Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1246 เรือที่ลงไปทางใต้
หลังรถม้าวิ่งออกไปแล้ว แมนเฟลพบว่าคนขับรถนั้นพูดถูก ไม่มีใครอยู่รอเขาแม้แต่คนเดียว ทุกคนต่างเดินจากไปจนหมด คนที่รอบๆ ล้วนแต่เป็นใบหน้าของคนแปลกหน้า
แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกเศร้าใจอะไรนัก ที่เขาทำเรื่องพวกนั้นก็ไม่ได้เพราะต้องการคำขอบคุณ หากแต่เป็นเพราะเขาคิดว่านั่นคือสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น
จากข้อมูลที่คนขับรถม้าให้มา แมนเฟลหาจุดลงทะเบียนของคนเกรย์คาสเซิลเจออย่างรวดเร็ว ความจริงแล้วพื้นที่ตรงนั้นไม่เพียงแต่จะมีแผ่นป้ายปิดเอาไว้เต็มไปหมด แต่ยังมีคนมาคอยป่าวประกาศด้วย ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สังเกตเห็น
ถึงแม้จะมีคนอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ภายในพื้นที่กลับไม่มีความวุ่นวายเลย ราวเหล็กเป็นแท่งๆ แบ่งกลุ่มผู้อพยพออกเป็นแถวๆ ทับซ้อนกัน ทำให้ระยะทางจากปากทางเข้าไปจนถึงลงทะเบียนนั้นดูยาวขึ้นมาจากเดิมมาก แต่นี่ก็ให้ผู้อพยพได้แต่ต้องเดินหน้าไปตามทางที่กำหนดเอาไว้เท่านั้น
พอถึงตาเขา ชาวเกรย์คาสเซิลที่แต่งตัวเหมือนทหารคนหนึ่งก็เริ่มซักถามเขา คนต่างแดนพวกนี้สวมชุดเครื่องแบบที่เหมือนกัน ทำให้แยกแยะได้ง่ายมาก
“ชื่ออะไร?”
“แมนเฟล แคสตีน”
“เป็นใครมาจากไหน มีประวัติความผิดอะไรไหม ถนัดอะไรบ้าง?”
คำถามของอีกฝ่ายนั้นเหมือนกับที่คนขับรถม้าบอกทุกอย่าง แมนเฟลตอบทุกอย่างไปตามความจริง จนกระทั่งถึงตอนที่เขากำลังจะอธิบายอย่างละเอียดว่าตัวเองถนัดอะไร พอเขาพูดออกไปว่า ‘อ่านออกเขียนได้’ ทหารคนนั้นก็รีบพูดตัดบทขึ้นมาทันที “พอแล้ว ไปขึ้นเรือที่สะพานหมายเลข 6 นี่คือป้ายหมายเลขลงทะเบียนของเจ้า อย่าทำหายล่ะ คนต่อไป”
เขายังไม่ทันจะได้คิดอะไรก็ถูกดันออกไปจากแถว ก่อนจะเดินเข้าไปในเขตท่าเรือ
เอ่อ…แค่นี้เหรอ?
หรือว่ามันจะเป็นเหมือนที่คนขับรถม้าบอกจริงๆ เพียงแค่รู้หนังสือก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ในเกรย์คาสเซิลได้อย่างไม่ต้องกังวล แต่เมื่อดูจากสถานการณ์ตรงโต๊ะลงทะเบียน เหมือนไม่ว่าจะดึงชาวเกรย์คาสเซิลคนไหนมา ทุกคนก็อ่านออกเขียนได้กันหมดเลย? ตอนที่ต่อแถวแมนเฟลสังเกตเห็นว่าคนที่จดบันทึกนั้นทำการผลัดเปลี่ยนคนตั้งหลายรอบ บางครั้งทหารที่คอยดูแลแถวก็ยังมารับหน้าที่ลงทะเบียนให้ชั่วคราว ดูแล้วก็เหมือนไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย
นี่ทำให้เขารู้สึกค่อนข้างงุนงง
ยิ่งไปกว่านั้นป้ายโลหะที่ชาวเกรย์คาสเซิลให้เขามานี้ก็เหมือนจะเอาไว้ทำอะไรซักอย่าง มันเป็นป้ายเหล็ก ปลายด้านหนึ่งเจาะรูแล้วมีเชือกห้อยเอาไว้อยู่ ดูแล้วเหมือนจะเอามาห้อยเป็นสร้อยคอได้ บนป้ายมีสัญลักษณ์แกะสลักเอาไว้ น่าจะมีความเกี่ยวของกับหมายเลขตอนที่เขาลงทะเบียน แผ่นป้ายโลหะเล็กๆ แบบนี้ ถ้าไปให้ช่างเหล็กทำก็เสียค่าใช้จ่ายแค่ไม่เท่าไร แต่ถ้าต้องทำมาแจกจ่ายให้กับผู้อพยพแบบนี้ นั่นมันเป็นคนละเรื่องกันเลยทีเดียว
ในดินแดนของตระกูลแคสตีนนั้นมีร้านตีเหล็กอยู่ เขาย่อมต้องรู้ว่ามันหมายถึงอะไร ป้ายเหล็กชิ้นหนึ่งแบบนี้สามารถใช้เศษเหล็กเหลือๆ มาทำได้ แต่ถ้าต้องทำร้อยชิ้นหรือพันชั้นนั้นไม่สามารถทำแบบนั้นได้ สัญลักษณ์ที่อยู่บนป้ายใช้เวลาทำครึ่งวันก็เสร็จแล้ว แต่ถ้าต้องทำมันซ้ำๆ เป็นร้อยรอบพันรอบ เวลาที่ต้องใช้ก็จะยาวนานอย่างมาก
แต่คนที่อยู่ตรงถ้าเรือมันไม่ได้มีแค่พันคนน่ะสิ
ถ้าที่ท่าเรือดีพพูลมีผู้อพยพจำนวนมากแบบนี้ทุกคน จะบอกว่ามีผู้อพยพเป็นหมื่นคนก็ยังน้อยไปด้วยซ้ำ! แล้วนี่ยังต้องมาเตรียมป้ายลงทะเบียนให้ผู้อพยพทุกคนอีก? วัตถุดิบและเวลาที่ต้องใช้ทำป้ายเหล็กเหล่านี้ขึ้นมานั้นเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการได้ เกรงว่าต่อให้เกณฑ์เอาช่างเหล็กจากทั่วทั้งวูล์ฟฮาร์ทมาก็ไม่มีทางที่จะทำได้
เพียงแค่จุดนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เขารับรู้สึกความร่ำรวยและความมั่งคั่งของเกรย์คาสเซิลแล้ว
ทั้งที่จริงเมื่อก่อนนี้หากพูดถึงความร่ำรวย มันควรจะเป็นอาณาจักรดอว์นถึงจะถูก
แมนเฟลพกเอาความรู้สึกทอดถอนใจนี้เดินไปขึ้นเรือใบสามเสาลำหนึ่ง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเกี่ยวข้องกับเรื่องความถนัดของเขาหรือเปล่า เขาจึงถูกให้มาพักอยู่ในห้องโดยสารที่นอนได้สิบคน เทียบกับตอนแรกที่คิดเอาไว้ต้องนอนในที่เก็บสินค้าแล้วถือว่าดีกว่ามาก แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ภายในห้องโดยสารก็ยังเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นคาวจนทำให้เขายากที่จะยอมรับได้ ต่อให้ครอบครัวจะตกต่ำแค่ไหน แต่อย่างน้อยก็ยังมีห้องนอนสบายๆ ให้นอน
ด้วยเหตุนี้ยังอยู่ในห้องไปได้ครู่เดียว เขาจึงจำใจต้องเดินออกมา ในขณะที่กำลังคิดจะเดินขึ้นไปสูดอากาศบนดาดฟ้าเรือ แมนเฟลพลันได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือดังแว่วๆ ขึ้นมา
เหมือนว่ามันจะดังมาจากปลายสุดของทางเดิน
ในเวลานี้ไม่ค่อยมีคนอยู่บนเรือ ลูกเรือต่างกำลังทำงานอยู่ด้านบน ชั้นห้องโดยสารทั้งชั้นจึงเหมือนจะไม่มีใครอยู่เลย นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครได้ยินเสียงเรียกนี้
แมนเฟลเดินตามเสียงไปอย่างไม่ลังเล
ปลายสุดของทางเดินเป็นห้องเก็บของที่ถูกปิดเอาไว้ นอกจากลูกเรือแล้ว เกรงว่าคงไม่มีใครที่จะเดินมาที่นี่ เขาเอาหูไปแนบที่ประตู ก่อนจะได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวแปลกๆ จริงๆ เหมือนกับว่ามีคนกำลังดิ้นอยู่อย่างไรอย่างนั้น
เขาตัดสินใจถอยหลังไปสองก้าว ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปกระแทกประตูจนเปิดออก
ภาพที่อยู่ตรงหน้าทำให้แมนเฟลตกตะลึง
ผู้ชายที่ยืนอยู่ในห้องเก็บของนั้นคือขุุนนางวัยกลางคนบนรถม้าที่หัวเราะเยาะว่าเขาโง่คนนั้น ลูกน้องของเขาสองคนกำลังจับผู้หญิงสองคนกดลงไปที่พื้น แล้วก็พยายามที่จะมัดมือมัดเท้าของพวกเธอ ในปากของผู้หญิงมีผ้าอุดเอาไว้ พวกเธอจึงทำได้เพียงส่งเสียงอู้อี้ๆ เห็นได้ชัดว่าพวกเธอถูกบังคับพามาที่นี่
“โอ้? เจ้าโง่ที่พยายามจะทำตัวเองคนดีนั้นเอง?” ขุนนางพูดอย่างไม่เร่งรีบ “ถ้าข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ เจ้าเองก็น่าจะเป็นขุนนางใช่ไหมล่ะ? ข้าชื่อมิก คินลีย์ เจ้าล่ะ?”
“แมนเฟล แคสตีน” นี่เป็นรอบที่สามของวันนี้แล้วที่เขาต้องแจ้งชื่อของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นเขายังสังเกตเห็นได้ด้วยในตอนที่เขาพูดสถานะของตัวเองออกไป สายตาที่เพิ่งจะมีความหวังเปล่งประกายขึ้นมาของหญิงสาวพลันมืดดับลง แม้แต่แรงต้านเองก็น้อยลงไปมาก
“แคสตีนเหรอ? ไม่เคยได้ยินมาก่อน” อีกฝ่ายยักไหล่ “แต่ก็ถือว่าเจ้าโชคดีล่ะนะ ในเมื่อมาเจอแล้ว อย่างนั้นข้าก็จะให้เจ้าสนุกด้วย แต่ว่าต้องต่อจากข้านะ”
“ปล่อยพวกนางซะ” แมนเฟลพูดเสียงเข้ม
“หา?” มิก คินลีย์หรี่ตา “สมองเจ้ามีปัญหาหรือเปล่า? หรือไหมว่าพวกนางเป็นใคร? เป็นทาส! แถมยังเป็นทาสที่ถูกหลายๆ คนเล่นสนุกมาแล้วด้วย ตอนแรกข้านึกว่าตัวเองดูผิดไป แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้มาเจอนางสองตัวนี้บนเรือ จากที่ข้ารู้มา เจ้านายของพวกนางไม่มีทางปล่อยพวกนางมาแน่ อย่างนั้นเรื่องราวมันก็ง่ายมาก นั้นคือพวกนางแอบหนีออกมาเอง แบบนี้แล้ว เจ้ายังจะปกป้องพวกนางอยู่อีกเหรอ?”
ทาสหลบหนีถือเป็นทาสชั้นต่ำที่สุดในบรรดาทาส พวกเขาแทบจะไม่ได้ต่างอะไรจากสัตว์เดรัจฉานเลย ไม่ว่าพวกขุนนางจะทำอะไรกับพวกเขาก็ล้วนแต่ไม่มีความผิด
แต่มันก็เหมือนกับที่เขาเคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้
‘การที่ทุกคนทำแบบนั้น ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องนี่นา’
“จุดหมายของเรือลำนี้คือเกรย์คาสเซิลใช่ไหม?”
“…เจ้าอยากจะพูดอะไร?” มิก คินลีย์พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ข้าคิดว่าเจ้าของได้ยินคำประกาศของเกรย์คาสเซิลแล้ว ราชวงศ์วิมเบิลดันได้ยกเลิกระบบทาสไปแล้ว ดังนั้นนับตั้งแต่ที่ก้าวขึ้นมาบนเรือนี้ พวกนางก็ไม่ใช่ทาสอีกต่อไป” แมนเฟลพูดอย่างไม่ลังเล “ยิ่งไปกว่านั้นอย่าลืมซะล่ะว่าหลังลงไปจากเรือจะมีการตรวจสอบอีกรอบหนึ่ง ซึ่งในนั้นรวมไปถึงประวัติการทำความผิดด้วย ถ้าข้าพูดออกไป เจ้าคิดว่าคนเกรย์คาสเซิลจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไหม?”
“แล้วถ้าข้าจะทำต่อล่ะ?” อีกฝ่ายกัดฟันถามออกมา
“อย่างนั้นเอาชนะข้าให้ได้ก่อนแล้วค่อยกว่ากัน” แมนเฟลถลกแขนเสื้อขึ้น “ข้าเป็นอัศ….”
เขายังไม่ทันพูดจบ มิก คินลีย์ก็ปรี่เข้ามาหาเขาแล้ว
…..
การต่อสู้รู้ผลแพ้ชนะอย่างรวดเร็ว
คนใช้ของอีกฝ่ายนั้นเคยฝึกการต่อสู้มาก่อน ภายในห้องเก็บของที่คับแคบ แมนเฟลทนสู้ไม่ถึงสิบหมัดก็โดนเล่นงานจนตอบโต้ไม่ได้แล้ว ในตอนที่เขาล้มลงไปกองกับพื้น มิก คินลีย์ก็ไม่ลืมที่จะเตะเขาอีกสองที
“มีฝีมือแค่นี้แล้วยังจะกล้ามาอวดดี? ข้านึกว่าเจ้าจะเก่งเหมือนปากเสียอีก” ขุนนางวัยกลางคนถ่มน้ำลายใส่เขา “แม่งเอ้ย ทำเอาข้าหมดสนุกเลย ในเมื่อเจ้าชอบปกป้องนังขยะสองตัวนี้มากนัก อย่างนั้นเจ้าก็เอาไปเลย แต่อย่าลืมซะล่ะ ทาสยังไงมันก็เป็นทาส ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนมันก็เหมือนกัน! ซวยจริงๆ เลยที่ต้องมาเจอไอโง่แบบนี้ พวกเราไป!”
ประตูห้องถูกปิดลง ภายในห้องเก็บของที่คับแคบเหลือเพียงแค่คนสามคนที่ขยับเขยื้อนไม่ได้
…………………………………………………………….