Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1276 ความสามารถที่ถูกมองข้ามไป
โรแลนด์หยิบเอากระดาษออกมาจากลิ้นชัก ก่อนจะคำนวณอายุเฉลี่ยของชาวบ้านในเขตที่อยู่อาศัยกับเขตที่อยู่อาศัยชั่วคราว ผลลัพธ์ที่ออกมาคืออายุเฉลี่ยของประชากรของเมืองเนเวอร์วินเทอร์อยู่ที่ 40 – 50 ปี ส่วนอายุเฉลี่ยของผู้อพยพในเขตที่อยู่อาศัยชั่วคราวอยู่ที่ประมาณ 35 ปี เพียงแค่จุดนี้จุดเดียวก็สามารถมองเห็นปัญหาหลายๆ อย่างแล้ว
ปกติแล้วการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของอายุขัยเฉลี่ยนั้นเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลายาวนาน ซึ่งระดับคุณภาพชีวิตของเมืองชายแดนในตอนแรกนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่ได้ดีกว่าผู้อพยพเหล่านั้นเท่าไร แต่ในระยะเวลาสั้นๆ แค่ 5 ปี อายุขัยของพวกเขากลับเพิ่มขึ้นไปอยู่ในอีกระดับหนึ่ง นาน่ากับลิลลี่คือคนที่มีความดีความชอบมากที่สุด
“แค่สองวันก็เก็บข้อมูลมาได้พันกว่าคน ตอนที่โมโม่ใช้ความสามารถ นางไม่จำเป็นต้องดูทีละคนเหรอ?” โรแลนด์ถาม
“ใช่เพคะ ถ้าหากมีพลังเวทมนตร์สมบูรณ์ นางสามารถมองเห็นตัวเลขทุกคนที่อยู่ในสายตาได้พร้อมกัน” เวนดี้ตอบเสียงเบาๆ “แต่ว่านางเหมือนจะไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน แล้วก็ไม่เคยทดสอบดูว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ตรงไหน นางคิดว่าความสามารถของตัวเองนั้นเป็นคำสาปชนิดหนึ่ง ถึงแม้จะรู้ก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้”
“เหมือนกับค่อยๆ มองดูคนรอบตัวก้าวไปสู่ความตายอย่างไรอย่างนั้น” ไนติงเกลถอนใจออกมา
คำสาป? นอกจากนำความโชคร้ายมาให้แล้ว มันไม่มีประโยชน์อะไรจริงๆ เหรอ? โรแลนด์ไม่คิดเช่นนั้น นี่เรียกได้ว่าเป็นความคิดที่ผิดพลาดอย่างมหันต์! ในตอนที่ประเทศๆ หนึ่งพัฒนาไปจนถึงระดับหนึ่งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนโยบายอะไรก็สามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่อประเทศได้ การบริหารนโยบายใดๆ ก็ตามโดยไม่คิดวางแผนให้รอบคอบจะทำให้ไม่สามารถตามการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้ทัน ซึ่งนี่จึงเป็นเหตุที่ทำให้สถิติมีความสำคัญขึ้นมา
การสรุป สังเกตการณ์และติดตามการเปลี่ยนแปลงของตัวเลขสถิติเหล่านี้ แล้วก็ปรับเปลี่ยนรายละเอียดของนโยบายตามการเปลี่ยนแปลงที่ว่าคือความสามารถที่จำเป็นต่อทุกองค์กรที่ต้องการจะก้าวข้ามไปอยู่ในยุคสมัยใหม่ และการเปลี่ยนแปลงของอายุขัยเฉลี่ยของประชากรคือปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างมาก
ถ้าใช้วิธีธรรมดาในการบันทึก มันไม่เพียงแต่ต้องสร้างหน่วยงานพื้นฐานขึ้นมาและมีแรงงานที่มากพอ แต่มันยังต้องใช้เวลาอีกหลายสิบปีในการเก็บข้อมูลกว่าจะเห็นผล เพราะในตอนที่ยังไม่ตาย ก็ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานเท่าไร
ตอนนี้ในเกรย์คาสเซิลนอกจากเนเวอร์วินเทอร์แล้ว เมืองอื่นๆ นั้นเพิ่งจะมีแค่สำนักงานเมืองระดับเขตที่เป็นหน่วยงานในการดำเนินนโยบายเท่านั้น เจ้าหน้าที่ของสำนักงานเมืองคนหนึ่งก็ต้องทำงานเหมือนกับสองคน นั่นยิ่งทำให้พวกเขาไม่มีเวลาจะไปเก็บรวบรวมข้อมูลประชากรภายในเมืองเลย
ความจริงแล้วการที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์สามารถเก็บข้อมูลประชากรมาได้สมบูรณ์ถึงขนาดนี้ได้ ความดีความชอบส่วนใหญ่นั้นหนีไม่พ้นบุ๊ค เมื่อไรก็ตามที่สำนักบริหารมีจำนวนเจ้าหน้าที่มากพอถึงขนาดสามารถจัดคนที่รู้หนังสือให้ไปอยู่ในหน่วยงานพื้นฐานอย่างพวกคณะกรรมการชุมชนได้ เมื่อนั้นต่างหากถึงจะเรียกว่าเข้าใกล้คำว่ารัฐบาลที่สมบูรณ์แบบ
ซึ่งความสามารถของโมโม่นั้นสามารถช่วยให้เกรย์คาสเซิลก้าวข้ามช่วงเวลาที่ต้องใช้ในการเตรียมตัวไปได้ ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่มีหน่วยงานและกำลังคนที่เพียงพอ เขาสามารถจัดตั้งระบบสถิติขึ้นมาได้เลย ทั้งๆ ที่ตอนนี้ยังเข้าใจความสามารถของเธอเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น
เมื่อไรก็ตามที่เวนดี้ค่อยๆ รู้ถึงความหมายที่แฝงอยู่ของสีแต่ละสี อย่างเช่นผลกระทบและระดับความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากปัจจัยต่างๆ อาทิเช่น โรคภัยไข้เจ็บ ความอดอยากและสภาพแวดล้อม การจัดทำคลังข้อมูลขนาดใหญ่อย่างละเอียดก็จะเป็นเรื่องง่ายขึ้นมา ขอเพียงใช้งานให้เหมาะสม ความสามารถอันนี้ก็จะสามารถทำประโยชน์ให้กับอาณาจักรได้ในหลายๆ ด้าน
ขุนนางของวูล์ฟฮาร์ทพวกนั้นไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองพลาดอะไรไป
ในสายตาของโรแลนด์ โมโม่นั้นถือเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ของสำนักบริหารไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นในอนาคตอย่างน้อยเธอจะได้ก้าวขึ้นไปอยู่ในระดับหัวหน้ากองด้วย
“เออใช่ แล้วได้ตารางการรักษาของนาน่ามาแล้วหรือยัง?” โรแลนด์ปิดบันทึกลงพร้อมถามขึ้นมา
เวนดี้พยักหน้า “วันนี้เพคะ พระองค์จะเสด็จไปทอดพระเนตรด้วยหรือเปล่าเพคะ?”
หน่วยพยาบาลเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ยุ่งวุ่นวายที่สุดในเมือง โดยเฉพาะในตอนที่สงครามสิ้นสุดลง นาน่า ไพน์เองก็เป็นคนหนึ่งที่ยุ่งมากเหมือนกัน ถึงแม้เธอจะไม่ต้องไปอยู่ในห้องทดลองเป็นเวลานานเหมือนกับอันนา แต่เธอก็มีตารางที่ต้องออกไปให้การรักษาทุกวัน ได้ยินว่าตอนนี้มีคิวรอรักษาอยู่หลายร้อยคิว แถมยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย
สาเหตุที่มีคิวรอรักษาเยอะขนาดนี้เป็นเพราะลักษณะพิเศษของความสามารถของเธอ หากเป็นการต่อแขนขาที่ขาด เพียงแค่ 15 นาทีเธอก็ใช้พลังเวทมนตร์ไปจนหมดแล้ว นี่จึงทำให้ตอนนี้ทางหน่วยพยาบาลไม่รับรักษาผู้ป่วยที่สูญเสียอวัยวะที่มีขนาดใหญ่มากกว่าหนึ่งฝ่ามือขึ้นไปเป็นการชั่วคราว โดยจะมีการออกบัตรผู้พิการเอาไว้ให้แทน เอาไว้เมื่อไรที่นาน่าบรรลุนิติภาวะหรือไม่ก็วิวัฒนาการความสามารถจนมีพลังเวทมนตร์มากขึ้น ผู้ป่วยเหล่านี้ก็สามารถใช้บัตรผู้พิการมาขอแทรกคิวเพื่อทำการรักษาได้
จะว่าไปแล้ว วันบรรลุนิติภาวะของนาน่าน่าจะเป็นเดือนแห่งปีศาจของปีนี้นี่นา โรแลนด์คิดในใจ ไม่รู้ว่าทำไม พอพูดถึงสาวน้อยที่เคยเรียนหนังสืออยู่กับอันนา ภาพแรกที่ลอยเข้ามาในหัวของเขาก็คือภาพเธอประคองไก่ด้วยมือทั้งสองข้างพร้อมกับต่อว่าเขา
“ก็ดี เดี๋ยวข้าไปกับพวกเจ้าแล้วกัน”
……
โมโม่คิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากที่ตัวเองใช้พลังออกไปแล้ว เธอไม่เพียงแต่จะไม่ถูกไล่ออกไปจากเมือง แต่เธอยังถูกเวนดี้ต้อนรับอย่างอบอุ่นด้วย
ตอนนี้เธอกับไทเลนพักอยู่ในตึกแม่มดและกลายเป็นหนึ่งในสมาชิกของสโมสรแม่มด
ทุกวันหลังทานอาหารเย็นเสร็จมักจะมีแม่มดคนอื่นเข้ามาหาพวกเธอ พวกเธอบางคนจะเอาของกินบางอย่างที่เธอไม่รู้จัก แต่พอกินเข้าไปแล้วกลับอร่อยจนทำให้เธอน้ำตาไหลออกมา บางคนก็จะมาคอยสอนพวกเธอใช้อุปกรณ์ต่างๆ ภายในห้อง แล้วก็เรื่องที่ต้องระวังเวลาที่อาศัยอยู่ในเขตปราสาท เวลาสั้นๆ เพียงแค่สองวันกลับทำให้มุมมองที่เธอมีต่อโลกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
คิดไม่ถึงเลยว่าการมีชีวิตอยู่มันจะเป็นเรื่องที่ดีขนาดนี้
ในตอนที่รู้ว่าตัวเองมีโอกาสที่จะรักษาดวงตาที่สูญเสียไปให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ โมโม่พลันถลาเข้าไปกอดเวนดี้เอาไว้พร้อมร้องไห้ออกมา
มีแต่ที่นี่เท่านั้นที่เธอจะหลั่งน้ำตาออกมาได้อย่างไม่ต้องกังวลอะไร
“สบายใจได้” ตอนนั้นเวนดี้ตบหลังของเธอเบาๆ เพื่อปลอบใจ “ถึงแม้นาน่าจะไม่ค่อยพักอยู่ในตึกแม่มด แต่เธอก็เป็นสมาชิกของสโมสรแม่มด แถมอายุของนางยังพอๆ กับเจ้าด้วย นางจะต้องยินดีรักษาให้เจ้าแน่นอน”
กระทั่งถึงวันที่นัดหมายเอาไว้ โมโม่จึงถูกเบลพาเข้าในหน่วยพยาบาลแต่เช้า ในระหว่างทางที่เดินไป เธอก็ได้รู้ข้อมูลคร่าวๆ เกี่ยวกับนาน่าจากปากเบล นาน่านั้นไม่เหมือนกับเธอ อีกฝ่ายไม่เพียงแต่จะเกิดในตระกูลขุนนาง แต่ความสามารถของเธอยังมีประโยชน์อย่างมาก จนถึงชาวบ้านยกย่องให้เป็นนางฟ้าของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ เรียกได้ว่าเธออยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งมาตั้งแต่ต้น
เธอแทบจะจินตนาการภาพของอีกฝ่ายออก เธอจะต้องเป็นสาวน้อยที่ยิ้มแย้มแจ่มใส สวมใส่ชุดที่ดูสวยงาม กิริยาท่าทางดูเป็นกันเอง ไม่ว่าใครได้เห็นก็เป็นต้องหลงรัก
ด้วยเหตุนี้ในตอนที่เธอเบลเรียกเธอเข้าไปในห้องรักษา เธอจึงค่อนข้างรู้สึกตื่นเต้น แล้วก็เกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมาจนต้องเดินก้มหน้าเล็กน้อย
“นี่คือคนที่จะรักษาคนต่อไปเหรอเพคะ?” ข้างหูเธอมีเสียงดังขึ้นมา
“ใช่ นางชื่อโมโม่ เป็นแม่มดเหมือนกับเจ้า” น้ำเสียงที่ตอบกลับไปทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด โมโม่มองตามเสียงไปอย่างประหลาดใจ….ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายคือฝ่าบาทโรแลนด์!
ในขณะเดียวกัน เธอก็มองเห็นคุณหนูนางฟ้าที่เล่าลือกันด้วย
ทันใดนั้นโมโม่ก็ต้องใช้แรงทั้งหมดที่มีเพื่อทำให้ตัวเองไม่กรีดร้องออกมา
เธอเห็นนาน่า ไพน์สวมเสื้อคลุมสีขาวห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ทั้งหมด เหลือเพียงแค่ลูกตาสองข้างที่โผล่ออกมา อย่าว่าแต่สวยงามเลย แม้แต่เสื้อผ้าคนธรรมดายังไม่เรียบง่ายขนาดนี้เลย
ถ้ามีแค่นี้ก็ว่าไปอย่าง แต่สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกตกใจกลัวจริงๆ ก็คือรอยสีแดงที่อยู่ตรงหน้าอกของเธอ นั่นมันคือเลือดที่ยังไม่แข็งตัว!
…………………………………………………………