Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1287 ความรู้สึกไม่สบายใจ
คนเหล่านี้มีจำนวนเท่าไร? มาที่นี่ด้วยเหตุผลอะไร? พวกเขาต่างเป็นผู้ตื่นรู้พลังแห่งธรรมชาติหรือเปล่า? อีกโลกหนึ่งหน้าตาเป็นอย่างไร
ตอนนี้เฟยอวี่หานไม่รู้เรื่องเหล่านี้เลย
แต่เมื่อดูจากตอนนี้ อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ใช่ศัตรู ผลงานการกำจัดฟอลเลนอีวิลของโรแลนด์นั้นวางอยู่ตรงหน้า เขาต่อสู้เพื่อหยุดการกัดกินจริงๆ
ปฏิบัติการกวาดล้างฟอลเลนอีวิลนั้นคือเครื่องพิสูจน์ เธอไม่มีทางลืมประโยคที่ว่า ‘ฝ่าบาท หม่อมฉันทำให้ทุกคนสลบหมดแล้วเพคะ’ ตอนก่อนที่เธอจะสลบไปแน่นอน? บวกกับท่าทีของโรแลนด์หลักจากนั้นที่พยายามจะหลบสายตาเธอ
พูดอีกอย่างถ้าอีกฝ่ายคิดร้ายจริงๆ เธอคงไม่มีชีวิตรอดมาถึงตอนนี้ได้ หลังจัดการสัตว์ประหลาดเวทมนตร์เสร็จแล้ว เขามีโอกาสที่จะกำจัดตัวเธอซึ่งได้ยินคำพูดประโยคนี้ได้ ขอเพียงปัดความรับผิดชอบไปให้ศัตรู ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางสงสัยแน่
ด้วยเหตุนี้เฟยอวี่หานจึงมองว่านั่นเป็นเจตนาที่ดีอย่างหนึ่ง
ถ้าไม่มีหลักฐานอื่นมายืนยันว่าเขาเจตนาร้าย เธอก็ไม่มีเหตุผลที่จะรีบเอาเรื่องนี้ไปบอกสมาคม
จะโรแลนด์ก็ดีหรือวัลคีรีย์ก็ดี พวกเขาต่างเลือกที่จะปิดบังประวัติความเป็นมาของตัวเอง ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไม แต่ในเมื่อพวกเขาอยากจะให้เป็นแบบนี้ อย่างนั้นก็ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ไปก่อนแล้วกัน เพื่อที่เธอจะได้สังเกตดูนานขึ้นอีกหน่อย
โทรศัพท์ดังขึ้นมา
“….ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ”
เฟยอวี่หานวางโทรศัพท์ ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้วัลคีรีย์ “คุณร็อคมีธุระจะคุยกับฉัน วันนี้ฉันคงอยู่เป็นเพื่อนเธอไม่ได้แล้วล่ะ”
“ไม่เป็นไร ธุระสำคัญกว่า”
“อย่างนั้นพรุ่งนี้เจอกันนะ”
“เออใช่…” ตอนที่เธอกำลังจะเดินออกไปจากประตู วัลคีรีย์พลันเรียกเธอเอาไว้ “หัวหน้า พรุ่งนี้เอาหนังสือเกี่ยวกับการพัฒนาของเทคโนโลยีมาให้ฉันหน่อยได้ไหม?”
“เธอหมายถึงพวกสารานุกรมเหรอ?” เฟยอวี่หานครุ่นคิด “น่าจะไม่มีปัญหา แน่ว่าหนังสือพวกนี้มันมีหลายหัวข้อ ฉันไม่รู้ว่ามันจะใช้ที่เธออยากอ่านหรือเปล่านะ”
“ไม่เป็นไร แบบไหนก็ได้” อีกฝ่ายพูดอย่างยินดี “ขอบคุณเธอมากนะ”
“ไม่เป็นไร”
หลังปิดประตู สีหน้าเฟยอวี่หานกลับมาสีหน้าปกติ
ใช่จริงๆ ด้วย เธอไม่ใช่แค่ชอบอ่านหนังสือ
เธอกำลังพยายามทำความเข้าใจโลกใหม่นี้ให้ได้มากที่สุด
….
วัลคีรีย์มองดูบานประตูที่ปิดลงพร้อมถอนหายใจออกมาเบาๆ
มันรู้ว่าการที่ตัวเองทำแบบนี้มันดูเร่งร้อนไปหน่อย แต่ตอนนี้ไม่มีตัวเลือกอื่นที่ดีกว่านี้อีกแล้ว มนุษย์ที่ชื่อเฟยอวี่หานคนนี้คือหนทางเพียงหนึ่งเดียวที่จะทำให้เธอเข้าใจโลกนี้ ถ้าเธอมัวแต่ชักช้า เช่นนั้นก็เท่ากับเธอเสียเวลาหนึ่งเดือนไปเปล่าๆ อยู่บนเตียง
ถ้าแผนการของเฮคซอดเป็นไปอย่างราบรื่น กองทัพตะวันตกก็น่าจะขยายแนวรบเข้าไปในดินแดนของมนุษย์แล้ว ในตอนนี้คือช่วงเวลาที่ต้องการคนไปช่วย การ ‘หายไป’ ของมันจะต้องทำให้เฮคซอดรู้สึกโกรธอย่างมากแน่นอน
พูดตามตรง ในใจวัลคีรีย์เวลานี้ค่อนข้างสับสน ด้านหนึ่งมันก็อยากจะให้เฮคซอดปลุกมันขึ้นมาจากบ่อละอองชีวิต ถึงแม้การทำแบบนั้นจะทำให้ความทรงจำส่วนใหญ่ที่ได้มาจากโลกแห่งจิตสำนึกเสียไป หรืออาจจะทำให้สมองเกิดความเสียหายจนยากที่จะแก้ไขได้ก็ตาม ส่วนอีกด้านหนึ่งมันกลับไม่อยากจะทิ้งเบาะแสที่ตัวเองได้มาในตอนนี้
เหตุผลที่มันอยากให้เฮคซอดปลุกมันขึ้นมานั้นง่ายมาก เพราะมันรู้สึกว่ายิ่งค้นหาไปลึกขึ้น ความรู้สึกไม่สบายใจของมันก็ยิ่งรุนแรงขึ้น การลืมสิ่งเหล่านี้ไปกลับจะทำให้มันรู้สึกสบายใจขึ้น ไม่ว่าโรแลนด์จะกุมความลับอะไรอยู่ ขอเพียงมันสามารถชิงเอาชิ้นส่วนสืบทอดในโลกแห่งความเป็นจริงมาได้ มนุษย์ก็จะไม่สามารถต่อต้านพวกมันได้อีก ทุกสิ่งทุกอย่างของมนุษย์จะตกเป็นของเผ่าพันธุ์มัน รวมไปถึงความลับของโรแลนด์ด้วย
ส่วนเหตุผลที่มันไม่อยากถูกปลุกขึ้นมานั้นเป็นเพราะคำเตือนของ ‘ทรานฟอมเมอร์’ ซิสทาลิส ถึงแม้จะเอาชนะสงครามแห่งโชคชะตาได้ แต่มันก็ไม่สามารถทำให้เผ่าพันธุ์ไปถึงดินแดนของพระเจ้าได้ เนื่องจากเป็นคำสั่งเสียของผู้เป็นอาจารย์ มันจึงเป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่หยั่งรากลึกอยู่ในใจของไนท์แมร์ ถ้าชัยชนะไม่สามารถทำให้เผ่าพันธุ์คงอยู่ต่อไปได้ อย่างนั้นแบบไหนถึงจะเป็นวิธีที่ถูกต้อง? คำตอบนั้นจะอยู่ในดินแดนแห่งจิตสำนึกที่แปลกประหลาดและน่าเหลือเชื่อนี้หรือเปล่า?
แน่นอน ที่ว่าข้างต้นล้วนแต่เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งเท่านั้น
ความจริงแล้วมันยังมีความคิดที่พูดออกมาไม่ได้อยู่อีก
นั่นก็คือในช่วงที่มันอยู่ที่นี่ มันเหมือนได้กลับไปยังสมัยที่มันยังเรียนอยู่ในสำนักซีคลาวด์ ทุกวันไม่เพียงแต่จะได้เรียนความรู้ใหม่ๆ แต่มันยังได้เห็นอนาคตที่ไม่เหมือนกับในโลกแห่งความเป็นจริงด้วย
วัลคีรีย์หยิบเอาขนมกล่องหนึ่งออกมาจากในถุงที่วางอยู่บนหนังสือ
มันถูกห่อเอาไว้อย่างสวยงาม ดูแล้วเหมือนกับอาหารที่พวกมนุษย์กินเลย สีที่แตกต่างกันแสดงถึงรสชาติที่ไม่เหมือนกัน หลังแกะเอาห่อออก จมูกของมันก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นหอมอันเย้ายวน
นั่นเป็นรสชาติที่มันไม่เคยจินตนาการถึงมาก่อน
การกินอาหารเข้าไปนั้นพฤติกรรมของพวกระดับกลางและระดับล่างในเผ่าพันธุ์ อาหารธรรมดาจะให้พลังงานได้เพียงแต่นิดเดียว ยิ่งไปกว่านั้นยังย่อยยากด้วย ด้วยเหตุนี้วิธีที่เห็นได้บ่อยๆ คือพวกมันจะเอาอาหารไปวางในจุดที่มีหมอกแดงเข้มข้น รอจนอาหารอ่อนตัวลงแล้วจึงค่อยกินเข้าไป ขั้นตอนนี้ก็คือกับการย่างของมนุษย์ เพียงแต่สิ่งที่พวกเขาใช้ย่างคือไฟเท่านั้นเอง
แต่แน่นอน ของที่ผ่านการทำเช่นนี้ยากมากก็แค่ทำให้อิ่มท้องเท่านั้น หลังจากที่กลายเป็นผู้ยกระดับและสามารถดูดซับเอาละอองชีวิตเข้าไปในร่างกายได้โดยตรง วัลคีรีย์ก็ไม่เคยกินอาหารอีกเลย
เผ่าพันธุ์ของมันบางส่วนยังได้นำเอาการกินอาหารชั้นต่ำแบบนี้เข้าไปเผยแพร่ยังเผ่าพันธุ์อื่น….อย่างเช่น มนุษย์
เพราะว่าต่อให้เป็นแม่มดก็ต้องกินอาหารวันละ 3 มื้อ
มันเองก็เคยคิดเช่นนี้เหมือนกัน จนกระทั่งตอนนี้ถึงได้รู้ว่าที่แท้อาหารที่ผลิตจากคาบสมุทรคาร์การ์ดจะอร่อยขนาดนี้
วัลคีรีย์เอาขนมชิ้นหนึ่งในเข้าไปในปาก พร้อมกับลิ้มรสรสชาติหอมหวานที่แผ่กระจายออกมา
อาหารเหล่านี้ยังคงรักษารสชาติอันเรียบง่ายจากการตากละอองชีวิตเอาไว้อยู่ เรียกได้ว่าเป็นการผสมผสานระหว่างเทคนิคของมนุษย์กับความเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าพันธุ์มัน
มันกินของหวานหมดอย่างรวดเร็ว
ถ้าหากสำนักซีคลาวด์ยังอยู่ ถ้าหาก ‘ทรานฟอมเมอร์’ ยังอยู่…พวกมันจะสามารถสร้างของอร่อยแบบนี้ออกมาได้หรือเปล่า?
ไนท์แมร์ส่ายหัวแล้วโยนความคิดฟุ้งซ่านนี้ทิ้งไป
ไม่ว่ายังไง สงครามแห่งโชคชะตาก็เริ่มก่อตัวเองมาเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว มันกลายเป็นเหมือนสายน้ำหลากที่ไม่มีอะไรจะมาหยุดยั้งได้ สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่ตัวมันจะควบคุมได้ การทำให้เผ่าพันธุ์อยู่รอดต่อไปต่างหากถึงจะเป็นเป้าหมายที่สำคัญที่สุด
แต่ปัญหามันก็จะกลับมายังจุดเริ่มต้น
ลึกๆ มันรู้ว่าความไม่สบายใจภายในใจมันมากจากไหน
หลังผ่านการค้นคว้ามาหนึ่งเดือน วัลคีรีย์พอจะแน่ใจคร่าวๆ แล้วว่าการเปลี่ยนแปลงอันน่าตกใจของมนุษย์ในโลกแห่งความเป็นจริงมีความเกี่ยวข้องกับที่นี่ และโรแลนด์คือต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนั้น ในหนังสือประวัติศาสตร์มีความกล่าวถึงอาวุธพวกนั้นหลายครั้ง ซึ่งเหมือนกับที่อุรูคบรรยายเอาไว้ในรายงานทุกอย่าง
จิกซอว์ชิ้นสุดท้ายลอยขึ้นมาในหัวของมัน มันแน่ใจว่าตัวมันหาสามารถเหตุที่ทำให้มนุษย์ยกระดับขึ้นได้แล้ว ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไมมนุษย์ตัวผู้นั้นถึงได้รับสิทธิ์ในการเข้ามายังโลกแห่งความฝัน แต่สถานการณ์ในตอนนี้มันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาเรียนรู้ความรู้ที่ก้าวล้ำยุคสมัยมาจากดินแดนแห่งจิตสำนึกอันกว้างใหญ่นี้ จากนั้นก็เอามันไปใช้กับเผ่าพันธุ์ของตัวเอง และแม่มดก็คือสะพานในการเปลี่ยนแปลงความรู้นั้น ตอนนี้สิ่งที่พวกมันเผชิญอยู่ไม่ใช่สมาพันธ์เมื่อ 400 ปีก่อน หากแต่เป็นกลุ่มมนุษย์ที่พัฒนาขึ้นไปอยู่ในอีกระดับหนึ่ง
ถ้ามีเพียงเท่านี้ก็ว่าไปอย่าง
หลังจากที่มันพลิกอ่านหนังสือประวัติศาสตร์เหล่านั้น มันยังไม่ค้นพบความจริงที่น่าตกใจอีกเรื่องหนึ่ง
นั่นคือในตอนที่อารยธรรมมนุษย์ยกระดับไปจนถึงระดับหนึ่ง ความเร็วในการพัฒนาของมันจะเพิ่มขึ้นหลายเท่า! เมื่อเทียบกับสมัยก่อนที่พวกเขาใช้อาวุธปืนฆ่าฟันกันเอง ตอนนี้พวกเขากลับสามารถเดินทางไปได้ทั่วทั้งท้องฟ้าและท้องทะเล อาวุธของพวกเขาเองก็สามารถทำลายทั้งทวีปให้กลายเป็นจุลได้
และนี่คือสิ่งที่ทำให้วัลคีรีย์รู้สึกไม่สบายใจมากที่สุด
ตอนนี้โรแลนด์ก้าวไปไกลแค่ไหนแล้ว?
หากโยนคำเตือนของซิสทาลิสทิ้งไป นี่เป็นครั้งแรกที่มันรู้สึกสงสัยว่าเผ่าพันธุ์ของมันจะสามารถเอาชนะมนุษย์ในศึกแห่งชะตาชีวิตครั้งนี้ได้หรือเปล่า
………………………………………………………….