สิ่งที่แสดงอยู่ในโทรทัศน์คือภาพของที่โล่งที่เต็มไปด้วยผู้คน มุมมองที่มองลงมาจากบนฟ้าน่าจะเกิดจากวัตถุเวทมนตร์ประเภทหินโบยบินพวกนั้น
“วันนี้เป็นวันที่สามที่เมืองปริซึมถูกลอบโจมตี การช่วยเหลือและการเก็บกวาดยังคงดำเนินต่อไป”
“จากข้อมูลที่ทางสมาคมแจ้งมา จำนวนของผู้โชคร้ายที่เสียชีวิตนั้นเตรียมสอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ร่างของพวกเขาเหล่านั้นต้องใช้เวลาในการค้นหาอีกซักพัก”
“ในปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ผ่านมา ผู้ฝึกยุทธ์จำนวนมากได้แสดงความกล้าหาญที่เหนือคนอื่นๆ ออกมาด้วยการเข้าไปในหลุมอพยพเพื่อค้นหาผู้ที่ยังติดอยู่ในนั้น”
“หนึ่งในนั้นมีคุณมิสต์ที่เป็นลูกศิษย์อันดับหนึ่งของผู้คุมร็อคที่สละชีวิตอยู่ในนั้นด้วย”
“โดยตอนที่เธอเข้าไปในหลุมหมายเลข 4 เธอถูกฟอลเลนอีวิลล้อมโจมตี เพื่อที่จะปกป้องพรรคพวกของตัวเอง…”
หลังจากนั้นวัลคีรีย์ก็ไม่ได้ฟังสิ่งที่โทรทัศน์พูดออกมาเลย
สายตาของมันถูกภาพที่อยู่บน ‘กระดานสีดำ’ ดึงดูดเอาไว้
ทำไม? ภายในใจวัลคีรีย์รู้สึกเหมือนมีคลื่นกำลังซัดสาด ทำไมมันถึงได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยแต่ก็เหมือนไม่รู้จักนี้ในโลกแห่งจิตสำนึก?
สำนักซีคลาวด์…มันควรจะถูกทำลายไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ!
…………………………………………………