Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1289 จุดกำเนิดของการสร้าง
“ปีศาจหรือเพคะ?”
ทั้งสองคนงุนงง “พระองค์ทรงหมายถึงพวกเผ่าอื่น…ที่อยู่บนโลกนี้หรือเพคะ?”
สำหรับแม่มดโบราณแล้ว สิ่งที่ดูไม่เข้ากับการใช้ชีวิตในโลกแห่งความฝันก็คือชาวคาร์การ์ดที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้ ชาวเผ่าที่มีรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนปีศาจพวกนี้ถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำก็เรียกได้ว่าไม่ต่างจากมนุษย์มากนัก แถมยังสามารถสืบพันธุ์ได้ด้วย ดูแล้วแตกต่างจากศัตรูที่อยู่ในโลกข้างนอกอย่างสิ้นเชิง
การลงมือทันทีที่เห็นปีศาจกลายเป็นสัญชาตญาณของแม่มดโบราณไปเสียแล้ว โรแลนด์ต้องคอยย้ำอยู่หลายครั้ง พวกเธอถึงจะควบคุมอารมณ์ตรงนั้นได้ แล้วตอนนี้เขากลับมาบอกว่าให้เพิ่มการเฝ้าระวัง หากเป็นคนธรรมดาคงยากที่จะปรับตัวได้ทันแน่ ดังนั้นคนกลุ่มแรกที่เขาคิดถึงก็คือฟิลลิสและดาเนนซึ่งเป็นแม่มดกลุ่มแรกที่ติดตามตัวเองเข้ามาในโลกแห่งความฝันและยังมีความสามารถที่เหมาะสมกับการซ่อนตัวอย่างมาก
“จะคิดแบบนั้นก็ได้” โรแลนด์บรรยายลักษณะเด่นและจุดที่น่าสงสัยของอีกฝ่ายให้แม่มดฟัง “ข้าไม่เห็นหินเวทมนตร์ใดๆ อยู่บนตัวมัน ซึ่งนี่เป็นจุดที่มันแตกต่างจากปีศาจมากที่สุด แต่พวกเจ้าก็ยังต้องระวังตัวเอาไว ให้จับตาดูโดยสมมติว่ามันมีพลังของหินเวทมนตร์อยู่”
การอ่านหนังสือประวัติศาสตร์นั้นเป็นหนทางในการทำความเข้าใจโลกนี้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ยังจะมีใครที่ต้องการรู้ถึงความเป็นมาของโลกแห่งความฝันมากขนาดนี้อีก ถ้า ‘ปีศาจ’ ที่ชื่อวัลคีรีย์ตัวนั้นมาจากคาบสมุทรคาร์การ์ดจริงๆ มันก็น่าจะได้รับการศึกษาภาคบังคับถึงจะถูก แต่จากคำพูดที่เฟยอวี่หานบอกมา อีกฝ่ายนั้นแทบจะอ่านหนังสือประวัติศาสตร์โดยไล่ตามล่วงเวลาเลยก็ว่าได้ ในจุดที่ทั้งสองโลกเจอกับการกัดกินพร้อมกัน เรื่องนี้มันทำให้เขารู้สึกสงสัยจริงๆ
“เพคะ ฝ่าบาท” ทั้งสองคนพยักหน้า
“ถึงแม้จะแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นปีศาจก็ห้ามลงมือในศูนย์พักฟื้น” โรแลนด์ครุ่นคิด ก่อนจะพูดต่ออีกประโยค “หนึ่งเป็นเพราะว่าที่นั่นมีผู้ตื่นรู้อยู่เต็มไปหมด มันอาจจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ สองคือข้าอยากจะรู้ให้ได้ว่ามันเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร”
เพราะว่าสิ่งที่อยู่อีกด้านของห้อง 0510 นั้นไม่ใช่แค่รังของปีศาจแค่ตัวหรือสองตัว หากแต่เป็นเมืองขนาดมหึมาของปีศาจ ถ้าปีศาจตัวอื่นๆ ก็ทะลุผ่านประตูเข้ามาเหมือนกัน อย่างนั้นคงทำให้เขาปวดหัวอย่างมาก
“หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ เพียงแต่ว่า…” ฟิลลิสลังเลเล็กน้อย “หากพวกหม่อมฉันสองคนไม่อยู่ข้างกายพระองค์ ถ้าเกิดว่า…”
“วางใจได้ ที่นี่ไม่ใช่โลกแห่งความเป็นจริง” โรแลนด์ยิ้มๆ “เจ้าเองก็เคยเห็นแล้วไม่ใช่เหรอว่าพลังของฟอลเลนอีวิลพวกนั้นมันทำอะไรข้าไม่ได้ ขอเพียงไม่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง พวกมันก็ไม่มีทางที่จะทำอะไรข้าได้ ว่าแต่พวกเจ้านั่นแหละ จำเอาไว้ว่าความปลอดภัยของตัวเองคือสิ่งสำคัญที่สุด โทรหาข้าทุกๆ ชั่วโมงเข้าใจไหม”
“…เพคะ ฝ่าบาท” ทั้งสองคนสบตากัน ก่อนจะตอบพร้อมถวายบังคม “อย่างนั้นพวกหม่อมฉันไปก่อนนะเพคะ”
…..
ในตอนที่ยิปซีลอนเดินเข้ามาในจุดนัดพบใต้ดิน ทั้งห้องกำลังอยู่ในสภาพที่ทั้งสองโลกซ้อนทับกันอยู่ เพดานกับกำแพงล้วนแต่ถูกแสงเวทมนตร์สีแดงปกคลุมเอาไว้อยู่ เหมือนว่ามันกลายเป็นถ่านร้อนๆ ที่ส่องแสงวูบวาบ
ภายใต้สภาวะแบบนี้ พื้นที่แห่งนี้เหมือนกับเป็นช่องว่างอยู่ระหว่างทั้งสองโลก ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดๆ ในโลกแห่งความเป็นจริงก็ล้วนแต่ไม่สามารถส่งผลกระทึบต่อมันได้
นี่ย่อมรวมไปถึงการค้นหาและการไล่ตามด้วย
เธอมองดูเบต้าที่ยังคงอยู่ในท่าคุกเข่าและเอาสองมือทาบลงไปกับพื้น ร่างกายของอีกฝ่ายเกือบจะโปร่งแสง ดูแล้วเหมือนกับเป็นภาพลวงตาอย่างไรอย่างนั้น
หากคำนวณตามเวลาของที่นี่ เขาอยู่ในท่านี้มาเป็นเวลาครึ่งเดือนแล้ว
“ยังไม่เสร็จอีกเหรอ?” ยิปซีลอนมองไปทางเดลต้าที่ยืนอยู่นิ่งๆ อีกด้านหนึ่ง
หน้ากากของอีกฝ่ายสว่างวาบขึ้นมา ก่อนจะเหมือนนึกขึ้นมาได้ว่าที่นี่ไม่สามารถพูดคุยผ่านจิตสำนึกได้ เสียงแหบแห้งของมันดังตอบขึ้นมา “โลกนี้มันขยายตัวใหญ่ขึ้นมาก การแยกแยะทั้งหมดนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่ว่าเบต้าใกล้จะทำสำเร็จแล้วล่ะ เชื่อว่าคงใช้เวลาอีกไม่นาน แล้วทางเจ้าล่ะ ได้เรื่องอะไรบ้างไหม?”
“พวกโจรปล้นพลังเวทมนตร์มันวางกับดักเอาไว้ ตอนนี้กำลังรอให้พวกเราไปติดกับอยู่”
โครงสร้างของโลกนี้ได้จำกัดพลังของเทวทูตเอาไว้ ต่อให้พวกเขาเป็นตัวแทนของพระเจ้า แต่พวกเขาก็ยังต้องทำอะไรตามกฎเกณฑ์ของโลกนี้อยู่
“เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย” เสียงของเดลต้าไม่ได้มีความวิตกแม้แต่น้อย “ดูแล้วเหมือนจะเป็นวิธีที่ทั้งประหยัดแรงแล้วก็ประหยัดเวลา เสียดายที่พวกเราไม่ต้องการเศษพลังเวทมนตร์พวกนั้นแล้ว”
ยิปซีลอนพยักหน้าโดยไม่ได้พูดอะไรตอบ
การจะทำลายโลกแห่งจิตสำนึกที่ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของพระเจ้านั้นยังมีวิธีที่ง่ายกว่าอยู่อีกวิธี นั่นก็คือทำลายผู้ที่สร้างโลกแห่งจิตสำนึกนี้ขึ้นมาซะ — พวกมันส่วนใหญ่ใช้จิตสำนึกของผู้สร้างเป็นแหล่งกำเนิด ก็เหมือนกับห้องและเสาค้ำ ขอเพียงถอนเอาเสาค้ำออก โลกนี้ก็จะถล่มลงมา พลังเวทมนตร์เหล่านั้นก็จะกลับไปสู่ดินแดนแห่งพระเจ้า
เพียงแต่โลกนี้มีขนาดใหญ่อย่างมาก การจะหาตัวผู้สร้างจากเป้าหมายจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องปรับเอาพลังเวทมนตร์จำนวนมหาศาลมาใช้ในการวิเคราะห์ มันถึงจะสามารถระบุตำแหน่งที่ชัดเจนได้
การบุกเข้าไปในเมืองปริซึมก่อนหน้านี้ก็เพื่อปลดปล่อยพลังเวทมนตร์ที่จำเป็นต้องใช้ เมื่อมีแกนพลังจำนวนมาก การวิเคราะห์จะเสร็จช้าหรือเร็วมันก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
แต่แน่นอน ถึงแม้จะหาเจอก็ไม่ได้หมายความว่าจะกำจัดได้ ผู้สร้างมักจะได้รับการปกป้องจากโลกที่เขาสร้างขึ้นมา ความพ่ายแพ้ต่างๆ ก่อนหน้านี้ก็เป็นเพราะเหตุนี้เหมือนกัน
ถ้าอยากจะสู้กับการปกป้อง ก็ต้องลากเอาผู้สร้างมาอยู่ในช่องว่างที่ซ้อนทับกันของทั้งสองโลก ที่นั่น พระเจ้าจึงจะสามารถเข้ามาแทรกแซงกฏของโลกนี้และบดขยี้ศัตรูได้
ด้วยเหตุนี้ถึงแม้จะเป็นเทวทูต มันก็มีโอกาสที่จะพ่ายแพ้เหมือนกัน
แต่เวลาเหลืออยู่ไม่เท่าไรแล้ว
พวกเขาคือความหวังสุดท้ายของพระเจ้า ถ้าแม้แต่พวกเขายังพ่ายแพ้ พระเจ้าก็จะทำลายโลกแห่งจิตสำนึกทั้งหมด ความพยายามที่ผ่านมาล้านๆ ปีจะกลายเป็นฟองอากาศ ทุกสิ่งที่ทำมาจะกลับคืนสู่ความว่างเปล่า ถ้าไม่ถึงที่สุดจริงๆ พระเจ้าไม่มีทางที่จะทำเช่นนั้นแน่
ทุกอย่างเป็นความผิดของเจ้าของโลกนี้
ยิปซีลอนกำหมัดขึ้นมา แต่มันก็คลายกำปั้นตัวเองอย่างรวดเร็ว
เอ๋ นี่มันอะไรกัน?
ทำไมเธอถึงรู้สึกโกรธ?
ในฐานะที่เป็นเทวทูต เธอน่าจะไม่มีความรู้สึกใดๆ ถึงจะถูก
ไม่มีทั้งความยินดียินร้าย ไม่กังวลว่าจะแพ้หรือชนะ นอกจากภารกิจแล้ว เธอไม่ควรจะสนใจเรื่องอื่น
เดี๋ยวๆ พอคิดแบบนี้ขึ้นมา เมื่อก่อนตัวเธอเหมือนจะไม่เคยต้องคิดถึงปัญหาพวกนี้นี่นา
“มีอะไรเหรอ?” เดลต้าสังเกตเห็นท่าทีของเธอ
“เปล่า ไม่มีอะไร…” เธอหมุนตัว ก่อนจะเดินไปนั่งตรงมุมกำแพง
การเปลี่ยนแปลงนี่มันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไรกันแน่?
ยิปซีลอนครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะค่อยๆ นึกออกว่ามันเริ่มตั้งแต่วินาทีที่เธอสังหารเทวทูตที่ทรยศ
ตอนนั้นเธอปลอมตัวไปอยู่ในกลุ่มสาวก แล้วก็ลอบเข้าไปใกล้คนทรยศที่มีแหล่งกำเนิดมาจากที่เดียวกันกับเธออย่างไร้ซุ่มเสียง จนกระทั่งในเสี้ยววินาทีที่เธอลงมา อีกฝ่ายถึงได้รู้ตัว
ที่น่าแปลกก็คือคนทรยศนั้นไม่ได้ทำการตอบโต้ใดๆ ในตอนที่แขนของเธอทะลุเข้าไปในหน้าอกของอีกฝ่าย อีกฝ่ายเพียงแต่คว้าจับแขนที่เปื้อนเลือดของตัวเธอเบาๆ จากนั้นโน้มตัวลงมาพูดกับเธอประโยคหนึ่ง
สิ่งที่อีกฝ่ายพูดเธอเองก็จำไม่ค่อยได้ แต่เสียงนั่น…กลับฟังดูคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด มันให้ความรู้สึกอบอุ่นราวกับเป็นอ้อมกอดที่ลาจากมานาน
และสิ่งสุดท้ายที่อยู่บนใบหน้าของคนทรยศคือรอยยิ้มอันเงียบสงบ
บ้าเอ้ย ตอนนี้มาคิดเรื่องพวกนี้ทำไมเนี่ย?
ไม่สิ ทำไมเราถึงต้องรู้สึกโกรธเพราะเรื่องพวกนี้ด้วย?
ยิปซีลอนพลันรู้สึกว่าในหัวมีความสับสนอย่างมาก
“เจ้าอยากจะพูดอะไร?” เดลตาเอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้ง “ที่นี่ไม่สามารถใช้จิตสำนึกในการพูดคุยได้ มีอะไรก็พูดมา”
“ข้า…”
ทันใดนั้นเอง คลื่นกระเพื่อมระลอกหนึ่งพลันกระจายออกมาจากกลางห้อง เบต้าที่ตอนแรกคุกเข่าอยู่พลันลืมตาขึ้นมา
“ค้นหาเสร็จเรียบร้อย”
“ในที่สุดก็เสร็จซักที” เดลตาหันหน้าไป “ผลเป็นยังไงบ้าง?”
เบต้าชูสองมือขึ้นมา ใบหน้าลางๆ ของคนสามคนปรากฏขึ้นมาในฝ่ามือของมัน จากนั้นเมื่อเส้นต่างๆ ถักทอเข้าด้วยกัน ใบหน้าทั้งสามจึงค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
“มีสามคนเลยเหรอ?”
“ถูกต้อง แต่พวกเราแค่รับมือสองคนที่เหลือก็พอ เพราะว่าคนแรกมันไม่อยู่แล้ว”
ยิปซีลอนอ่านข้อมูลทั้งหมดในภาพอย่างรวดเร็ว
ผู้สร้างทั้งสามคนประกอบไปด้วย
“ร่างจิตสำนึกเทวทูตผู้ทรยศ ระดับความเกี่ยวข้อง 1!% โค้ดเนมมิสต์”
“ร่างจิตสำนึกที่คิดได้ด้วยตัวเอง ระดับความเกี่ยวข้อง 42% โค้ดเนมซีโร่”
“ร่างจิตสำนึกไม่ทราบที่มา ระดับความเกี่ยวข้อง 57% โค้มเนมโรแลนด์”
………………………………………………………………………………..