Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1269 ดวงตาแห่งกาลเวลา
กระทั่งแสงไฟภายในสวนดับไปแล้ว โรแลนด์ถึงได้เจอแม่มดที่อยู่ในรายงานคนนั้นภายในห้องทำงานของเขา
เธอดูแล้วอายุไม่มาก อย่างมากก็แค่ 16 – 17 ปี แขนขาลีบเล็ก ร่างกายซูบผอม มีร่องรอยถูกทารุณที่ชัดเจน ถึงแม้จะอาบน้ำทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว แต่ผมสั้นสีน้ำตาลอ่อนของเธอก็ยังดูเหมือนหญ้าแห้งๆ อยู่ แต่สิ่งที่ดูสะดุดตาที่สุดก็คือผ้าปิดตาสีดำที่อยู่บนหน้าของเธอ ถึงจะเปลี่ยนเป็นผ้าที่ทำขึ้นมาใหม่แล้ว แต่มันก็ยังดูโดดเด่นกว่าใบหน้าเด็กๆ ของเธอ
“ฝ่าบาท นางคือโมโม่เพคะ” เวนดี้พูด
เสียงนี้เหมือนปลุกเธอให้ตื่นจากภวังค์ สาวน้อยรีบคุกเข่าลงไปกับพื้นอย่างลนลาน เธอพยายามที่จะก้มหัวลงไปให้ต่ำที่สุด “ถะ ถวายบังคม ฝ่า ฝ่าบาทเพคะ”
“ดึงเธอขึ้นมาเถอะ” โรแลนด์วางแปลนที่อยู่ในมือลง ก่อนจะใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวลพูดว่า “ไม่ต้องกลัว นี่ไม่ใช่การพบกันแบบเป็นทางการอะไร เจ้าไม่ต้องระมัดระวังขนาดนั้นก็ได้ เหตุผลที่ข้าเรียกเจ้ามานั้นง่ายมาก นั่นคือข้าอยากจะให้เจ้าใช้ความสามารถของเจ้ากับข้า”
โมโม่ที่ลุกขึ้นมาใหม่ทำสีหน้าลนลานขึ้นมาทันที “ฝ่าบาท…หม่อมฉัน…เกรงว่า…”
“ข้ารู้ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะพอใจต่ออายุขัยของตัวเอง บางคนเวลาที่ไม่ได้รับคำตอบที่พอใจก็อาจจะโมโหออกมาได้” โรแลนด์พูดปลอบ “และข้าก็แค่อยากรู้คำตอบเรื่องๆ หนึ่งเท่านั้น ไม่ว่าผลมันออกมาเป็นยังไงข้าก็ไม่โทษเจ้าหรอก เรื่องนี้ข้ารับรองได้”
ตามปกติแล้ว เรื่องแบบนี้ควรจะทำหลังจากที่เวนดี้ได้ทำการทดสอบความสามารถแล้ว เพียงแต่ความสามารถของอีกฝ่ายมันมีความพิเศษอย่างมาก นี่ทำให้โรแลนด์ไม่อาจสะกดความอยากรู้อยากเห็นภายในใจได้ ความจริงแล้ว เขาได้แต่คาดเดาเกี่ยวกับสงครามแห่งวิญญาณของซีโร่มาโดยตลอด เพียงแต่ยังไม่มีวิธีไหนที่จะพิสูจน์มันได้”
แต่ตอนนี้ ในที่สุดเขาก็มีโอกาสที่จะได้พิสูจน์มันแล้ว
“ฝ่าบาท…” โมโม่กัดฟัน “พระองค์…ทรงไม่กลัวเลยหรือเพคะ?”
โรแลนด์รู้ดีว่าถ้าเป็นตัวเขาเมื่อก่อนนี้ เขาคงไม่มีทางถามคำถามประเภทนี้เด็ดขาด การรู้ว่าตัวเองมีชีวิตอยู่นั้นมีแต่จะทำให้ยุ่งยากขึ้น แต่ยิ่งเขาอยู่ในตำแหน่งราชานานวันเข้า เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าภาระของตัวเองหนักขึ้นทุกวัน การคิดแบบปกติจึงไม่เหมาะที่จะใช้กับสถานการณ์ในตอนนี้อีกต่อไป ถ้าสิ่งที่อีกฝ่ายบรรยายมาไม่มีอะไรผิดพลาด การรู้อายุตัวเองล่วงหน้านั้นจะเป็นข้อมูลที่ล้ำค่าอย่างมากอย่างหนึ่ง หากเป็นโลกที่เขาอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้จะถูกเรียกว่าเป็นการ ‘เปิดเผยความลับสวรรค์’ ถ้าเขาปฏิเสธที่จะรับรู้มันก็ดูจะน่าเสียดายไปหน่อย
แต่ต่อให้พูดความคิดเหล่านี้ออกมา อีกฝ่ายก็ไม่มีทางเข้าใจ ด้วยเหตุนี้โรแลนด์จึงได้แต่ยิ้มๆ “ต่อให้ข้ากลัว แต่อายุขัยข้ามันก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงนี่นา”
โมโม่กำหมัด ผ่านไปครู่หนึ่งเธอจึงพยักหน้า “ในเมื่อพระองค์ทรงต้องการแบบนั้น…อย่างนั้นขออภัยที่หม่อมฉันเสียมารยาทด้วยเพคะ”
“ฝ่าบาท” เวนดี้สูดหายใจ “หม่อมฉันขออนุญาตออกไปก่อนนะเพคะ”
โรแลนด์จ้องมองเธออยู่ครู่ “….ข้านึกว่าเจ้ากับบุ๊คจะเป็นคนที่อยากรู้มากที่สุด”
“หม่อมฉันไม่สามารถใจเย็นได้เหมือนอย่างพระองค์เพคะ แต่ก็เหมือนอย่างที่บุ๊คว่าไว้ ไม่ว่าผลมันจะออกมาเป็นอย่างไร พวกหม่อมฉันก็จะสนับสนุนพระองค์จนถึงที่สุดเพคะ”
กระทั่วประตูถูกปิดลงไป โรแลนด์จึงหันหน้ามา “แล้วเจ้าล่ะ?”
โมโม่งุนงง
“ยังต้องให้พูดอีกเหรอเพคะ?” จากนั้นไนติงเกลก็ปรากฏกายขึ้นมาที่ด้านหลังของเขา ทำเอาสาวน้อยตกใจอย่างมาก “หม่อมฉันอยากจะรู้ทุกเรื่องของพระองค์เพคะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายหรือดี”
นิสัยช่างแตกต่างกันจริงๆ…โรแลนด์แอบยิ้ม “อย่างนั้นเริ่มกันเถอะ”
สายตาที่ตกใจและสงสัยของโมโม่มองดูไนติงเกลกับโรแลนด์อยู่หลายครั้ง สุดท้ายเธอจึงตัดสินใจถอดผ้าปิดตาออก
ในตอนที่เธอเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ในเบ้าตาอันว่างเปล่าพลันมีแสงสีแดงสว่างขึ้นมา
มันเหมือนเป็นดวงตาที่สร้างขึ้นมาจากพลังเวทมนตร์ ตอนที่มันสะท้อนออกมาจากเบ้าตาดูแล้วแปลกประหลาดอย่างมาก โรแลนด์พอจะจินตนาการภาพตอนที่มันซ้อนทับกับดวงตาออก หากเป็นโลกยุคหลัง ทุกคนจะต้องไล่ตามหาดวงตาพิเศษแบบนี้แน่นอน แต่ในยุคสมัยนี้ การที่มันจะถูกมองว่าเป็นดวงตาแห่งความชั่วร้ายก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
“ว่าไง เจ้ามองเห็นอะไรไหม?”
โมโม่มองไปทางโรแลนด์ จากนั้นจึงลืมตากว้างขึ้น แสงสีแดงดิ้นไปมาไม่หยุด เหมือนกับว่ามันกำลังถูกลมที่มองไม่เห็นพัดอยู่อย่างไรอย่างนั้น ในช่วงเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่วินาที จู่ๆ แสงสีแดงก็ดับลงไป เธอถอยหลังไปสองก้าวก่อนจะนั่งลงไปกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
โรแลนด์สังเกตเห็นบนหน้าอีกฝ่ายมีเหงื่อไหลออกมา
“เกิดอะไรขึ้น?” เขาลุกขึ้นยืน
ไนติงเกลหายตัวไปอยู่ข้างโมโม่ ก่อนจะยื่นมือไปพยุงเธอขึ้นมา “แค่ผลข้างเคียง…จากการใช้พลังเวทมนตร์เยอะเกินไปเพคะ”
“หรือว่าความสามารถแบบนี้จะใช้ได้แค่หนึ่งคนต่อหนึ่งครั้ง?”
“ไม่เพคะ…ก่อนหน้านี้หม่อมฉันไม่เคยเจอภาพแบบนี้มาก่อน” โมโม่หอบหายใจ “เหมือนว่ามีตัวเลขจำนวนมากปรากฏขึ้นมา พวกมันปรากฏขึ้นมาแล้วก็หายไป สีเองก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง…จนสุดท้าย ตัวเลขพวกนั้นถึงได้หยุดนิ่งลงเพคะ”
“แล้วเป็นเลขอะไร?” โรแลนด์ถาม
โมโม่กลืนน้ำลาย ก่อนจะตอบออกมาอย่างยากลำบาก “17…สีแดงเพคะ”
“เป็นไปได้ยังไง!” ไนติงเกลตกใจ
โรแลนด์แอบตกใจเล็กน้อย ใช่จริงๆ ด้วย เขาเดาเอาไว้ไม่ผิด จริงอยู่ที่สงครามแห่งวิญญาณจะทำให้ผู้ชนะได้รับทุกอย่าง แต่สิ่งสำคัญคือผู้ชนะจำเป็นต้องมีพลังเวทมนตร์ด้วย ไม่ว่าจะเป็นอายุขัยหรือว่าความสามารถ สุดท้ายก็ล้วนแต่ต้องมีพลังเวทมนตร์ถึงจะได้รับสิ่งเหล่านั้น มันมอบร่างกายที่แข็งแกร่งให้กับแม่มดอมนุษย์ แล้วก็ทำให้สัตว์อสูรพันธุ์ผสมตัวใหญ่ยักษ์เหล่านั้นมีพลังในการใช้ร่างกายของมัน ถ้าหากไม่มีพลังเวทมนตร์ สิ่งเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้น
แต่จะว่าไป เวลา 17 ปีมันก็น้อยกว่าที่เขาคิดเอาไว้ ถึงแม้เขาจะรู้อยู่แล้วว่าร่างกายของเจ้าชายลำดับที่สี่ไม่ค่อยดี แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่ามันจะแย่ขนาดนี้ หรือว่าเขาจะใช้ร่างกายหมดไปกับเรื่องอย่างว่ามากเกินไป?
“ถ้ายังไง…หม่อมฉันดูให้ใหม่ไหมเพคะ” โมโม่พยายามฝืนจะลุกขึ้นยืน
“ไม่ต้องแล้ว วันนี้พอแค่นี้แหละ” โรแลนด์โบกมือ “ถ้าใช้พลังเวทมนตร์มากเกินไปจะทำให้เจ้าเป็นลมได้ ยิ่งไปกว่านั้นก่อนที่จะเข้าใจความสามารถอย่างละเอียด ถึงดูหลายครั้งมันก็ไม่มีประโยชน์”
“แต่ว่าฝ่าบาท…”
“ข้าบอกแล้วไง ข้าแค่อยากรู้คำตอบเรื่องหนึ่งเท่านั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดอะไร” เขาพูดห้าม “กลับไปพักผ่อนซะ นับจากพรุ่งนี้ไป เวนดี้จะพาพวกเจ้าไปทดสอบความสามารถ แล้วก็เรียนรู้ที่จะควบคุมพลังของตัวเอง ถ้าอยากจะดูใหม่ ถึงตอนนั้นมันก็ยังไม่สาย นอกจากนี้ ช่วยข้าเก็บเรื่องเป็นความลับด้วย ตกลงไหม?”
โมโม่มองเขาอย่างแปลกใจอยู่ครู่ จากนั้นจึงพยักหน้าอย่างแรงเหมือนตื่นจากความฝัน
หลังส่งเด็กหญิงไปถึงมือเวนดี้เรียบร้อยแล้ว ไนติงเกลก็กลับมาที่ห้องทำงาน เธอค่อยๆ เดินเข้าไปหาโรแลนด์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่าง
“เจ้าเสียใจที่รู้ไหม?” เขาหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง
“พระองค์ทรงล้อเล่นอะไรเพคะ” ไนติงเกลพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “หม่อมฉันไม่เคยเสียใจในการตัดสินใจของตัวเอง พระองค์นั่นแหละเพคะ เวลา 17 ปีจะทำยังไงดีเพคะ?”
“รู้เร็วยังไงมันก็ดีกว่ารู้ช้า ยิ่งไปกว่านั้นมันจะเป็นอย่างที่ว่าจริงๆ หรือเปล่าก็ยังไม่อาจรู้ได้” โรแลนด์มองดูดวงไฟเล็กๆ นอกหน้าต่าง ก่อนจะพบว่าภายในใจของตัวเองตอนนี้รู้สึกสงบกว่าที่คิดเอาไว้ “นอกจากนี้ภาชนะบรรจุวิญญาณของทาคิลาก็ยังสามารถเก็บเอาจิตสำนึกไว้ได้ด้วย หลังจากนั้นพอวิจัยเวทมนตร์จนเข้าใจหมดแล้วก็ค่อยสร้างร่างกายขึ้นมาใหม่ก็ได้”
“สำคัญก็คือ ‘หลังจากนั้น’ มันจะมีอยู่จริงๆ” ไนติงเกลพูดพร้อมขมวดคิ้ว
“ถูกต้อง ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำหลังจากนี้ก็คือเอาชนะสงครามแห่งโชคชะตาในช่วงเวลาที่เหลืออยู่นี้ให้ได้” โรแลนด์พูดช้าๆ ชัดๆ
ตอนนี้ไม่มีคำว่าโชคช่วยอีกแล้ว
……………………………………………………………