Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1259 ศึกบนท้องฟ้า
หลังเสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นมา เครื่องบินสามลำแรกก็ทยอยบินออกจากลานบินไป
“พวกเจ้าคิดว่าใครจะชนะ?” ทิลลีถาม
“….เอ่อ ต้องพนันเครื่องดื่มยุ่งเหยิงไหมเพคะ?” ซิลเวียถามอย่างไม่แน่ใจ
“ไม่ แค่เดาๆ ก็พอ”
อีกฝ่ายทำหน้าเหมือนยกภูเขาออกจากอก “อย่างนั้นหม่อมฉันเดากลุ่มที่เพคะ พวกเขาเป็นนักเรียนที่เลือกมาจากกองทัพที่หนึ่งใช่ไหมล่ะเพคะ?”
“ถูกต้อง” ทิลลีพยักหน้า “แล้วเจ้าล่ะ คามิล่า?”
“ฝั่งไหนก็ได้เพคะ องค์หญิง” คาลิม่า แดริลถอนหายใจออกมา “ถึงแม้เจ้าสิ่งนี้มันจะน่าอัศจรรย์ แต่คนแค่ 30 กว่าคนมันก็เท่ากับอสูรสยองแค่ 10 กว่าตัวเท่านั้น ถึงแม้จะเพิ่มขึ้นอีกสองเท่า มันก็ไม่น่าจะมีประโยชน์อะไรต่อการรบมากนัก หม่อมฉันว่ามันไม่คุ้มที่พระองค์จะมาเสียเวลาขนาดนี้นะเพคะ”
“ก็แค่ตอนนี้เท่านั้น” ทิลลีพูดยิ้มๆ “ตอนที่ข้ามาที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์เป็นครั้งแรก โรงงานที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำยังมีอยู่แค่ไม่กี่ที่เท่านั้น แต่เจ้าดูตอนนี้สิ โรงงานตั้งเรียงรายยาวไปถึงท่าเรือน้ำตื้นแล้ว อีกอย่างอสูรสยองในตอนนี้ก็เหมือนกับเมื่อ 400 ปีก่อน แต่เจ้าเครื่องบินพวกนี้เพิ่งจะสร้างออกมาได้ครึ่งปีกว่าก็ทำการเปลี่ยนแปลงไปแล้วหลายครั้ง ใครจะรู้บ้างล่ะว่าหลังจากนี้มันจะพัฒนาไปเป็นยังไงบ้าง”
“….” คามิล่านิ่งเงียบไปครู่ “หม่อมฉันเถียงสู้พระองค์ไม่ได้ แต่ว่าพวกเราก็ต้องไปคอยดูแลทางเกาะสลีปปิ้งบ้างนะเพคะ หม่อมฉันอยู่ที่นี่นานเกินไปแล้วเพคะ”
“ขอโทษด้วยนะที่ทำให้เจ้าเป็นห่วง”
“ไม่เพคะ องค์หญิง…”
“ข้ารู้แหละ” ทิลลีตอบ “เดิมเจ้าควรจะออกจากเมืองเนเวอร์วินเทอร์ไปตั้งแต่หลังจบศึกนอร์ธบาวด์แล้ว แต่เป็นเพราะข้าเจ้าถึงต้องอยู่ที่นี่ต่อ ขอบคุณเจ้ามากนะ คามิล่า ตอนนี้ข้าไม่เป็นไรแล้ว”
หัวหน้าแม่บ้านเกาะสลีปปิ้งจ้องตาเธออยู่หลายวินาที ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย “หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ แต่ว่าเกาะสลีปปิ้งจะให้หม่อมฉันดูแลอยู่คนเดียวก็ไม่ได้ หากพระองค์มีเวลา พระองค์ควรจะเสด็จกลับไปที่นั่นบ้างนะเพคะ แม่มดที่อยู่บนเกาะต่างเฝ้ารอคอยให้พระองค์เสด็จกลับไป”
“….พวกนางไม่ยอมมาเนเวอร์วินเทอร์จริงๆ เหรอ?”
“ใช่เพคะ บางคน…ถูกทำร้ายมาสาหัสจริงๆ”
ถึงแม้จะเป็นแค่กลุ่มเล็กๆ แต่มันก็หมายถึงอดีตอันแสนเจ็บปวดที่จางหายไปเสียที
หรือบางทีอาจจะไม่มีวันลบล้างได้ตลอดกาล
“เอาไว้ชนะสงครามแห่งโชคชะตาเมื่อไร ข้าจะกลับไป” ทิลลีตอบ
“แล้วถ้าไม่ชนะล่ะเพคะ?”
ทันใดนั้นเอง เสียงหวีดของเครื่องบินกลุ่มที่สองก็แล่นผ่านรันเวย์ไป
ทิลลีไม่ได้ตอบ หากแต่ยิ้มเล็กน้อย “การฝึกเริ่มขึ้นแล้ว…เราเริ่มกันเลยเถอะ”
……
“เฮ้ เจ้าว่าองค์หญิงจะมองเห็นเครื่องบินทั้ง 6 ลำพร้อมๆ กันจริงๆ เหรอ?”
ฟินกิ้นที่อยู่ด้านหลังตะโกนออกมา กระแสอากาศไหลผ่านตัวเครื่องบินจนส่งเสียงหวีดดังฟิ้วๆ ถ้าบินฝ่าลมทะเลไป เสียงหวีดก็ดังจนแทบจะกลบทั้งห้องโดยสาร ถ้าไม่ตะโกนก็ไม่มีทางได้ยินเสียงพูดแน่นอน
“นั่นมันเรื่องขององค์หญิง องค์หญิงเป็นคนตัดสินพระทัย!” กู๊ดเองก็ตะโกนออกมาเหมือนกัน ในเวลานี้เขาสังเกตเห็นว่า ‘ตัวเลข’ หกตัวที่อยู่บนลานบินนั้นมีสี่ตัวที่กลายเป็นสีเขียวแล้ว นี่แสดงว่ากลุ่มที่สองกำลังขึ้นบิน
เนื่องจากไม่สามารถบินวนอยู่เหนือโรงเรียนได้ เครื่องบินสามลำของกลุ่มที่หนึ่งจึงพากันบินออกไปทางทะเลโดยไม่ได้นัดหมาย ตอนนี้เขามองไม่เห็นเครื่องบินหมายเลข 4, 5, 6 แต่อีกฝ่ายจะต้องสังเกตเห็นเส้นทางการบินของพวกเขาแน่ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่มีทางที่จะบินตามมาทันทีแน่นอน เพราะการบินไต่ระดับและเร่งความเร็วต้องใช้เวลา การที่จู่ๆ ก็บินเข้ามาในพื้นที่ได้เปรียบของศัตรูนั้นเท่ากับเป็นการทำให้ตัวเองกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
“พอคิดถึงว่าองค์หญิงกำลังจ้องมองดูข้าอยู่ ข้าก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา! ถ้าพระองค์ทรงตัดสินทิศทางของเป้ายิงได้จริงๆ อย่างนั้นสายตาของพระองค์ก็ต้องซ้อนทับกับของข้าน่ะสิ อย่างนั้นไม่เท่ากับว่าพระองค์ทรงอยู่ในหัว….”
จู่ๆ เครื่องบินก็ทิ้งดิ่งลงไปด้านล่าง
ฟินกิ้นที่ถูกขัดจังหวะตะโกนขึ้นมา “เจ้าทำบ้าอะไรของเจ้าเนี่ย! ขับให้มันนิ่งๆ หน่อยไม่ได้เหรอไง?”
“ข้ากำลังช่วยเจ้าอยู่ เจ้าโง่! ถ้าองค์หญิงทรงมองเห็นเป้ายิงจริงๆ อย่างนั้นเจ้าว่าพระองค์จะมองไม่เห็นปากของเจ้าเหรอ? ถึงตอนนั้นได้ไปขุดเหมืองอยู่ในภูเขาก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว!”
อีกฝ่ายปิดปากลงทันที
กู๊ดมองลอดช่องระหว่างปีบนกับตัวเครื่องออกไปรอบๆ เขามองเห็นตรงเส้นขอบฟ้าไกลๆ มีจุดดำจุดหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวอยู่ ส่วนเครื่องบินอีกลำหนึ่งนั้นหายไปจากสายตาแล้ว เห็นได้ชัดว่าทุกคนต่างเลือกที่จะทำการรบตามแบบของตัวเอง
นอกจากทฤษฎีพื้นฐานแล้ว องค์หญิงก็ไม่เคยสอนว่าการรบบนอากาศต้องทำอย่างไร ทุกอย่างพวกเขาล้วนแต่ต้องพึ่งตัวเอง บางทีแม้แต่องค์หญิงเองก็อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำ เพราะว่าตั้งแต่อดีตมาไม่เคยมีสิ่งที่เรียกว่าอัศวินอากาศมาก่อน จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาต้องมาเริ่มใหม่เองตั้งแต่ศูนย์
ในเมื่อไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว อย่างนั้นการเลือกพื้นที่เปิดโล่ง จากนั้นรอให้ศัตรูปรากฏตัวแล้วค่อยรับมือไปตามสถานการณ์จึงเป็นวิธีที่น่าจะเหมาะสมที่สุด
เขาคิดอยู่ครู่ ก่อนจะเลี้ยวกลับไปทางอ่าวน้ำตื้น
“เฮ้ เจ้าจะไปไหน?”
“ทางตะวันตก อ้อมผ่านเขตโรงงานไป!”
“อ้อม? รอพวกเขาอยู่ที่นี่ไม่ดีกว่าเหรอ?”
“แต่นั่นมันก็แค่ทำให้มีโอกาสเท่ากันเท่านั้น!” กู๊ดเลี้ยวเครื่องบินพลางตะโกนออกมา “ลองคิดดูสิว่าพวกเขาจะบินยังไง!”
จริงอยู่ที่เขาไม่สนใจแพ้ชนะ แต่คนชนะนั้นจะได้บินนานกว่าคนแพ้
“จะบินยังไง ก็บินให้สูงขึ้นแล้วก็เร็วขึ้น จากนั้นก็ค่อยมาที่ทะเลหาพวกเราไง!”
ถูกต้อง เนื่องจากไม่รู้ว่ากลุ่มที่สองจะเตรียมตัวพร้อมเมื่อไร ด้วยเหตุนี้กลุ่มที่บินขึ้นก่อนจึงไม่รู้เวลาโจมตีที่แน่ชัด ที่ทำให้พวกเขากลายเป็นเหมือนฝ่ายที่ต้องตั้งรับ ก็เหมือนกับพวกอัศวินที่เลือกแนวรบเสร็จแล้ว จากนั้นก็รอให้ศัตรูพุ่งเข้ามา
แต่มันมีอีกวิธีที่ทำให้เขามีโอกาสลงมือก่อนแบบร้อยเปอร์เซ็นต์
นั่นก็คือตอนที่กลุ่มที่สองทุ่มสมาธิทั้งหมดไปอยู่บนทะเล
ปกติแล้วการเคลื่อนไหวบนพื้นที่เปิดโล่งนั้นยากที่จะหลบหลีกการสอดแนมจากอีกฝ่ายได้
แล้วยิ่งท้องฟ้านั้นไม่ใช่พื้นดิน มันไม่ได้มีแค่ซ้ายขวา หากแต่ยังมีบนล่างด้วย
“ถ้ามีแต่พวกเราที่มองเห็นพวกเขา แต่พวกเขากลับมองไม่เห็นพวกเรา แบบนั้นต่างหากถึงจะทำให้เราเป็นฝ่ายได้เปรียบ!” กู๊ดตะโกนบอกความคิดของตัวเองออกมา “เจ้าคงไม่คิดหรอกนะว่าพวกเขาฝึกซ้อมมาน้อยกว่าพวกเรา?”
“ฮ่าๆๆๆ….อย่างนี้นี่เอง!” ฟินกิ้นตบไหล่เขาแรงๆ “ข้านึกว่าข้าเจ้าเล่ห์แล้วนะเนี่ย คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเลวบัดซบยิ่งกว่าข้าอีก! แต่ว่าข้าชอบ เอาตามนี้แหละ!”
เลวบัดซบ…นี่กำลังชมหรือว่าด่าข้ากันแน่? กู๊ดกรอกตา ก่อนจะกดหัวเครื่องบินลงไปหาทะเล ความสูงเปลี่ยนเป็นความเร็ว แล้วก็ทำให้ตัวเครื่องบินบินเลียดตามแนวชายฝั่งทะเลไป ในตอนเครื่องอยู่ในระดับต่ำที่สุด ล้อของเครื่องบินแทบจะเท่ากับยอดเสากระโดงเรือเดินทะเล และการบินที่ต่ำแบบนี้ก็ทำให้เหล่าลูกเรือพากันเหลียวมองดูตามๆ กัน
ในตอนที่บินผ่านอ่าวน้ำตื้น ตรงท่าเรือถึงกับมีเสียงเฮกับเสียงผิวปากดังขึ้นมา!
แต่การตอบสนองของเหล่าชาวบ้านที่อพยพนั้นไม่เหมือนกัน พวกเขาต่างตกตะลึงอ้าปากค้างมองไปบนท้องฟ้า สีหน้าดูหวาดกลัวอย่างมาก คนที่ยืนต่อแถวรอลงจากเรือต่างพากันแตกตื่น
“อย่าบินต่ำไป ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะถูกพวกตำรวจฟ้องเอาไว้ พวกเราต้องไปล้างห้องน้ำอีกเดือนนึงนะ!” ฟินกิ้นพูดเตือน
“ไม่ต้องห่วง ความสูงแค่นี้น่าจะพอแล้ว” กู๊ดค่อยๆ ดึงคันควบคุมไปด้านหลัง เครื่องบินค่อยๆ บินเป็นแนบระนาบ ก่อนจะบินเข้าไปในเขตโรงงาน ที่ตรงนี้คือด้านตะวันตกของสนามบิน แล้วก็มีควันลอยอยู่ตลอดทั้งปี โอกาสที่กลุ่มที่สองจะบินไต่ระดับขึ้นไปจากตรงนี้นั้นมีไม่สูงนัก
“หืม?” ทิลลีที่จ้องมองไปบนท้องฟ้าผ่านดวงตาแห่งเวทมนตร์นั้นส่งเสียงแปลกใจออกมาเล็กน้อย
“นั่นพวกเขา…จะหนีเหรอ?” ซิลเวียเองก็เห็นภาพเหตุการณ์นี้เหมือนกัน
“น่าจะแค่นั่งไม่ติดล่ะมั้ง” ทิลลีเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
ภายใต้การสังเกตการณ์ของดวงตาแห่งเวทมนตร์ เรียกได้ว่าแค่เธอกวาดตามองก็มองเห็นได้ทั่วทั้งท้องฟ้าแล้ว ในเวลานี้เครื่องบินทั้งสามลำของกลุ่มที่สองบินขึ้นไปอยู่บนท้องฟ้าหมดแล้ว พวกเขาไม่ได้ทำเหมือนกับกลุ่มที่หนึ่ง หลังจากที่พวกเขาบินขึ้นไปแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้ไปบินวนหาคู่ต่อสู้บนทะเลในทันที หากแต่บินวนอยู่ทางทิศเหนือ จนกระทั่งเครื่องบินทั้งสามลำมากันพร้อมแล้ว พวกเขาถึงจะตั้งแถวเป็นแนวยาวแล้วบินไปทางใต้
ถึงแม้การทำแบบนี้จะทำให้เสียเวลาในการรวมกลุ่ม แต่มันก็ทำให้เครื่องบินทั้งสามลำไม่แยกจากกันไปไกล
น่าสนใจนี่ ทิลลีคิดอยู่ในใจ เธอไม่เคยสอนวิธีการรบให้นักเรียน แล้วก็ไม่เคยจำลองรูปแบบและพื้นที่การรบบนอากาศ เรียกได้ว่าไม่ว่าจะเป็นการรบตัวคนเดียวหรือว่ารบกันแบบเป็นกลุ่มก็ล้วนแต่เป็นการตัดสินใจของพวกเขา
ไม่ว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ แต่หลังจากวันนี้ในเนื้อหาเกี่ยวกับการรบบน ‘คู่มือการบิน’ จะไม่ใช่กระดาษว่างๆ อีกต่อไป
“อย่างที่คิดไว้เลย พวกเขาไม่ได้อยู่ตรงนี้” หลังกู๊ดมั่นใจว่าไม่พบร่องรอยของอีกฝ่าย เขาจึงรีบเหยียบคันเร่งจนสุดทันที เครื่องบินส่งเสียงคำรามแล้วบินขึ้นไปบนท้องฟ้า จนกระทั่งเสียงลมที่อยู่ข้างๆ ค่อยๆ หายไป เขาจึงเปลี่ยนมาบินในแนวระนาบตรงไปทางตะวันออก
บนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ที่ไม่มีอะไรมาให้เปรียบเทียบ ต่อให้ในเวลานี้กลุ่มที่สองมองมา พวกเขาก็คงจะคิดว่าจุดดำเล็กๆ เหมือนเม็ดงานี้เป็นแค่นกอินทรีตัวหนึ่ง
หลังเครื่องบินหมายเลข 2 บินวนรอบใหญ่ไปรอบหนึ่ง ก่อนจะบินกลับมายังโรงเรียนอัศวินอากาศจากทางด้านหลัง
ในเวลานี้เอง เครื่องบินสองปีกทั้งสามลำของกลุ่มที่สองก็ได้บินเข้าไปในทะเลน้ำวนเรียบร้อยแล้ว พวกเขากำลังเร่งความเร็วเข้าไปหาเป้าหมายที่อยู่ใกล้ที่สุด!
………………………………………………………..