Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1264 ขอให้อยู่
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท…ท่านแซนเดอร์ ฟลายอิงเบิร์ดกลับมาจากทะเลน้ำวนแล้วพ่ะย่ะค่ะ! ยิ่งไปกว่านั้น…พวกเขาเหมือนจะเจอปัญหาด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
รายงานที่มาอย่างกะทันหันขององครักษ์ทำให้โรแลนด์ตกตะลึงไปเล็กน้อย หลังประชุมเรื่องขยายขนาดอุตสาหกรรมเสร็จ เขาก็กลับมาที่ห้องทำงานเพื่อจัดการเรื่องแปลนที่เหลือให้เสร็จเรียบร้อย แต่ข่าวที่เหนือความคาดหมายนี้ทำให้ความคิดของเขาทั้งหมดต้องหยุดลง
แซนเดอร์ ฟลายอิงเบิร์ดที่ว่าก็คือชื่อปลอมของธันเดอร์
“ตอนนี้เขาอยู่ไหน?” โรแลนด์ลุกขึ้นถามทันที
“อยู่ในห้องโถงของปราสาทพ่ะย่ะค่ะ เขาบอกว่าอยากจะเข้าเฝ้าพระองค์ทันทีพ่ะย่ะค่ะ”
“รีบพาเขาเข้ามา!” เขาสั่งกำชับ “แล้วไปบอกห้องครัวให้เตรียมชาเอาไว้อีกชุดด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ” ฌอนรีบหมุนตัวเดินออกไปจากประตู
ไนติงเกลถามขึ้นมาอย่างกังวล “ให้หม่อมฉันไปบอกไลต์นิ่งไหมเพคะ?”
โรแลนด์ส่ายหัว “ในเมื่อเขามาที่ปราสาท อย่างนั้นตัวเขาก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ถามเขาก่อนดีกว่าว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นค่อยว่ากัน”
เมื่อคำนวณจากวันที่แล้ว ธันเดอร์เพิ่งจะออกทะเลไปได้ประมาณครึ่งปีกว่า เมื่อนับรวมเวลาเดินทางไปกลับแล้วก็เท่ากับว่าระยะทางที่เขาล่องเรือออกไปจริงๆ นั้นเพิ่งจะแค่ 3 เดือนเท่านั้น เมื่อคิดถึงว่าเขายังไปหยุดพักอยู่ที่ทะเลชาโดว์อยู่อีกช่วงหนึ่ง เวลาที่เขาใช้เดินทางจริงๆ ก็จะยิ่งสั้นกว่าเดิม นี่มันสั้นกว่าแผนการที่วางเอาไว้ในตอนแรกมาก จากที่อีกฝ่ายคิดเอาไว้ในตอนแรก การเดินทางครั้งนี้อย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยปีหนึ่งถึงหนึ่งปีครึ่ง ถ้าเป็นไปได้ธันเดอร์ยังอย่างจะไปดูด้วยว่าปลายสุดของทะเลน้ำวนมีอะไร จะเป็นแผ่นดินที่เห็นในโบราณสถานหรือว่าเป็นส่วนลึกของทะเล
เห็นได้ชัดว่านี่ต้องเกิดเหตุอะไรขึ้นจนเขาไม่สามารถรับมือได้ แผนการสำรวจที่เตรียมมาเป็นเวลานานจึงต้องหยุดลงกลางคัน
โรแลนด์มองไปนอกหน้าต่างโดยไม่รู้ตัว
หรือว่า…มันจะเกี่ยวกับพระจันทร์สีแดง?
ไม่นานธันเดอร์ที่ใช้ชื่อปลอมว่าแซนเดอร์ก็ถูกองครักษ์นำทางมายังห้องทำงาน ดูแล้วเหมือนครั้งนี้เขาจะเจอปัญหาหนักจริงๆ แม้แต่หนวดปลอมก็ไม่ได้ติดมา ขนนกที่ติดอยู่บนตัวก็เหลืออยู่แค่เพียงไม่กี่อัน ถ้าตอนนี้ไลต์นิ่งมาเห็นเขา เธอจะต้องจำเขาได้แน่
แต่อย่างน้อยเขาก็ดูปลอดภัยดีทุกอย่าง สำหรับโรแลนด์แค่นี้ก็ดีมากพอแล้ว
“ฝ่าบาท ดีใจจริงๆ ที่ได้พบพระองค์อีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ” ธันเดอร์โค้งตัวถวายบังคม “กระหม่อมเกือบคิดว่าตัวเองคงจะไม่ได้กลับมาอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
โรแลนด์เทเครื่องดื่มยุ่งเหยิงเย็นๆ ให้เขา “เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ในเมื่อรวบรวมนักเดินเรือฝีมือดีที่สุดยอดฟยอร์มาแล้ว ข้าคิดว่าลมพายุกับคลื่นยักษ์ธรรมดาคงจะไม่ทำให้เจ้าพูดแบบนี้แน่”
“ลมพายุกับคลื่นยักษ์มันยังมีสัญญาณเตือนพ่ะย่ะค่ะ แต่ปีศาจทะเลนับพันนับหมื่นนั้นไม่มี” ในเวลานี้ธันเดอร์เหมือนจะยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่ “ยิ่งไปกว่านั้นกระหม่อมไม่ได้เจอแค่ปีศาจทะเลเท่านั้น แต่ยังมีสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นด้วยพ่ะย่ะค่ะ…”
เมื่อฟังคำบรรยายของอีกฝ่าย โรแลนด์เหมือนจะสัมผัสได้ถึงความสิ้นหวังของอีกฝ่ายในตอนนั้น ปีศาจทะเลจำนวนนับไม่ถ้วนแห่กันเข้ามาหาเรือของเขา ครีบหลังของมันที่ผุดขึ้นผุดลงเหมือนทำให้น้ำทะเลเดือดขึ้นมา เรือใบที่แล่นได้ช้าถูกมันลากลงไปในนรกอย่างไร้ความปราณี และในฝูงปีศาจทะเลก็ยังมีเรือก้อนเนื้อที่น่ากลัวอยู่อีก น้ำกรดที่พวกมันพ่นออกมาสามารถลอยไปไกลได้หลายกิโลเมตร ขอเพียงสัมผัสถูกมันแค่เพียงนิดเดียว เนื้อก็จะเละทันที เหล็กกล้ากับไม้ล้วนแต่ไม่สามารถทนการกัดกร่อนของมันได้ ถึงแม้จะเร่งความเร็วเต็มที่แล้ว ทีมนักสำรวจก็ไม่สามารถทิ้งระยะห่างจากมันได้…
“อาณาจักรซีสกาย…” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“ฝ่าบาท มันคืออะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?” ธันเดอร์ถาม
“คำที่ปีศาจใช้เรียกอารยธรรมอีกหนึ่งอารยธรรมน่ะ” โรแลนด์ค่อยๆ เล่าเรื่องที่ปีศาจทำศึกสองด้านให้อีกฝ่ายฟัง ตัวเรือที่ประกอบขึ้นมาจากกระดูกซี่โครงและก้อนเนื้อ อีกทั้งยังลอยอยู่บนน้ำได้เหมือนเรือเดินทะเล แล้วก็ดำลงไปในทะเลได้ด้วย ลักษณะเด่นเหล่านี้ล้วนแต่คล้ายกับภาพที่เขาเห็นในมรดกของพระเจ้าเลย
“พระองค์ทรงหมายความว่า พวกเราบุกรุกเข้าไปในดินแดนของพวกมันหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“อาจจะเป็นแบบนั้น แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าการปรากฏขึ้นมาองพระจันทร์สีแดงจะทำให้ขอบเขตการลาดตระเวนของพวกมันขยายกว้างขึ้น” โรแลนด์เปลี่ยนประเด็น “หลังจากนั้นล่ะ? ทีมสำรวจหนีออกมาได้ยังไง?”
“ความจริงแล้วไม่ใช่พวกเราที่หนีมันได้พ่ะย่ะค่ะ หากแต่เป็นเพราะว่าพวกมันสู้กันเองพ่ะย่ะค่ะ” ธันเดอร์ยิ้มแห้งๆ ขึ้นมา
“สู้..กันเอง?”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ศัตรูมันไล่ตามพวกกระหม่อมทั้งกลางวันกลางคืน เหมือนกับว่าพวกมันไม่รู้จักคำว่าเหนื่อยล้าอย่างไรอย่างนั้น จนกระทั่งในตอนที่เข้าใกล้เส้นทะเล พวกกระหม่อมก็สูญเสียเรือไปมากกว่าครึ่งแล้ว ลูกเรือส่วนใหญ่ที่ยังมีชีวิตอยู่ก็แทบจะหมดสภาพเพราะไม่ได้พักผ่อนมาเป็นเวลานาน มีแต่สโนวบรีซที่พระองค์สร้างขึ้นมาเท่านั้นที่ยังมีแรงเล่นต่อไปได้ —-เพราะว่ามันไม่จำเป็นต้องปรับใบเรือกับทิศทางการล่องเรือ”
“ในขณะที่ทุกคนกำลังสิ้นหวัง จู่ๆ ก็มีสัตวประหลาดทะเลขนาดใหญ่มหึมาตัวหนึ่งพุ่งขึ้นมาบนผิวน้ำ ก่อนจะรัดสัตว์ประหลาดทะเลตัวหนึ่งเอาไว้ ภาพเหตุการณ์นั้นมันเหมือนกับสัตว์ประหลาดก้อนเนื้อสองก้อนกำลังกัดกันอยู่ ถึงแม้มันจะเป็นสัตว์ประหลาดทั้งคู่ แต่สัตว์ประหลาดตัวแรกดูแข็งแกร่งกว่าอย่างเห็นได้ชัด แขนขาและหนวดที่ยืนออกมาจากในร่างกายฉีกสัตว์ประหลาดอีกตัวเป็นชิ้นๆ อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่ว่าจะเป็นปีศาจทะเลหรือว่าสัตว์ประหลาดทะเลตัวอื่นก็ล้วนแต่หยุดการไล่ล่าพวกกระหม่อม พวกมันพากันไปล้อมสัตว์ประหลาดทั้งสองตัวนั้นเอาไว้ พวกกระหม่อมถึงได้มีโอกาสข้ามเส้นทะเลแล้วหนีกลับมายังหมู่เกาะฟยอร์ดได้พ่ะย่ะค่ะ”
มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย โรแลนด์ถอนหายใจยาวออกมา “สุดท้ายพวกเจ้าก็ยังถือว่าโชคดี ดูเหมือนชื่อเรือที่ตั้งขึ้นมาจะไม่เสียของนะเนี่ย”
“เอ่อ…ชื่อเรือหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“เปล่า ไม่มีอะไร” เขาโบกมือ “แล้วหลังจากนี้พวกเจ้าวางแผนไว้ว่ายังไง?”
ใบหน้าของธันเดอร์มีสีหน้าของความเหนื่อยล้าอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน “ทูลตามตรงพ่ะย่ะค่ะ ความเสียหายของเรือนั้นยังไม่เท่าไร แต่การออกไปสำรวจครั้งนี้ทำให้ลูกเรือจำนวนมากต่างหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ตอนนี้ทั่วทั้งฟยอร์ดเต็มไปด้วยบรรยากาศแปลกๆ พวกลูกเรือที่ใช้ชีวิตอยู่บนทะเลมาทั้งชีวิต ตอนนี้แค่มองไปทางตะวันออกของทะเล สีหน้าพวกเขาก็ดูแย่อย่างมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเกรงว่าคงไม่มีใครกล้าขึ้นเรือไปที่เขตทะเลชาโดว์อีกพักใหญ่พ่ะย่ะค่ะ”
โรแลนด์แอบเห็นด้วย นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ก็เหมือนกับที่อีกฝ่ายพูดมา ลมพายุกับคลื่นยักษ์ยังพอจะมีลางบอกเหตุบอกให้รู้ คนเดินเรือที่มีความกล้ามักจะสามารถหาทางที่จะล่องเรือไปกับมันได้ แต่ในสถานการณ์ที่ได้แต่ต้องหนีเอาชีวิตรอดโดยไม่สามารถทำอะไรได้แบบนี้ นี่มันไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการผจญภัยแล้ว
“พวกหอการค้าใหญ่ยังฝากกระหม่อมมาทูลพระองค์ด้วย พวกเขาอยากจะขอซื้อที่ดินในเกรย์คาสเซิลในราคาสูงซักผืนเพื่อเป็นที่ให้พวกเขาได้ใช้หลบภัยพ่ะย่ะค่ะ” ธันเดอร์ถอนหายใจ “เพราะไม่มีใครรู้ว่าพวกมันจะกลับมาอีกหรือไม่ ทะเลคือแนวป้องกันตามธรรมชาติของชาวฟยอร์ดมาโดยตลอด แต่ตอนนี้ถ้าหากศัตรูสามารถไปมาในทะเลได้อย่างอิสระล่ะก็ เกาะฟยอร์ดก็เหมือนกับเป็นที่เปิดโล่งที่ไม่มีเกาะป้องกันอะไรแล้วล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
อะไรๆ มันก็ไม่แน่จริงๆ เมื่อปีสองปีก่อนเขายังคิดที่จะเอาฟยอร์ดเป็นจุดลี้ภัยสุดท้ายหากพ่ายแพ้สงครามอยู่เลย แต่ตอนนี้สถานการณ์กลับเปลี่ยนไปหมด
ถ้าเป็นตอนที่เขาเพิ่งจะมายังเมืองชายแดน บ้านทุกหลังในเมืองมีมูลค่ารวมกันยังไม่ถึง 2 – 3 ร้อยเหรียญทอง ข้อเสนอนี้คงจะเป็นข้อเสนอที่น่าดึงดูดอย่างมาก แต่ตอนนี้เงินกระดาษได้เริ่มแพร่หลายในดินแดนแล้ว ราคาสูงที่ว่านั้นจึงไม่ใช่เงื่อนไขที่น่าดึงดูดอีกต่อไป
“แล้วเจ้าว่ายังไง?”
“หากเป็นความคิดเรื่องที่จะสร้างอาณาจักรขึ้นมาในอาณาจักร กระหม่อมว่าควรจะล้มเลิกความคิดนี้เสียดีกว่า” ธันเดอร์ยักไหล่ “เพราะพระองค์ไม่มีทางยอมให้พวกเขามาตั้ง ‘เกาะ’ แห่งใหม่ในเกรย์คาสเซิลแน่”
โรแลนด์ยิ้มขึ้นมา สมแล้วที่เป็นนักสำรวจที่ยอดเยี่ยมที่สุดของฟยอร์ด “ถ้าหากแต่คิดจะมีชีวิตรอด ไม่ใช่เพื่อที่จะหาอำนาจพิเศษ เกรย์คาสเซิลนั้นพร้อมที่จะต้อนรับพวกเขาเสมอ”
“กระหม่อมจะแจ้งพวกเขาตามนี้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“การเดินเรือครั้งนี้น่าจะเหนื่อยมากใช่ไหม ข้าเตรียมชาตอนบ่ายเอาไว้แล้ว เจ้าไปแช่น้ำร้อนซักหน่อย แล้วค่อยๆ มาคุยกับข้าเรื่องสิ่งที่ได้เห็นมาในการเดินทางครั้งนี้แล้วกัน ส่วนเรื่องการซ่อมเรือสโนว์บรีซนั้นต้องใช้เวลาอีกหลายวัน รอเจ้าหายเหนื่อยค่อยกลับไปฟยอร์ดก็ยังไม่สาย”
“อย่างนั้นกระหม่อมต้องขอรบกวนพระองค์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ธันเดอร์เอามือขึ้นมาทาบที่อก
ในขณะที่เขาเตรียมจะเดินออกไป โรแลนด์พลันเรียกเขาไว้ “เออใช่ เรื่องไลต์นิ่ง…เจ้ายังคิดที่จะปิดบังต่อไปใช่ไหม?”
“กระหม่อม…” ธันเดอร์อ้าปาก แต่เขากลับพูดอะไรไม่ออก
“”เจ้าเคยบอกว่าหลังจบการสำรวจครั้งนี้ เจ้าจะไปหานาง ถึงแม้การเดินทางครั้งนี้จะไม่ถือว่าประสบความสำเร็จอะไรมากนัก แต่ตอนนี้อาณาจักรซีสกายได้ยึดครองทะเลไปกว่าครึ่งแล้ว ชาวฟยอร์ดเองก็หวาดกลัวกันไปหมด ข้าคิดว่าหลังจากนี้คงไม่มีอะไรให้เจ้าออกไปสำรวจอีกนาน” โรแลนด์เอามือเท้าคาง “แต่ข้าต้องการคนที่จะมาช่วยสู้กับปีศาจ ไลต์นิ่งเองก็อยากจะเห็นพ่อของตัวเองมีชีวิตอยู่ ในเมื่อเป็นแบบนี้ หลังจัดการเรื่องต่างๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าอยู่ที่นี่ต่อดีไหม?”
ธันเดอร์ก้มหน้านิ่งเงียบอยู่ครู่ “กระหม่อมจะลองคิดดูพ่ะย่ะค่ะ…ฝ่าบาท”
…………………………………………………………………………