Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1282 การต่อสู้ของผู้กล้า
ฟิชบอลสังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในสนามรบ
เขาสู้โดยมีความคิดอยู่ในหัวว่าต่อให้ต้องตายก็จะต้องกำจัดศัตรูให้ได้มากที่สุด แต่อีกฝ่ายกลับสร้างความกดดันได้น้อยกว่าที่เขาคิดเอาไว้เสียอีก
ตอนที่สู้กับปีศาจบนที่ราบลุ่มบริบูรณ์ ความกดดันบนสนามรบทำให้เขาแม้แต่จะหายใจก็ยังทำได้ยากลำบาก ในหัวมีแต่คำว่ายิงเพียงอย่างเดียว ทั้งร่างกายเขาแข็งเหมือนกับก้อนหิน แต่ตอนนี้เขากลับมีแรงเหลือที่จะมานั่งสังเกตดูสถานการณ์ของทหารในหน่วยและศัตรู แถมยังมีเวลาครุ่นคิดว่าต่อไปอีกฝ่ายอาจจะเคลื่อนไหวแบบไหน
เมื่อการบุกหลายๆ ครั้งถูกบีบให้ต้องถอยกลับไป การเคลื่อนไหวของศัตรูก็ดูเชื่องช้าขึ้นกว่าเดิมมาก
สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือการกระหน่ำยิงของกองทัพที่หนึ่งเว้นระยะห่างมากขึ้น เพื่อที่จะประหยัดกระสุน พวกเขามักจะกระหน่ำยิงในตอนที่กองทัพขุนนางบุกเข้ามา แต่การกระหน่ำยิงครั้งล่าสุดคือเมื่อประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อน
ในสถานการณ์ที่ด้านหลังไม่มีการส่งกองหนุนขึ้นมาช่วย การที่อยู่ในสภาพที่ไม่บุกแล้วก็ไม่ถอยแบบนี้ถือเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างมาก อีกอย่างกองทัพที่หนึ่งก็อยู่บนกลางเนินซึ่งอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า อีกทั้งยังมีแนวป้องกันกระสอบทรายเป็นที่กำบังด้วย ความได้เปรียบในการยิงปะทะกันนั้นมีมากกว่าอีกฝ่าย
เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมผู้บังคับบัญชาของอีกฝ่ายถึงได้ตัดสินใจทำแบบนี้ อาวุธปืนนั้นไม่เหมือนกับอาวุธเย็นอย่างพวกมีดดาบ การไม่สัมผัสกันไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีการต่อสู้เกิดขึ้น การที่พวกผู้อพยพถูกกองทัพที่หนึ่งยิงใส่อยู่ตลอดเวลาแบบนี้มันจะสร้างความเสียหายให้กับขวัญและกำลังใจของพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
การที่พวกผู้อพยพที่อยู่แนวหน้าบางส่วนถอยไปด้านหลังแทนที่จะบุกเข้ามานั้นคือสิ่งที่ยืนยันเป็นอย่างดี ฟิชบอลบอกเห็นว่าคตำแหน่งในการหมอบของพวกเขาบางส่วนนั้นถอยห่างไปจากตำแหน่งในตอนแรกเกือบร้อยก้าว ตอนนี้แนวรบของพวกเขาดูบิดเบี้ยวไปมาไม่เป็นระเบียบเหมือนระลอกคลื่น
ในจุดนี้ก็ทำให้เห็นว่าพวกเขานั้นไม่ได้กองกำลังที่เป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน หากแต่เป็นการรวบรวมคนมาจากหลายๆ กลุ่ม
นอกจากนี้ฟิชบอลยังสังเกตเห็นว่าศัตรูไม่ได้ถนัดในการสู้รบโดยใช้อาวุธปืน ถึงแม้ในนั้นบางคนจะมีคนที่เลียนแบบการใช้ปืนของกองทัพที่หนึ่ง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถแสดงประสิทธิภาพของอาวุธที่อยู่ในมือออกมาได้อย่างเต็มที่
ไม่อย่างนั้นตัวเขาจึงทนไม่ได้จนถึงตอนนี้
ถึงแม้จะฟังดูแล้วน่าเหลือเชื่อ แต่ตอนนี้ทีมของเขาก็ยังไม่มีใครตายเลยแม้แต่คนเดียว มีแค่ 5 คนเท่านั้นที่ได้รับบาดเจ็บ
นี่ไม่ใช่การอาศัยแค่โชคเพียงอย่างเดียว
“ใครมีกระสุนเหลือให้ข้าไหม ของข้าใกล้หมดแล้ว!”
“ข้าก็ด้วย ในมือเหลืออยู่คลิปสุดท้ายแล้ว”
“หัวหน้า ต่อไปเราจะทำยังไงดี?” แฮนซันก้มวิ่งตัวเข้ามาถาม “ข้างๆ ปืนกลไม่มีใครอยู่เลย ถ้าไงพวกเรายื้อต่อจนถึงกลางคืนค่อยหนีดีไหม?”
ฟิชบอลเงยหน้ามองดูท้องฟ้า ตอนนี้เป็นเวลาประมาณ 5 โมงเย็น พระอาทิตย์ตอนช่วงฤดูใบไม้ผลิตกค่อนข้างเร็ว อีกประมาณชั่วโมงครึ่งท้องฟ้าก็จะมืดลง เมื่อถึงตอนนี้ความน่ากลัวของอาวุธปืนของอีกฝ่ายก็จะลดลงอย่างมาก ต่อให้พวกเขาวิ่งหนีโดยถูกยิงไล่หลังก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสหนีรอดออกไป
แต่บางทีอาจจะเป็นเพราะก่อนหน้านี้เขาหนีมาเยอะแล้ว เขาจึงค่อนข้างคิดเมื่อต้องหนี
เวลากลางคืนจะทำให้ความแม่นยำของอาวุธปืนลดลง แต่กองทัพที่หนึ่งก็จะสูญเสียทัศนวิสัยไปเช่นเดียวกัน สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือถ้าหากศัตรูฉวยโอกาสบุกและไล่ตามพวกเขามาอีกครั้ง พวกเขาจะยิงตอบโต้อีกฝ่ายได้อีกครั้งหรือเปล่า?
แต่แน่นอน ถ้าหากมีกระสุนมากพอ บางทีพวกเขาอาจจะฉวยโอกาสหนีไปตอนที่อีกฝ่ายยังไม่ทันรู้ตัวได้ แต่เมื่อดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ อีกไม่นานพวกขุนนางก็คงจะสังเกตเห็นว่าความถี่ของการยิงตอบโต้จากในค่ายไม่ถี่เหมือนในตอนแรก จากนั้นก็เดาถึงความเคลื่อนไหวต่อไปของพวกเขาได้
ยิ่งไปกว่านั้นในจำนวนผู้บาดเจ็บ 5 คน มีอยู่ 2 คนที่บาดเจ็บหนัก การพาเพื่อนที่บาดเจ็บหนักหนีไปด้วยจะทำให้ความเร็วในการถอยช้าลง
แต่ถ้าจะให้ทิ้งพวกเขาเอาไว้ ฟิชบอลก็ทำไม่ได้เหมือนกัน
เขาลังเลอยู่ครู่ สุดท้ายจึงตัดสินใจ “เรียกคนอื่นๆ มา ข้ามีอะไรจะพูดด้วย”
ไม่นาน แฮนซันก็เรียกเพื่อนทหารคนอื่นๆ มารวมตัวกัน
ส่วนศัตรูก็เหมือนจะไม่ทันสังเกตเห็นว่าการยิงของกองทัพที่หนึ่งเป็นกระจุกมากขึ้น พวกเขายังคงหมอบอยู่บนพื้นหญ้า บางครั้งก็ยกปืนขึ้นมายิงสวนทีหนึ่ง นี่ยิ่งช่วยตอกย้ำความคิดของฟิชบอล
เขาอธิบายสถานการณ์ให้คนอื่นฟังคร่าวๆ จากนั้นจึงมองดูทุกคน “ฝ่าบาททรงตรัสอยู่บ่อยๆ ว่าการโจมตีคือการป้องกันที่ดีที่สุด ถ้าพวกเราสามารถเอาชนะขุนนางพวกนี้ได้ อย่างนั้นจะอยู่หรือจะไปพวกเราก็ไม่ต้องกังวลอะไรอีก แต่ถ้าเราหนีไป นั่นก็จะทำให้ศัตรูมีโอกาสที่จะกลับมาเล่นงานเราใหม่อีกครั้ง ตอนนี้ได้เวลาตัดสินใจแล้วว่าพวกเราจะปล่อยให้ศัตรูเป็นคนกำหนดชะตาชีวิตเราหรือเราจะเป็นคนกำหนดชะตาชีวิตของตัวเอง ตอนนี้ข้าอยากจะฟังความคิดของทุกคนว่าเป็นยังไง”
“หัวหน้า หัวหน้าหมายความว่า…จะให้พวกเราเป็นฝ่ายบุกเข้าไปเหรอ?” แฮนซันตกตะลึง “แต่คนของอีกฝ่ายมันเยอะกว่าเรามากเลยนะหัวหน้า”
“ข้าคิดๆ ดูแล้ว พวกเขาดูแล้วเหมือนจะมีคนเยอะกว่า แต่คนส่วนใหญ่นั้นไม่มีใจที่จะสู้แล้ว เพียงแต่การยิงไปยิงมาในระยะไกลนี้ไม่สามารถทำให้พวกเขายอมแพ้ได้ ถ้าหากพวกเราบดขยี้กองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาได้ ไม่แน่เราอาจจะทำลายขวัญและกำลังใจของอีกฝ่ายได้อย่างสิ้นเชิงก็ได้!”
“แต่กระสุนของพวกเรามีไม่พอ…”
“กองทัพที่หนึ่งไม่ใช่กองทัพที่เอาแต่พึ่งอาวุธปืนในการรบเพียงอย่างเดียว ใน ‘คู่มือการรบ’ ก็เน้นย้ำในจุดนี้” ฟิชบอลพูดเสียงคร่ำเคร่ง
ทุกคนนิ่งเงียบไป แฮนซันพูดขึ้นมาเป็นคนแรก “ข้าฟังท่าน”
“ใช่ หัวหน้า ข้าไม่อยากจะทิ้งใครเอาไว้”
“ถ้าไม่ไปทั้งหมด ก็อยู่ที่นี่ทั้งหมด”
“ออกคำสั่งมาเลย หัวหน้า!”
ทุกคนต่างตะโกนขึ้นมา
ฟิชบอลพยักหน้า หากเป็นเมื่อก่อนนี้ เขาไม่มีทางคิดถึงแน่ว่าตัวเองจะตัดสินใจแบบนี้ออกมา หลังเป็นทหารมา 4 ปี เขารู้สึกว่าตัวเองมีอะไรที่เปลี่ยนไป
‘เจ้าไม่ใช่ไอขี้ขลาด’
เสียงที่อ่อนโยนดังขึ้นมาในหูเขาอีกครั้ง
เขาสูดหายใจ ก่อนจะพูดช้าๆ ชัดๆ “ทุกคน ติดดาบปลายปืน!”
จากปืนยาวรุ่นเก่าจนมาถึงปืนยาวลูกเลื่อน โครงสร้างตัวปืนนั้นเปลี่ยนแปลงไปเยอะ แต่ดาบปลายปืนนั้นไม่เคยถูกถอดออก ถ้าจะบอกว่ามีอะไรที่ไม่เหมือนเดิม นั่นก็คือมันใช้ง่ายกว่าเมื่อก่อน
เหล่าทหารชักดาบออกมาจากปลอก ก่อนจะเสียบเข้าไปในตัวล็อก
ฟิชบอลเอาคลิปกระสุนคลิปสุดท้ายเสียบเข้ากับตัวปืน ก่อนจะชูแขนขึ้นแล้วตะโกนว่า “ตามข้ามา!”
เขาปีนข้ามกระสอบทรายไปเป็นคนแรก
ทหารคนอื่นๆ ตามหลังเขามาติดๆ ก่อนจะวิ่งเข้าไปหาศัตรูที่อยู่ใกล้!
ส่วนศัตรูนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่รู้ตัวว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พวกเขาหลายคนยังไม่ทันจะได้ลุกขึ้นมาจากพื้นด้วยซ้ำ หากแต่ยังคงหมอบอยู่กับพื้นแล้วก็ยิงปืนมาทางกองทัพที่หนึ่ง
ฟิชบอลเตรียมพร้อมที่จะปะทะเข้ากับกระสุน แต่ความเจ็บปวดอย่างที่คิดเอาไว้ก็ไม่มาถึงซักที แค่พริบตาพวกเขาก็วิ่งมาได้ร้อยกว่าเมตร ส่วนศัตรูก็เพิ่งจะลุกขึ้นยืนนิ่งอยู่กับที่เหมือนเพิ่งตื่นจากความฝัน คล้ายกับว่าไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
เขาทำตามที่ตัวเองได้ฝึกฝนมาด้วยการเอาดาบปลายปืนแทงเข้าไปที่หน้าอกของศัตรูคนแรก
“ฆ่า!”
เหล่าทหารคนอื่นๆ เองก็แห่กันเข้าไปหาศัตรู
เสียงตะโกนดังสะท้อนไปครึ่งเนินเขาทันที!
ฟิชบอลแทงศัตรูคนหนึ่งล้มลง จากนั้นก็ยิงสังหารศัตรูอีกคหนึ่ง หลังจากหมุนตัวแทงศัตรูล้มลงไปเป็นคนที่สาม เขาก็พบว่ารอบๆ ไม่มีเป้าหมายใหม่แล้ว
เขามองไกลออกไป ก่อนจะเห็นว่าศัตรูนั้นได้เริ่มหนีไปแล้ว
พวกเขาน่าจะคิดไม่ถึงว่ากองทัพที่หนึ่งจะวิ่งออกมาจากค่ายและมาไล่ฆ่าพวกเขาในเวลานี้ สุดท้ายภายในใจก็ไม่อาจแบกรับความกดดันเอาไว้ได้
แนวรบของกองทัพพันธมิตรของพวกขุนนางต้านอยู่ได้ไม่นานเท่าไรก็พังทลายลง ในตอนที่กลุ่มทหารที่อยู่แนวหน้าสุดวิ่งหนี ความหวาดกลัวก็แผ่กระจายไปทั้งกองทัพเหมือนกับโรคติดต่อ พวกคนที่เดิมถอยไปด้านหลังทิ้งอาวุธที่อยู่ในมือและวิ่งลงเนินไปอย่างไม่คิดชีวิต มีหลายคนที่พลาดล้มลง ก่อนจะชนคนข้างหน้าในล้มตามไปด้วย
ในตอนที่ปืนกลตกอยู่ในมือกองทัพที่หนึ่งและหันปากกระบอกปืนกราดยิงเข้าใส่คนที่วิ่งลงเนินไป ศัตรูหลายคนพลันนึกโกรธแค้นตัวเองขึ้นมาที่เกิดมามีขาแค่สองข้าง ถ้าไม่เป็นเพราะว่าในปืนกลมีกระสุนอยู่ไม่เท่าไร เกรงว่าพวกเขาคงหนีออกไปจากที่นี่ไม่ได้ด้วยซ้ำ
ฟิชบอลไม่รู้ว่าตัวเองวิ่งมาไกลเท่าไร กระทั่งขาทั้งสองข้างรู้สึกหมดแรง เขาจึงค่อยๆ หยุดวิ่งลง
ศัตรูที่ยังมีชีวิตอยู่บนเนินต่างคุกเข่าลงไปกับพื้นแล้วชูมือยอมแพ้ ส่วนพวกขุนนางที่เอาแต่วนเวียนอยู่ด้านหลังนั้นวิ่งเร็วกว่าใคร ตอนนี้แทบจะมองไม่เห็นเงาของพวกเขาแล้ว
ฟิชบอลกำหมัดขึ้นมา ภายในใจรู้สึกมีความสุขอย่างที่ยากจะบรรยายได้
ยังไม่ทันที่เขาจะได้ลิ้มรสความสุขนั้น เพื่อนทหารที่ตื่นเต้นพุ่งเข้าหามาเขาก่อนจะกระโดดทับตัวเขาจนล้มลงไปกับพื้น “หัวหน้า พวกเราชนะแล้ว!”
“ฝ่าบาททรงพระเจริญ!”
“กองทัพที่หนึ่งจงเจริญ!”
เขาถูกทุกคนยกขึ้นมาแล้วโยนขึ้นไปบนอากาศ
ถูกต้อง พวกเขาชนะแล้ว
ทุกคนยังมีชีวิตอยู่ ไม่มีอะไรที่จะดีกว่านี้อีกแล้ว
ฟิชบอลกางแขนออกและหันหน้าไปทางพระอาทิตย์ที่ค่อยๆ ตกดิน จากนั้นจึงสงเสียงตะโกนออกมาเพื่อฉลองชัยชนะพร้อมกับทุกคน
…………………………………………………….