Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1237 สังเกตการณ์อย่างเงียบๆ
โรแลนด์นึกย้อนอย่างเงียบๆ ก่อนจะมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้จำผิด ตอนนั้นปีศาจระดับสูงตัวนั้นยืนอยู่บนเวที แล้วนำปีศาจที่ยกระดับสองตัวให้มาสู้กันเอง ชุดสีขาวที่อยู่บนตัวมันดูตัดกับบ่อหมอกแดงที่อยู่ข้างล่างอย่างเห็นได้ชัด ส่วนดวงตาที่สามที่อยู่บนหน้าผากนั้นส่องประกายออกมาอย่างชัดเจน ดูแล้วให้ความรู้สึกเหมือนภาพที่อยู่ในภาพวาด ขอเพียงหลับตาลง ภาพๆ นั้นก็จะปรากฏขึ้นมาในหัว
แต่ถ้าตัดจุดที่แตกต่างกันมากที่สุดนี้ออกไปแล้ว ส่วนอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าแทบจะเหมือนกัน โรแลนด์เกิดความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับผู้ฝึกยุทธ์ปีศาจที่ชื่อ ‘วัลคีรีย์’ คนนี้ขึ้นมาอย่างรุนแรง
เมื่อถึงตาเขาเข้าไปจับมือ เขาไม่ได้เดินจากไปทันทีที่จับเสร็จเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ หากแต่หยุดยืนอยู่ข้างเตียง
“คุณพักอยู่ในชุมชนตึกถงจึเหรอครับ?”
คนอื่นๆ ที่เดิมเตรียมตัวออกไปจากห้องพลันงุนงงขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินเขาถามประโยคนี้ขึ้นมา
วัลคีรีย์ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยๆ เธอเหมือนกำลังคิดอยู่ว่าจะตอบอย่างไรดี หลังจากนั้นเธอจึงส่ายหัวขึ้นมา
ก็จริง ปีศาจผู้หญิงที่อยู่ในเศษเสี้ยวความทรงจำน่าจะมีอายุยาวนานกว่าคนที่ถูกซีโร่กลืนกิน มันน่าจะไม่ใช่คนที่ถูกจับมาอยู่ในสงครามแห่งวิญญาณ
“อย่างนั้นคุณมีพี่น้องหรือเปล่าครับ? ที่หน้าตาเหมือนกับคุณ?” โรแลนด์ชี้ไปที่หน้าผาก “อย่างเช่นตรงนี้มีตาอีกดวงหนึ่ง?”
ในกลุ่มคนมีเสียงกระซิบกระซาบขึ้นมา ตัวผู้คุมเองก็กระแอมขึ้นมาเบาๆ “คุณโรแลนด์”
“อีกแปบนึงครับ” โรแลนด์โบกมือ “ผมแค่รู้สึกว่าเธอคล้ายกับคนที่ผมรู้จักคนหนึ่ง”
อีกฝ่ายตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ไม่มี”
“จะไปมีได้ยังไง ฉันไม่เคยเห็นคนที่มาจากคาบสมุทรคาร์กาดคนไหนที่มีตาสามดวงเลย” มีคนบ่นเสียงเบาๆ ขึ้นมา “แต่ถ้ามีนิ้วมือสามนิ้วมันก็มีอยู่ไม่น้อย”
“เอาล่ะ…” โรแลนด์มีความคิดที่อยากจะลองดูครั้งสุดท้าย จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมาว่า “ชาริตา!”
ดวงตาของอีกฝ่ายไม่กะพริบแม้แต่น้อย เหมือนว่ามีแต่เขาที่กำลังเป็นไอบื้ออยู่คนเดียว
ถ้าวัลคีรีย์เป็นปีศาจที่มาจากเศษเสี้ยวความทรงจำจริงๆ อย่างนั้นถ้าหากเธอได้ยินภาษาปีศาจประโยคนี้ เธอก็น่าจะมีปฏิกิริยาตอบสนองออกมาบ้างถึงจะถูก
ดูเหมือนจะแค่หน้าตาเหมือนกันจริงๆ ด้วย
โรแลนด์ยักไหล่พร้อมกับยื่นมือขวาออกไป “หวังว่าคุณจะหายในเร็ววัน แล้วกลับมาสู้กับการกัดพร้อมกับทุกคนใหม่นะครับ”
เธอดูลังเลอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะค่อยๆ ยื่นมือออกมา
พริบตาที่มือทั้งสองข้างประกบกัน โรแลนด์พลันส่งเสียง ‘เอ๋’ ออกมา
ผู้คุมถามเสียงเบา “ทำไมเหรอ?”
“มือของเธอเย็นจัง…แถมยังเปียกด้วยครับ”
มีเสียงหัวเราะหลุดออกมาจากกลุ่มคนที่ยืนอยู่ ในขณะที่กำลังพยายามกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ โรแลนด์พลันได้ยินเสียงพูดดูถูกขึ้นมาสองสามประโยค
“ไม่รู้จักกาลเทศะเลย”
“ทำไมฝ่ายยุคเก่าถึงเลือกคนแบบนี้มาได้?”
“เอาล่ะๆ คนป่วยต้องการพักผ่อน เชิญทุกท่านไปเยี่ยมผู้ป่วยห้องต่อไปเลยครับ” หมอส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ “จริงๆ เลยเชียว…”
โรแลนด์ยักไหล่ ในฐานะที่เป็นผู้สร้างโลกแห่งความฝัน เขานั้นไม่ได้สนใจความคิดของคนเหล่านี้เท่าไร เพียงแต่ในเมื่อถามแล้วไม่ได้ข้อมูลอะไร อย่างนั้นอยู่ที่นี่ต่อไปมันก็ไม่มีประโยชน์ สุดท้ายเขาเหลือบมองวัลคีรีย์อีกครั้ง ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไป
….
หลังประตูห้องปิดลง วัลคีรีย์ยังไม่อาจสะกดอารมณ์ตกตะลึงอย่างรุนแรงภายในใจลงไปได้
ในเวลาสั้นๆ แค่ 15 นาทีนี้แทบจะเป็นช่วงเวลาที่มันรู้สึกตื่นเต้นมากที่สุดในชีวิต มันคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีวันที่มันต้องระเบิดสมาธิทั้งหมดที่มีออกมาเพื่อรักษาสีหน้าของตัวเองเอาไว้ไม่ให้เปลี่ยน ยิ่งไปกว่านั้นมันยังใช้พลังส่วนใหญ่ไปจนเกือบหมดด้วย
ในตอนที่เห็นคนๆ นั้นเดินออกมาจากกลุ่มคน วัลคีรีย์รู้สึกเหมือนเลือดที่อยู่ในร่างกายพลันจับตัวแข็งขึ้นมาทันที มันไม่มีทางลืมใบหน้านั้นเด็ดขาด ในความทรงจำของไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ ก็เป็นชายคนนี้นี่แหละที่ยืนอยู่อีกฝั่งของชิ้นส่วนสืบทอด และมองดูไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ถูกหนนวดไล่โจมตีอย่างใจเย็น
นั่นไม่ใช่การดูความทรงจำแบบธรรมดา การอ่านความทรงจำของจักรพรรดิสามารถทำให้คนที่ดูความทรงจำอยู่นั้นรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของเจ้าของความทรงจำ ด้วยเหตุนี้มันจึงรู้สึกได้ถึงความตกใจและความหวาดกลัวของราชาไซเลนท์ และก็เป็นเพราะความรู้สึกที่เหมือนตัวเองเป็นคนเจอเหตุการณ์นั้นจึงทำให้มันสามารถเชื่อมโยงอีกฝ่ายเข้ากับภาพในความทรงจำได้ทันที
การคาดเดาก่อนหน้านี้เรียกได้ว่าผิดไปทั้งหมดเลย ถึงแม้จะไม่อยากยอมรับ แต่มันก็จำต้องเอาความเป็นไปได้อย่างที่สามเข้ามาพิจารณาด้วยการสั่นสะเทือนของโลกแห่งจิตสำนึกไม่ได้ทำให้มันเดินออกนอกทิศทาง และมันก็ไม่ได้เดินผิดทางมาตั้งแต่แรก ที่ี่นี่คือดินแดนที่มนุษย์ตัวผู้คนนี้เป็นคนสร้างขึ้นมา อีกฝ่ายนั้นคือเจ้าของที่นี่
ถ้าหากมันไปเจอคนๆ นี้ในโลกแห่งความเป็นจริง อย่างมากมันก็คงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นมันก็คงใช้พลังทั้งหมดของมันฉีกอีกฝ่ายเป็นชิ้นๆ มันก็เป็นเหมือนกับผู้ยกระดับส่วนใหญ่ที่มีความสามารถในการปิดกั้นพลังเวทมนตร์ ไม่ว่าระดับพลังเวทมนตร์ของอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งถึงขนาดนี้จริงๆ หรือไม่ ยังไงก็ต้องโดนมันฆ่าอยู่ดี
แต่กฎเกณฑ์นี้ไม่สามารถใช้ได้ในโลกแห่งจิตสำนึก อย่างน้อยจากที่จักรพรรดิบอกมา ไม่มีใครที่จะเอาชนะมันได้เมื่ออยู่ในหอเจ้าชีวิต….รอบรู้ทุกสิ่ง ไม่มีวันตาย แทบจะไม่ได้ต่างอะไรจากพระเจ้าที่เล่าลือกัน บางทีจักรพรรดิอาจะกล่าวเกินจริง แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นมันก็ยังไม่กล้าที่จะลองดู
วัลคีรีย์รู้ดีว่าการที่ตัวเองตายอยู่ที่นี่นั้นยังไม่ใช่เรื่องที่แย่ที่สุด ถ้าหากอีกฝ่ายมีพลังในการดึงความทรงจำเหมือนกับจักรพรรดิ เช่นนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองรู้จะต้องสร้างปัญหาอย่างใหญ่หลวงให้กับเผ่าพันธุ์อย่างแน่นอน
เมื่อต้องเจอกับศัตรูแบบนี้ มันจำเป็นต้องระมัดระวังตัวให้มากถึงจะถูก
ที่โชคดีก็คือความเป็นไปได้อย่างที่สามนั้นยังไม่ใช่ข้อสรุปที่แน่นอน อย่างเช่นเขาเหมือนกำลังสืบดูสถานะของตัวเอง ไม่ใช่การมองทะลุเข้าไปเหมือนกับจักรพรรดิ วัลคีรีย์แอบรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายจะเคยเจอมันที่ไหนมาก่อน ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไม แต่คำพูดและการกระทำของเขาก็ล้วนแต่แสดงให้เห็นว่าเขาจำเธอได้
ยิ่งไปกว่านั้นมีความเป็นไปได้สูงว่าเขาเจอเธอในอีกโลกหนึ่ง
ไม่อย่างนั้นเขาไม่มีทางที่ถามถึงตาที่สามขึ้นมาแน่ ดวงตาที่อยู่ตรงกลางหน้าผากของวัลคีรีย์นั้นคือหินวิญญาณที่มันได้รับมาในตอนที่ทำพิธียกระดับครั้งที่สาม
แล้วยังมีคำว่าชาริตาที่มีความหมายว่า ‘วีรบุรุษ’ ในภาษาโบราณของเผ่าพันธุ์ของมันอีก
มันยื่นมือข้างที่จับมือกับโรแลนด์ออกมาแล้วมองดูอย่างเงียบๆ ภายในหัวมีภาพตอนที่จับมือกับอีกฝ่ายปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
คำพูด ‘เอ๋’ ของอีกฝ่ายทำเอาลมหายใจของมันหยุดลง แต่โชคดีที่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น วัลคีรีย์ยังไม่ลืมจุดประสงค์ที่ตัวเองไล่ตามอีกครั้ง การเจอหน้าอย่างกะทันหันครั้งนี้เป็นทั้งความท้าทาย แล้วก็เป็นโอกาส ยังไม่ทันจะทำอะไร มันก็หาบุคคลสำคัญของฝ่ายมนุษย์เจอแล้ว เป็นแค่มนุษย์ตัวผู้แต่กลับมีโอกาสได้สัมผัสกับชิ้นส่วนสืบทอด แถมยังสามารถไล่ต้อนไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ได้ในการเผชิญหน้าในจิตสำนึก แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายนั้นมีข้อมูลจำนวนมากที่เผ่าพันธุ์ของมันไม่รู้อยู่อย่างแน่นอน มันไม่มีทางที่หลบหนีไปเพียงเพราะความเสี่ยงแค่นี้แน่
ก็เหมือนกับที่จักรพรรดิสร้างหอเจ้าชีวิตขึ้นมาเพื่อที่จะได้ควบคุมลูกน้องได้ง่ายขึ้น ถ้าหากที่นี่เป็นสถานที่ที่คนธรรมดาสร้างขึ้นมาจริงๆ อย่างนั้นมันก็ต้องสร้างขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์อะไรบางอย่างแน่ แค่ดูจากคำพูดต่างๆ เช่น ‘ฟอลเลนอีวิล’ ‘แนวรบ’ ‘ต่อสู้กับการกัดกิน’ มันก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของแผนการร้าย มันต้องรู้ให้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังวางแผนอะไรอยู่ในโลกแห่งจิตสำนึกกันแน่
อย่างเช่นการประชุมที่หมอเกาคนนั้นพูดถึง บางทีอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ไม่เลว
เมื่อคิดถึงตรงนี้ วัลคีรีย์พลันกำหมัดขึ้นมาแน่น
โรแลนด์…งั้นเหรอ?
ข้าจะจำเจ้าเอาไว้!
……………………………………………………….