Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1250 ความคิดของอันนา
พอตึกกลางคืน โรแลนด์เอาเรื่องนี้ไปเล่าให้อันนาฟังจนอีกฝ่ายหัวเราะอยู่นาน
“ถ้าคนพวกนั้นรู้ว่าของพวกนี้ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นฝีมือของเจ้า เกรงว่าพวกเขาคงจะต้องตกใจจนอ้าปากค้างแน่” เขาพูดอย่างสบายพร้อมกับเล่นปอยผมเธอไปพลาง “แบบนั้นพวกเขาจะได้เชื่อฟังเจ้ามากขึ้น”
“ในที่สุดกองอุตสาหกรรมก็จะมีคนเพิ่มแล้ว” อันนายิ้มเล็กน้อย “แต่ไม่รู้ว่าความสามารถของพวกเขาเป็นยังไงบ้าง”
“การที่รู้คุณค่าของหนังสือเล่มนั้น อย่างนั้นพรสวรรค์ของพวกเขาก็คงไม่แย่เท่าไร” โรแลนด์ยักไหล่ เขาคิดถึงเมื่อก่อนนี้ี่ที่ตัวเองใช้สมการออกซิเดชั่นในการหลอกหัวหน้าสำนักเล่นแร่แปรธาตุมาที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ “ยิ่งไปกว่านั้นการที่พวกเขาแบกรับความกดดันแล้วพาครอบครัวมาที่นี่ ถือได้ว่าพวกเขามีความอยากรู้อยากเห็นมากทีเดียว…เมื่อมีเงื่อนไขสองข้อนี้ ขอเพียงมอบโอกาสให้พวกเขาอย่างเหมาะสม ข้าคิดว่าซักวันพวกเขาต้องมีชื่อเสียงอย่างแน่นอน”
เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็ชะงักไปเล็กน้อย “แต่แน่นอน ก่อนที่จะให้พวกเขามาช่วยเจ้าอย่างเป็นทางการ พวกเขาต้องไปเรียนวิทยาศาสตร์พื้นฐานพวกนั้นก่อน ส่วนรายละเอียดว่าจะทำอย่างไรนั้น เจ้าก็เป็นคนตัดสินใจแล้วกัน นี่ก็ถือว่าเป็นการชื่อมสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชาและลูกน้องอย่างหนึ่งเหมือนกัน”
อันนาเขยิบเข้ามาใกล้แล้วเอาหัวซุกลงไปที่หน้าอกของเขา “ทูลตามตรง หม่อมฉันไม่รู้ว่าจะนำพวกเขาได้หรือเปล่าเพคะ…”
“เจ้าเป็นคนบอกเองนะว่าอยากจะเป็นหัวหน้ากองอุตสาหกรรม” โรแลนด์ยิ้มขึ้นมา “ทำไม ตอนนี้รู้สึกกลัวแล้วเหรอไง?”
เธอยื่นนิ้วออกมา ไฟสีดำเส้นเล็กๆ พุ่งออกมาจากปลายนิ้วของเธอ ก่อนจะเอานิ้ววนเป็นวงกลมอยู่ตรงหน้าโรแลนด์ “พระองค์อยากจะถูกไฟสีดำมัดเอาไว้อีกเหรอไงเพคะ?”
“เอ่อ ข้าหมายความว่าถ้าเจ้ามีตรงไหนไม่เข้าใจก็ให้ไปถามทิลลีดู” โรแลนด์หลบสายตา “ได้ยินว่าอัศวินอากาศที่อยู่ในโรงเรียนพวกนั้นไม่มีใครที่จะไม่กลัวองค์หญิงเลย”
อันนาตาเป็นประกาย “นั่นสิเพคะ หม่อมฉันไปให้น้องสาวของพระองค์สอนก็ได้นี่นา! แต่ว่า….” เธอลังเลเล็กน้อย “หม่อมฉันไม่ได้คุยกับนางมาเป็นเวลานานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นได้ยินว่าหลังจากศึกทาคิลาครั้งนั้น อารมณ์ของนางก็….”
“วางใจได้ ผ่านไปตั้งนานแล้ว นางทำใจได้แล้วล่ะ” โรแลนด์พูดปลอบ “ไม่ว่าถ้าเจ้าไปคุยกับนาง นางอาจจะดีใจมากก็ได้ — เพราะว่าเมื่อก่อนนี้พวกเจ้าเคยนั่งออกข้อสอบด้วยกันนี่นา”
เรื่องที่แอชเชสอาจจะฟื้นกลับมาได้อีกครั้งนั้นเขาไม่ได้บอกใครเลยนอกจากทิลลี เหตุผลสำคัญก็เพราะกลัวว่าพวกนางจะทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังในระหว่างที่ทำศึก
“อื้อ” อันนาพยักหน้าเหมือนตัดสินใจได้แล้ว “อย่างนั้นก็เอาตามนี้เพคะ!”
เมื่อเห็นว่าปัญหาได้รับการแก้ไขแล้ว โรแลนด์จึงเปลี่ยนประเด็น “เออใช่ รถบรรทุกไอน้ำที่ขับเคลื่อนด้วยลูกบาศก์เวทมนตร์เป็นยังไงบ้าง?”
“ต้องใช้เวลาอีกสองสามวันรถตัวอย่างคันแรกถึงจะเสร็จเพคะ โครงสร้างส่วนใหญ่ของมันใกล้เคียงกับรถยนต์ลูกบาศก์เวทมนตร์คันก่อนหน้านี้ ระบบควบคุมและระบบขับเคลื่อนถูกปรับให้ง่ายขึ้น ถึงแม้ความคล่องตัวจะลดลงไปบ้าง แต่ความเสถียรของมันก็เพิ่มขึ้นไม่น้อยเพคะ” พอพูดถึงเรื่องงาน น้ำเสียงของอันนาก็จริงจังขึ้นมาทันที “นอกจากนี้หากจะใช้มันมาบรรทุกคนกับสิ่งของนั้นล้วนแต่ไม่มีปัญหาอะไรเพคะ สิ่งสำคัญคือพระองค์ต้องสร้างถนนให้เสร็จเสียก่อนเพคะ หากเป็นถนนดินกับทางบนภูเขาแบบธรรมดา มันไม่มีทางที่จะวิ่งได้เพคะ?”
“แล้วรถแทรกเตอร์ล่ะ?”
“อันนี้ยังอีกนานเลยเพคะ” อันนาส่ายหัว “แปลนที่พระองค์ให้หม่อมฉันมามันยังไม่ละเอียดพอ มีหลายจุดที่ต้องลองทดลองทำจริงๆ ก่อนถึงจะรู้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นช่วงล่างและระบบควบคุมก็ไม่เหมือนรถที่มีล้อ ถ้าอยากจะสร้างเครื่องต้นแบบที่ใช้ได้ซักคัน เกรงว่าต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะสำเร็จเพคะ”
แต่ตอนนี้สิ่งที่เขาขาดแคลนมากที่สุดก็คือเวลา
ถ้าเอาแต่ป้องกันอย่างเดียว ปีศาจก็จะรับมือได้ยากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าอยากจะทำศึกได้โดยไม่ต้องพึ่งพาแนวรบ หน่วยรบหุ้มเกราะนั้นคือตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย แต่แปลนของเครื่องจักรรุ่นเก่าแบบนี้กลับรวบรวมมาได้ยากลำบาก ไม่เหมือนกับหนังสือที่ทำสำเร็จออกมาเป็นเล่มๆ ต่อให้เป็นโลกแห่งความฝัน เขาก็ทำได้เพียงแค่หาแปลนของชิ้นส่วนบางส่วนมาเท่านั้น ซึ่งจะต่อเข้าด้วยกันได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้
ถ้าหากจะใช้ชิ้นส่วนของยุคสมัยนี้ ระดับฝีมือของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ก็ยังไม่ถึงมาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นรถแทรกเตอร์ตีนตะขาบ หรือว่าจะเป็นรถหุ้มเกราะที่ปรับปรุงขึ้นมาโดยใช้พื้นฐานจากมันก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่สิ้นเปลืองอย่างมาก เขาไม่อาจปล่อยให้อันนาไปสร้างมันด้วยตัวคนเดียวได้
สรุปแล้วก็คือเขามีคนให้ใช้น้อยเกินไป
ในตอนที่อุตสาหกรรมพัฒนาไปถึงระดับหนึ่ง ผลิตภัณฑ์ตัวอย่างเพียงชนิดเดียวอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับส่วนประกอบอีกเป็นร้อยๆ ชนิด อาศัยแรงงานเพียงคนสองคนนั้นยากที่จะแบกรับได้ และปัญหาแบบนี้ยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งมองเห็นได้อย่างชัดเจน อย่างเช่นข้อเสนอแนะเรื่องการปรับปรุงและจุดอ่อนของเครื่องบินปีกสองชั้นที่ทิลลีให้มา เขาก็เริ่มที่จะจัดการได้ไม่ทันแล้ว
ถ้าหากสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่สามเลื่อนออกไปอีกซัก 50 ปี ปัญหานี้คงจะได้รับการแก้ไข
แต่เห็นได้ชัดว่าศัตรูไม่มีทางปล่อยให้เขามีโอกาสนี้แน่
“ข้าจะคิดหาวิธีดูแล้วกัน” โรแลนด์พูดอย่างนุ่มนวล
“โรแลนด์ หม่อมฉันจำที่พระองค์เคยบอกไว้ว่าโลกที่อยู่ในความฝันนั้นยิ่งซับซ้อนขึ้นทุกวันใช่ไหมเพคะ?” อันนากะพริบตาสีน้ำเงินของเธอ เหมือนกำลังมีความคิดอะไรบางอย่าง
“อื้อ เหมือนว่ามันกำลังทำให้ตัวมันสมบูรณ์แบบด้วยตัวเอง ถ้าไม่อย่างนั้น ข้าก็ไม่มีทางเอาข้อมูลความรู้พวกนั้นออกมาได้หรอก” จากที่มิสต์บอกมา นี่คือสัญญาณว่าโลกแห่งความฝันกำลังขยายตัว มันกำลังกัดกินพลังของพระเจ้า
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ทำไมพระองค์ถึงไม่ไปขอความช่วยเหลือจากโลกแห่งความฝันโดยตรงเลยล่ะเพคะ?”
“เจ้าหมายความว่า….ให้เอาคนเข้าไปในโลกแห่งความฝันเยอะขึ้นเพื่อหาข้อมูลเหรอ?”
“ไม่ใช่เพคะ” อันนายิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา “วิธีที่หม่อมฉันคิดมันง่ายกว่านั้นเพคะ” เธอเข้ามาใกล้หูโรแลนด์ ก่อนจะกระซิบความคิดของตัวเองออกมา “ไม่รู้ว่ามันจะได้ผลหรือเปล่าเพคะ”
โรแลนด์ตกตะลึงไปทันที เขาครุ่นคิดอยู่ครู่ แต่ยิ่งคิด็ยิ่งตื่นเต้น “บางที…มันอาจจะได้ผลก็ได้!”
“อีกเดี๋ยวพระองค์ลองดูก็ได้เพคะ” อันนาบิดขี้เกียจ “ถ้าได้ล่ะก็ พระองค์ก็จะเบาแรงไปได้เยอะเลยล่ะเพคะ แต่ว่าตอนนี้มานอนเป็นเพื่อนหม่อมฉันก่อนเพคะ…”
….
ในตอนที่โรแลนด์ลืมตาตื่นขึ้นมาในโลกแห่งความฝัน แผนการทั้งหมดก็ลอยขึ้นมาในหัวเขา
ความจริงแล้วความคิดของอันนานั้นไม่ซับซ้อน ในเมื่อเมืองเนเวอร์วินเทอร์ขาดแคลนคนที่มีความสามารถ อย่างนั้นก็ข้างคนจากที่นี่ซะก็สิ้นเรื่อง ส่วนโรแลนด์ซึ่งได้ไอเดียนี้มาก็คิดแผนการให้ลึกซึ้งขึ้นไปอีก เขาสามารถสร้างสถาบันออกแบบที่เป็นของตัวเองขึ้นมาในโลกแห่งความฝันได้ โดยทำเหมือนว่าเขาเอาเงินมาผลาญเล่น เพราะอย่างคนที่ชอบผลาญเงินไปกับของโบราณหรือโมเดลก็ยังมีอยู่เยอะแยะเต็มไปหมด ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ไม่มีใครจะมาสนใจแน่นอน เช่นนี้แล้วเขาก็จะสามารถทำการวิจัยและทำแปลนอย่างละเอียดออกมาให้โลกแห่งความเป็นจริงได้
เผลอๆ แม้แต่การทดสอบและการปรับปรุงก็สามารถมาทำที่นี่ได้
เมื่อเทียบกับการไปนั่งหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตที่เหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทรแล้ว วิธีนี้ดูจะแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากกว่า
แต่การจะทำแบบนี้ได้เขาจำเป็นต้องมีทุนจำนวนมาก
มากจนถึงขนาดที่ว่าอาศัยเพียงแค่เงินที่ได้มาจากการปล้นฟอลเลนอีวิลนั้นไม่มีทางพอ
ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องหาผู้สนับสนุนที่มีเงินมากพอ
และตอนนี้ก็เหมือนจะมีอยู่แค่คนเดียว
นั่นก็คือการ์โดพ่อของการ์เซีย หนึ่งในสมาชิกของกลุ่มทุนโคลฟเวอร์
แต่แน่นอน ด้วยนิสัยของอีกฝ่าย การไปคุยกับอีกฝ่ายตรงๆ เลยมันอาจจะไม่ได้ผลเหมือนอย่างที่เขาคิด เพราะสำหรับการ์โดแล้ว ถึงแม้ค่าใช้จ่ายส่วนนี้จะไม่ได้มาก แต่มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องมาลงทุน
การ์เซียเองก็ไม่มีทางที่จะช่วยเขาในเรื่องนี้ เขาจำเป็นต้องหาหมากตัวอื่นมาอีก
โรแลนด์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ก่อนจะกดหาเบอร์ผู้คุมเมืองปริซึม
…………………………………………………….