Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1244 การเปลี่ยนแปลงที่ไม่รู้ตัว
โซอี้ยืนอยู่ตรงรั้วของสะพานเรือ สายตามองดูกลุ่มคนที่กำลังส่งเสียงวุ่นวายอยู่บนดาดฟ้าเรือ เดิมเรือรบโรแลนด์นั้นมีขนาดไม่ได้ใหญ่มาก ถ้าอยากจะบรรทุกคนเกือบพันคนก็เรียกได้ว่าต้องยัดๆ เข้าไป ผลปรากฏว่าบนเรือไม่มีพื้นที่ว่างเหลืออยู่แม้แต่นิดเดียว แม้แต่พื้นที่ให้นั่งก็ไม่มี
บวกกับนี่เป็นการออกทะเลครั้งแรกของชาวบ้านหลายๆ คน น้ำทะเลที่กระเพื่อมขึ้นลงทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายตัว มีคนเวียนหัวและอาเจียนออกมาอยู่ตลอดเวลา ยิ่งพวกเขายืนเบียดเสียดกันก็ยิ่งทำให้สถานการณ์แย่เข้าไปใหญ่ ต่อให้เป็นคนที่ร่างกายแข็งแรง แต่พอถูกคนอาเจียนใส่หน้า เกรงว่าพวกเขาก็คงทนไม่ได้นานเท่าไร
เธอแอบรู้สึกโชคดีที่ร่างกายของทหารอาญาสิทธิ์ไม่รับรู้กลิ่น
“คนธรรมดานี่อ่อนแอจริงๆ เลย…” ด้านหลังพลันมีเสียงแครอลดังขึ้นมา “ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่าเรจะตัดสินใจทำแบบนี้”
“ใช่” โซอี้พยักหน้าเห็นด้วย
เธอย่อมต้องรู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร
หลังจากที่กัปตันเรือได้รับข้อความขอความช่วยเหลือ เขาก็มาแจ้งพวกเธอทันที เนื่องจากภารกิจของเรือรบโรแลนด์นั้นคือระบบตำแหน่งคร่าวๆ ของแหล่งแร่หินอาญาสิทธิ์ ดังนั้นปฏิบัติการทุกอย่างจึงให้โซอี้เป็นคนตัดสินใจ ตอนแรกบนเรือบรรทุกแกนเวทมนตร์ของอารยธรรมใต้ดินเอาไว้ด้วย แล้วพวกเธอก็ควรจะหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ยิ่งไปกว่านั้นตัวแกนเวทมนตร์ก็กินพื้นที่ด้านหลังของดาดฟ้าเรือไปจนหมด ต่อให้ไปแล้วก็บรรทุกคนมาไม่ได้เท่าไร เมื่อเจอกับสถานการณ์แบบนี้ เดิมเธอควรจะตอบปฏิเสธไป
หากเป็นยุคสมัยสมาพันธ์ แกนเวทมนตร์ที่ีมีจำนวนน้อยและไม่สามารถสร้างเลียนแบบขึ้นมาได้นั้นไม่อาจเอามาเปรียบกับคนธรรมดาได้เลย ต่อให้เลือกระหว่างเมืองหนึ่งเมืองกับแกนเวทมนตร์ เธอก็ไม่มีทางที่จะลังเลแม้แต่นิดเดียว แต่ตอนนี้เธอกกลับเกิดความลังเลขึ้นมา
หลังปรึกษากับเหล่าพี่น้องแล้ว สุดท้ายโซอี้จึงทำการตัดสินใจที่แม้แต่ตัวเองก็รู้สึกว่าน่าเหลือเชื่อออกมา
เธอเอาแกนเวทมนตร์ไปฝากไว้ที่เมืองท่าแห่งหนึ่งแล้วให้กองทัพที่หนึ่งคอยเฝ้าเอาไว้ ส่วนตัวเองกับเรือรบโรแลนด์จะกลับไปยังท่าเรือนอร์ธเทินโมสต์ เธอถึงขนาดกำชับกองทัพที่หนึ่งที่ประจำอยู่ที่เมืองนั้นไว้ว่าหากเรือลำนี้กลับมาไม่ตรงตามเวลาที่นัดหมายเอาไว้ ก็ให้พวกเขารีบเอาแกนเวทมนตร์ส่งกลับไปยังเนเวอร์วินเทอร์
“แต่ว่าความรู้สึกแบบนี้มันก็ไม่เลวเหมือนกันนี่นา” แครอลยักไหล่ “บอกตามตรง พอคิดถึงว่าเจ้าอาจจะปฏิเสธ ข้ายังแอบรู้สึกกังวลใจเลย”
“หวังว่าพวกเขาจะไม่ทำให้ฝ่าบาททรงต้องผิดหวัง” โซอี้แสร้งทำเป็นพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ
อะไรกันแน่ที่ค่อยๆ เปลี่ยนความคิดของเพื่อนเธอไป? ภายในหัวเธอมีภาพเหตุการณ์ต่างๆ ลอยขึ้นมา กองทัพที่หนึ่งที่สู้กับปีศาจอย่างเอาเป็นเอาตายที่ซากเมืองศักดิ์สิทธิ์ทาคิลา พยายามในหน่วยพยาบาลที่คอยดูแลเธอ คนธรรมดาในโลกแห่งความฝันที่ไม่ต่างอะไรจากแม่มดเหล่านั้น แล้วก็โรแลนด์ วิมเบิลดัน…
“นั่นสิ ขอให้มันคุ้มกับที่พวกเราเสี่ยงกลับมาถึงพื้นที่หมอกแดงนี่แล้วกัน” แครอลตบไหล่ของเธอ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจากสะพานเรือ “ไม่ว่ายังไง ภารกิจครั้งนี้ก็ถือว่าผ่านไปอย่างเรียบร้อย อยากจะกลับไปเมืองเนเวอร์วินเทอร์เร็วๆ จัง พอคิดถึงหม้อไฟเสฉวน น้ำลายข้ามันก็ไหลออกมาทุกที…”
“อึก”
โซอี้แอบกลืนน้ำลาย ยังดีที่ตอนนี้แครอลปิดประตูไปแล้ว เธอยังไม่ได้ยินเสียงกลืนน้ำลายเบาๆ นี้
เธอโยนความคิดฟุ้งซ่านไป ก่อนจะมองไปทางหมอกแดงที่พอจะเห็นได้ลางๆ ตรงเส้นขอบฟ้า
ในที่สุดสงครามแห่งโชคชะตาที่นำพาฝันร้ายมาให้สมาพันธ์เมื่อ 400 ปีก่อนก็กลับมาอีกครั้ง ถึงแม้มันจะเร็วกว่าที่คาดเอาไว้มาก อีกทั้งความสามารถของปีศาจเองก็เปลี่ยนไปอย่างมาก แต่ใจของเธอกลับรู้สึกสงบกว่าที่คิดเอาไว้
เพราะครั้งนี้ พวกเธอไม่ได้สู้ตามลำพังอีกแล้ว
……
เฮคซอดลอยอยู่เหนือเมืองที่เพิ่งจะยึดมาได้
ไม่มีควันไฟ ไม่มีสงครามที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด บ้านเรือนส่วนใหญ่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ดูแล้วไม่เหมือนเมืองที่เพิ่งจะผ่านการโจมตีมาเลย
การป้องกันของมนุษย์ช่างอ่อนแอจริงๆ เรียกได้ว่าสู้เมื่อ 400 ปีก่อนไม่ได้ด้วยซ้ำ ถ้าไม่เป็นเพราะว่ามันเชื่อมั่นใจตัวอุรูค มันคงจะนึกว่าคนที่ยึดครองพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปนี้ไม่ใช่มนุษย์ หากแต่เป็นอาณาจักรซีสกาย
ในระยะเวลาสั้นๆ แค่ 1 สัปดาห์ กองทัพของพวกมันก็ได้ขยายแนวรบออกไปไกลหลายร้อยกิโลเมตร แถมยังสร้างหอสังเกตการณ์ขึ้นมาในพื้นที่ที่ละอองแห่งชีวิตยังปกคลุมไปไม่ถึงด้วย ที่ขั้นตอนเหล่านี้สามารถทำสำเร็จได้อย่างรวดเร็วนั้นเป็นเพราะได้รับความช่วยเหลือจากมนุษย์ ลูกน้องของมันรายงานว่า พวกมันเพียงแค่ข่มขู่ผู้นำกับขุนนางเหล่านั้นเล็กน้อยเท่านั้น อย่างเช่นตัดหัวคนออกมาร้อยกว่าคน อีกฝ่ายก็หวาดกลัวจนประเคนทุกสิ่งทุกอย่างมาให้ตามพวกมันต้องการ
และสถานการณ์แบบนี้เหมือนกับสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่หนึ่งไม่มีผิด
ดูเหมือนข่าวคราวที่มันบุกโจมตีปราสาทรีเฟลคสโนว์และเผาเมืองได้แพร่กระจายออกไปแล้ว อีกฝ่ายจึงรู้ดีว่าหากต่อต้านพวกตนมันจะกลายเป็นอย่างไร
หลังบุกยึดเมืองมาได้เมืองแล้วเมืองเล่า เฮคซอดก็ค่อยๆ ได้รับข้อมูลมาจากทางมนุษย์เยอะขึ้นเรื่อยๆ มันไม่เข้าใจว่าทำไมมนุษย์ที่ยังรวมเป็นกลุ่มเป็นก้อนในยุคสมัยสมาพันธ์ถึงได้แตกกระสายซ่านเซ็นในตอนนี้ เพียงแค่มุมๆ หนึ่งของทวีปกลับแบ่งออกเป็นถึงสี่อาณาจักร แถมชื่อที่เรียกก็ยังไม่เหมือนกันด้วย สมาพันธ์ที่เดิมเคยปกครองมนุษย์ก็สูญหายไปแล้ว
ในเวลา 400 กว่าปีมานี้ พวกเขาเอาเวลาไปทำอะไรอยู่?
จะบอกว่าไม่มีอาณาจักรที่แข็งแกร่งอย่างนั้นเหรอ มันก็เหมือนว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะแม้แต่แม่ทัพอัจฉริยะที่มันเชื่อมั่นมากที่สุดก็ยังต้องตายด้วยน้ำมือมนุษย์
หรือว่าอีกฝ่ายไม่รู้จักพลังของการรวมตัวเป็นกลุ่มเป็นก้อน?
แต่ไม่ว่ายังไง ในที่สุดความกังวลภายในใจเฮคซอดก็หมดไปเสียที
ถึงแม้แผนการโจมตีทางตะวันตกจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นหลายอย่าง แต่สุดท้ายแผนการก็บรรลุได้ตรงตามเวลาที่กำหนดเอาไว้ ตอนนี้หอคอยแห่งการให้กำเนิดได้ถูกกระตุ้นเรียบร้อยแล้ว มันไม่ได้ทำให้จักรพรรดิผิดหวัง
อย่างน้อยถ้าเทียบกับบลัดดีคองเคอเรอร์ที่ดีแต่เสียงดังกับเดอะแมสก์ที่เชื่อถือคำพูดไม่ค่อยได้ มันก็ยังรักษาสัญญาที่ว่าเอาไว้
เฮคซอดก้าวเข้าไปในประตูแห่งการบิดเบือน ก่อนจะกลับมาที่รอยแตกอีกครั้ง
ในฐานะที่เป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายของแผนการกลืนกินอาณาจักรรุ่งอรุณ มันตัดสินใจที่จะตั้งชื่อเมืองที่สร้างขึ้นมาใหม่แห่งนี้ว่า ‘สกาย’ เหมือนกับชื่อมัน และที่นี่จะต้องถูกเผ่าพันธุ์จารึกชื่อเอาไว้ในประวัติศาสตร์
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นเอง นายทหารคนสนิทก็ได้นำเอารายงานเข้ามาให้มัน
สกายลอร์ดพลิกดูรายงานผลการรบจากหน่วยต่างๆ อย่างรวดเร็ว ก่อนจะพบว่ามีอยู่จุดหนึ่งที่ทำให้มันรู้สึกสนใจ ทั่วทุกที่ในอาณาจักรอีเทอร์นอลวินเทอร์นั้นมีการอพยพขนาดใหญ่ ถ้าแค่แบบนี้ก็ยังไม่รู้สึกแปลกอะไร เพราะปกติต่อให้ไม่ไปทำอะไร พวกที่อพยพเหล่านั้นก็จะตายไประหว่างทางอยู่ดี
แต่การอพยพครั้งนี้เหมือนจะมีการจัดแจงวางแผนเอาไว้ล่วงหน้า และทิศทางที่มุ่งหน้าไปก็ล้วนแต่เป็นวูล์ฟฮาร์ทที่อยู่ทางใต้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการอพยพทั้งทางบกและทางน้ำ พวกมันพยายามจะเข้าไปสกัดพวกมนุษย์เหล่านั้น แต่พวกมันไม่เพียงแต่จะไม่สามารถหยุดอีกฝ่ายได้ หากแต่ยังถูกอีกฝ่ายโจมตีกลับมาด้วย เรียกได้ว่าคล้ายๆ กับศัตรูที่อุรูคพูดถึงเลย
ถึงแม้หลายๆ หน่วยที่มีผู้ยกระดับเป็นผู้นำจะได้รับชัยชชนะ แต่ถ้าอยากจะสกัดพวกมนุษย์ให้ได้อย่างเด็ดขาด อาศัยเพียงกำลังพลที่มีอยู่ในตอนนี้นั้นไม่มีทางเป็นไปได้ และนี่ก็เป็นขอเสียของการที่เลือกตั้งหอคอยแห่งการให้กำเนิดเอาไว้บนภูเขาสูง หากไม่มีความช่วยเหลือจากประตูแห่งการบิดเบือน ร่างระดับต้นและผู้ยกระดับระดับต้นก็จะไม่สามารถเข้าไปยังดินแดนของมนุษย์ด้วยพลังของตัวเองได้
มันขมวดคิ้วขึ้นมา “ไนท์แมร์ลอร์ดล่ะ?”
“ท่านลอร์ดยังแช่อยู่ในบ่อแห่งละอองชีวิตขอรับ ช่วงนี้ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาเลย”
บ้าเอ้ย ที่มันสิบกว่าวันเข้าไปแล้ว เจ้านั่นคงไม่ใช่ว่าถูกโลกแห่งจิตสำนึกกลืนกินไปแล้วหรอกนะ?
เฮคซอร์ดเรียกประตูแห่งการบิดเบือนขึ้นมา ก่อนจะลงมายังชั้นล่างสุดของรอยแตก
มันเห็นวัลคีรีย์ยังคงนั่งอยู่ในท่าเดิมเหมือนเมื่อตอนแรกสุด ข้าทั้งสองข้างนั่งขัดสมาธิอยู่ในบ่อน้ำที่เปล่งประกายระยิบระยับ สีหน้าของมันยังคงดูเป็นธรรมชาติ ไม่ได้มีท่าทีของการดิ้นรนในตอนที่ถูกกลืนกินเลย นอกจากเวลาที่ยาวนานเกินไปแล้ว อย่างอื่นก็เรียกได้ว่าไม่มีอะไรผิดปกติ
นี่หมายความว่ามันยังคงมีสติและท่องไปในโลกแห่งจิตสำนึกอยู่
ถ้าอีกฝ่ายเป็นบลัดดี้คองเคอเรอร์ สกายลอร์ดคงจะจับอีกฝ่ายโยนออกไปจากบ่อแห่งละอองชีวิตแล้ว การฝืนบังคับให้ออกมาจากโลกแห่งความอาจจะทำให้ความทรงจำบางส่วนเสียหายไป แต่สำหรับบลัดดี้คองเคอเรอร์แล้วจะมีหรือไม่มีมันก็ไม่ต่างกัน แต่หากเป็นไนท์แมร์ มันกลับไม่กล้าทำเช่นนั้น
หลับตอนไหนไม่หลับ ทำไมต้องมาหลับตอนนี้ด้วย!
การอพยพของพวกมนุษย์ดูจงใจมากเกินไป ทำให้มันแอบรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี แต่ปัญหาคือมันไม่สามารถไปพูดอธิบายให้จักรพรรดิฟังได้ เพราะตอนนี้ทางตะวันตกมีราชาประจำการอยู่ถึงสองตัวแล้ว จักรพรรดิไม่มีทางที่จะส่งราชามาอีกตัวเพื่อไล่ตามฆ่าแมลงพวกนั้นแน่ แค่มันเอาเรื่องนี้ไปพูดในหอเจ้าชีวิตก็คงจะถูกราชาตัวอื่นๆ หัวเราะเยาะเอาได้ แต่ความจริงแล้วมันได้พยายามอย่างหนักเพื่อที่จะส่งกองกำลังออกไปบุกยึดเมืองของมนุษย์ ส่วนไนท์แมร์ก็เอาแต่ทำในสิ่งที่ตัวเองคิดไว้โดยที่ไม่ได้ช่วยอะไรมันเลย นี่เท่ากับว่าทางตะวันตกนั้นไม่มีราชาให้ได้ใช้งานเลย นี่ทำให้ความสามารถในการไล่โจมตีระยะไกลของกองทัพปีศาจอ่อนแอลงไปมาก
ถ้าไนท์แมร์สามารถช่วยมันกำจัดมนุษย์ที่หลบหนีพวกนั้นได้ มันก็คงจะไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่กระอักกระอ่วนเช่นนี้
หลังจ้องมองอีกฝ่ายอยู่ครู่ สุดท้ายเฮคซอร์ดจึงเดินออกไปจากบ่อแห่งละอองชีวิตอย่างจนปัญญา
ดูเหมือนทางตะวันตกคงได้แต่ต้องพึ่งมันอย่างเดียวแล้ว
…………………………………………………………..