Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1239 สองทางเลือก
ท่าเรือขนสินค้าอยู่ห่างจากเขตชุมชนถงจึประมาณ 15 กิโลเมตร เพื่อที่จะไม่ทำให้เป็นที่ผิดสังเกต แม่มดทั้งหมดจึงแยกย้ายกันไปเรียกแท็กซี่ไปยังที่หมาย
ส่วนโรแลนด์นั้นออกเดินทางเป็นกลุ่มสุดท้าย เขายังคงขับรถตู้เก่าๆ คันนั้นไป โดยมีฟิลลิส ฟาลดี้นั่งไปด้วย
หลังจากที่เข้าร่วมปฏิบัติการกวาดล้างกับสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ครั้งนั้น เขาก็ให้ความสนใจกับอุปกรณ์สำหรับทำการสู้รบส่วนตัว ถึงแม้จะไม่สามารถหาอุปกรณ์ได้ครบเครื่องเหมือนอย่างสมาคม แต่พวกอุปกรณ์ที่พวกประชาชนหาซื้อมาใช้ได้มันก็ถือว่าพอใช้ได้เหมือนกัน
อย่างเช่นวิทยุสื่อสารแบบพกพาที่เขาซื้อมาจากบนอินเทอร์เน็ตที่ไม่เพียงแต่จะมีหูฟังบลูทูธมาให้ แต่มันยังสามารถติดต่อกันได้ไกลถึง 5 กิโลเมตรด้วย ถึงแม้ในการทดสอบใช้จริงจะพบว่าหากบริเวณใกล้เคียงมีตึกสูงหรือว่าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีคลื่นแม่เหล็กซับซ้อน ระยะทางนี้จะลดลงเหลือต่ำกว่า 2 กิโลเมตร แต่เมื่อคิดถึงราคาขายที่ไม่ถึง 200 หยวน อีกทั้งถ้าซื้อจำนวนเยอะยังได้ส่วนลดเพิ่มอีกมาก โรแลนด์จึงตัดสินใจซื้อมาให้แม่มดใช้คนละเครื่อง
อย่างนั้นเจ้าสิ่งนี้มันก็ใช้สะดวกกว่าโทรศัพท์มือถือ แถมยังมีความปลอดภัยมากกว่าด้วย
ปกติเขามักจะคิดว่าเหตุการณ์ในภาพยนตร์ที่ฝ่ายคนดีต้องพากันตายหมดเพราะโทรศัพท์มือถือดังขึ้นมาในช่วงเวลาสำคัญๆ นั้นมันดูจงใจมากเกินไป แต่ถ้าตัวเองต้องมาเจอเรื่องแบบนี้บ้าง มันก็คงจะดูโง่เกินไปหน่อย
ส่วนฟาลดี้ที่มีความสามารถในการระบุตำแหน่งนั้นย่อมต้องกลายเป็นศูนย์จัดการข้อมูล
“ฝ่าบาท พี่เบ็ตตี้ไปถึงละแวกท่าเรือและไปรวมกับหลิงเรียบร้อยแล้วเพคะ”
“ให้พวกนางซ่อนตัวก่อน รอทุกคนไปถึงแล้วค่อยลงมือ” โรแลนด์ตอบโดยไม่หันหน้า
“เพคะ พี่ดาเนนเองอีกประมาณ 5 นาทีจะถึงที่หมาย แต่เงินบนตัวนางเหมือนจะไม่พอ”
“เอ่อ…ลองถามซิว่ามีใครพกเงินมาไหม เดี๋ยวพอนางถึงแล้วช่วยจ่ายให้นางหน่อย”
“เดี๋ยวเพคะ นางบอกว่าเมื่อครู่คนขับได้ยินที่นางพูด ก็เลยบอกว่าไม่คิดเงิน”
“อย่างนั้นก็ดี…” โรแลนด์ถึงกับกรอกตาขึ้นมา ทำไมเวลาเขาขึ้นแท็กซี่ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้บ้าง?
โทรศัพท์มือถือของฟาลดี้วางลงไปไม่ถึง 5 วินาทีก็ดังขึ้นมาใหม่อีกครั้ง “ฝ่าบาท ทวิงเกิ้ลบอกว่ารถที่นางนั่งมาเหมือนจะขับอ้อม จุดหมายปลายทางเหมือนจะไม่ใช่ท่าเรือเพคะ”
โรแลนด์ขมวดคิ้วขึ้นมา “ตำแหน่งของนางคือ…”
ยังไม่ทันพูดจบ เขาก็ได้ยินเสียง ‘ผัวะ’ ดังขึ้นมา
จากนั้นก็เป็นเสียงตุบ! ป๊าบ! ปัง! ดังตามขึ้นมา
สุดท้ายทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ
เขานวดขมับ “ให้พวกนางขึ้นรถคันใหม่แล้วกัน ตอนที่ออกมาระวังอย่าให้ถูกกล้องวงจรปิดจับภาพไว้ได้ล่ะ”
“ทราบแล้วเพคะ ฝ่าบาท” ฟาลดี้พูดพร้อมปิดปาก
กว่าทุกคนจะมาถึงท่าเรือกันครบก็เป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น
ทีมที่มาถึงก่อนนั้นนั่งแทะเม็ดแตงโมรอจนเปลือกกระจายเต็มพื้น
โชคดีที่ศัตรูเหมือนจะเอาท่าเรือเป็นฐานชั่วคราวของตัวเอง พวกมันจึงไม่ได้สังเกตเห็นเหล่าแม่มดแม้แต่น้อย ถ้านี้เป็นศึกที่ต้องไล่โจมตีศัตรู เกรงว่าพวกมันคงจะหนีหายไปแล้ว โรแลนด์พลันรู้สึกว่าบางทีครั้งหน้าตัวเองควรจะซื้อรถตู้มาอีกซัก 3 – 4 คัน เพื่อที่จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์น่าอายแบบนี้ขึ้นอีก
เขากระแอมเล็กน้อย ก่อนจะมองไปทางหลิง “สถานการณ์ของศัตรูเป็นยังไงบ้าง?”
“ทูลฝ่าบาท พวกฟอลเลนอีวิลส่วนใหญ่อยู่ท่าเรือ จำนวนอย่างน้อยๆ มีมากกว่า 30 ตัวเพคะ บนกล่องเหล็กที่อยู่ด้านนอกพวกนั้นมีพวกมันคอยเฝ้ายามอยู่ ด้วยพลังของดาเนน การจะหลบพวกมันไม่ใช่เรื่องยาก แต่ท่าเรือด้านที่ใกล้แม่น้ำแสงไฟค่อนข้างสว่าง หม่อมฉันจึงได้แต่มองดูอยู่ไกลๆ ไม่กล้าเข้าไปใกล้มาก ศัตรูส่วนใหญ่ล้วนแต่อยู่ในพื้นที่นั้น แต่บริเวณรอบๆ มีเส้นทางให้หลบหนีอยู่หลายเส้นทาง ถ้าหากเกิดการต่อสู้ขึ้นมา หม่อมฉันไม่กล้ารับประกันว่าจะสามารถสกัดพวกมันไว้ได้ทุกตัวเพคะ”
ความสามารถของหลิงคือตัวเองสามารถรวมตัวไปกับเงามืดได้อย่างสมบูรณ์แบบ ในตอนกลางคืนเธอจะมีความสามารถในการซ่อนตัวที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าไนติงเกลเลย เรียกได้ว่าเป็นนักสอดแนมที่สมบูรณ์แบบ
โรแลนด์นิ่งเงียบไปครู่ “ในเมื่อเป็นแบบนี้ อย่างนั้นก็ล่อพวกมันออกมาแล้วค่อยจัดการแล้วกัน ขอเพียงออกมาให้ห่างจากริมฝั่งแม่น้ำ พวกเราก็จะนั้นช่องทางหนีลงแม่น้ำของศัตรู แล้วก็ล้อมพวกมันเอาไว้ได้”
“ตามหลักแล้วทำได้ แต่ว่า…เราจะล่อพวกมันยังไงล่ะเพคะ?” ฟิลลิสถาม
โรแลนด์ยิ้มแล้วชี้มาที่ตัวเอง “ข้าได้ยินว่าพวกมันกำลังไล่โจมตีผู้ฝึกยุทธ์ไปทั่ว ตอนนี้มีผู้ฝึกยุทธ์มาหาพวกมันตัวคนเดียวแบบนี้ พวกมันก็ไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยไปถูกไหมล่ะ”
….
หลังจากที่แม่มดต่างหายตัวไปในความมืด โรแลนด์ก็เดินออกมาจากที่ซ่อนตัว แล้วค่อยๆ เดินเข้าในลานวางตู้คอนเทนเนอร์ ทำเหมือนว่าตัวเองแค่บังเอิญเดินเล่นผ่านมาทางนี้
ในเวลานี้ลานวางตู้คอนเทนเนอร์ตกอยู่ในความเงียบ นอกจากเสียงฝีเท้าของเขากับเสียงแมลงแล้ว เขาก็ไม่ได้ยินอะไรอย่างอื่นเลย แสงไฟสลัวที่ส่องมาจากทางท่าเรือทำให้เขาพอจะมองเห็นเค้าโครงของตู้คอนเทนเนอร์ได้ลางๆ กำแพงที่วางสูงๆ ต่ำๆ นี้ดูแล้วเหมือนเป็นเขาวงกต มองยังไงก็ไม่เหมือนว่าจะมีใครมาทำอะไรที่นี่เลย
แต่ในที่สุดวิทยุสื่อสารที่ซื้อแบบราคาเหมามาก็แสดงประโยชน์ของมันออกมา ดาเนนเตือนเขาว่าฟอลเลนอีวิลที่ซ่อนตัวอยู่ตรงท่าเรือมีความเคลื่อนไหว
เห็นได้ชัดว่าพวกที่เฝ้ายามอยู่ด้านนอกสังเกตเห็นคลื่นกระเพื่อมพลังแห่งธรรมชาติของเขา แล้วก็แจ้งให้พวกของมันรู้ สิ่งเดียวที่ทำให้โรแลนด์รู้สึกแปลกใจก็คือศัตรูไม่ได้ลงมือในทันที หากแต่ปล่อยให้เขาเดินไปเดินมา
จนกระทั่งแสงไฟสปอร์ตไลท์ตรงลานวางตู้คอนเทนเนอร์ถูกเปิดขึ้นมา พื้นที่ตรงนั้นสว่างจนกลายเป็นเหมือนเวลากลางวัน!
ภายใต้แสงไฟที่แสบตา โรแลนด์เหมือนจะมองเห็นเงาคนสิบกว่าคนค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นมา จนกระทั่งสายตาปรับตัวเข้ากับแสงสว่างที่จู่ๆ ก็สว่างขึ้นมาได้แล้ว เขาถึงได้พบว่าตัวเองนั้นถูกล้อมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
ผู้ชายที่เป็นหัวหน้ากลุ่มฟอลเลนอีวิลสวมหน้ากากลวดลายแปลกๆ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัวหรือว่าท่าทางก็ล้วนแต่แตกต่างไปจากฟอลเลนอีวิลที่อยู่รอบๆ อย่างเห็นได้ชัด โรแลนด์สังเกตเห็นว่าลาดลายบนหน้ากากนั้นดูเผินๆ แล้วเหมือนกับประตูที่กำลังจะเปิดออก
นอกจากนี้ คนอีกสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ผู้ชายคนนั้นก็ไม่เหมือนฟอลเลนอีวิลทั่วๆ ไป สายตาพวกมันไม่ได้เหม่อลอย บนร่างกายสวมใส่สุดของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์
“สายัณสวัสดิ์ คนหลงทางผู้น่าสงสาร” คนที่เป็นหัวหน้าพูดจาอย่างมีมารยาทจนน่าแปลกใจ “ถึงแม้จะไม่รู้ว่าลมอะไรพาเจ้ามาที่นี่ แต่เจ้าน่าจะรู้นะว่าตอนนี้ถ้าจะคิดหนีมันก็ไม่มีทางเป็นไปได้แล้ว แทนที่จะเอาเรี่ยวแรงไปทิ้งกับเรื่องที่ไม่มีประโยชน์ สู้อยู่เฉยๆ แล้วฟังข้าพูดให้จบจะดีกว่า”
โรแลนด์มองไปรอบๆ ด้านหน้าด้านหลังเขามีฟอลเลนอีวิลมาล้อมเอาไว้
“ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ได้มีความคิดที่จะฆ่าเจ้า ในทางกลับกัน นี่อาจจะเป็นโอกาสที่หาได้ยากสำหรับเจ้าก็ได้ ข้าเพิ่งจะมาถึงโลกนี้ และกำลังต้องการความช่วยเหลือจากพวกเจ้า” ชายคนนั้นผายมือ “อย่าเพิ่งด่วนปฏิเสธ ได้โปรดให้ข้าแนะนำตัวเองก่อน ข้าคือเทวทูตของพระเจ้า นามว่าอัลฟา มาจากสิ่งที่พวกเจ้าเรียกว่า ‘การกัดกิน’”
จากความคิดที่มีอยู่เดิม ในเวลานี้โรแลนด์ควรจะแสร้งทำเป็นหวาดกลัวจนทำอะไรไม่ถูกเพื่อทำให้ศัตรูตายใจ แต่ไม่รู้ว่าทำไม เวลาที่เห็นท่าทางประดิษฐ์ประดอยดูมีมารยาทของอีกฝ่าย เขาพลันรู้สึกอยากจะพุ่งเข้าไปซัดหน้าอีกฝ่ายซัก 2 – 3 หมัด
“เจ้าคือสัตว์ประหลาดที่บุกรุกเข้าไปในเมืองปริซึมเหรอ?”
“พูดว่าบุกรุกนั้นไม่ถูกนัก เพราะว่าเดิมสถานที่นี่นั้นเป็นของพระเจ้า” อัลฟาพูดอย่างไม่เร่งร้อน “ตอนนี้มันแค่ถึงเวลาที่จะต้องกลับไปเป็นของพระเจ้าเท่านั้น ฟังให้ดีนะผู้หลงทาง ผู้ฝึกยุทธ์ของพวกเจ้าต้องพ่ายแพ้และคืนกลับสู่ความว่างเปล่าแน่นอน เช่นนั้นสู้มารับใช้พระเจ้าไม่ดีกว่าเหรอ”
“ตอนนี้เจ้ายังไม่เข้าใจมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เอาไว้ต่อไปข้าจะเล่าความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้เจ้าฟังอย่างละเอียด โยนคำสัญญาล่องลอยเหล่านั้นทิ้งไปซะ ตอนนี้ข้าจะแสดงสิ่งที่ข้าจะมอบให้เจ้าได้ นั่นคือพลัง” เขายื่นนิ้วมือออกมานิ้วหนึ่ง จากนั้นปลายนิ้วก็มีแสงสีแดงสว่างขึ้นมา พลังเวทมนตร์อันรุนแรงไหลทะลักออกมา “ข้าสามารถเอามันใส่ไปในร่างกายของเจ้า ทำให้เจ้าแข็งแกร่งอย่างที่ตอนนี้ไม่อาจเทียบได้”
“ท่านเทวทูตไม่ได้หลอกเจ้า” อีกสองคนที่ยืนอยู่ข้างชายคนนั้นพูดสำทับขึ้นมา “ข้าเพิ่งจะตื่นรู้ได้ไม่นาน แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าร่างกายมีพลังที่ใช้ไม่มีวันหมดไหลเวียนอยู่!”
“ยิ่งไปกว่านั้นมันยังไม่ทำให้เจ้าเสียสติแล้วกลายเป็นเหมือนฟอลเลนอีวิลที่บ้าคลั่งพวกนั้นด้วย”
“แล้วถ้าข้าไม่รับปากล่ะ?”
“อย่างนั้นข้าก็คงต้องเปลี่ยนเจ้าให้เป็นเหมือนสัตว์ประหลาดพวกนั้น ถึงแม้พวกมันจะอ่อนแอไปหน่อย แต่มันกลับเชื่อฟังเป็นอย่างมาก” อัลฟ่ายักไหล่ “ด้านหนึ่งคือความจริงของโลกนี้และพลังที่แข็งแกร่ง อีกด้านหนึ่งคือจิตสำนึกดับสูญและกลายเป็นหุ่นเชิดที่หิวกระจายของพลังแห่งธรรมชาติ ข้าว่าเจ้าน่าจะรู้นะว่าควรเลือกยังไง”
“ฝ่าบาท ทุกคนเข้าประจำที่แล้วเพคะ” ในหูฟังมีเสียงกระซิบของดาเนนดังขึ้นมา
โรแลนด์แสยะยิ้ม “ถ้ายังไงให้ข้าเป็นคนบอกพวกเจ้าดีกว่าไหมว่าความจริงของโลกนี้มันเป็นยังไง ข้าเป็นคนสร้างโลกใบนี้ขึ้นมา และข้าก็ไม่อยากยกมันให้ใครด้วย ดังนั้นพวกเจ้าเองก็มีสองทางเลือกเช่นเดียวกัน หนึ่งคือมอบแกนพลังแห่งธรรมชาติทั้งหมดมา จากนั้นก็ตายอยู่ที่นี่ซะ สองคือถูกข้าฆ่า จากนั้นข้าก็เสียเวลาเก็บแกนพลังมาจากพวกเจ้านิดหน่อย ว่าไง เจ้าจะเลือกแบบไหน?”
“เจ้าโง่!” ผู้ฝึกยุทธ์ที่ทรยศตะโกนขึ้นมาเสียงดัง “แค่เจ้าคนเดียวเนี่ยนะ?”
“ไม่ พวกเจ้าไม่ทันสังเกตสินะว่าพวกเจ้าถูกล้อมเอาไว้แล้ว?” โรแลนด์ยื่นมือออกมาแล้วดีดนิ้ว “จัดการพวกมันซะ”
……………………………………………………………………..