Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1292 คนที่้ต้องการกับคนที่ถูกต้องการ
“ฟาร์รีน่า อาหารเช้าได้แล้ว”
โจยกจานที่มีขนมปังกับชีสครึ่งก้อนเดินมาที่หน้าประตูห้องนอน ก่อนจะยกมือขึ้นมาเคาะประตู
ในช่วงสองเดือนที่พระจันทร์สีแดงปรากฏขึ้นมา ชีวิตความเป็นอยู่ของทั้งสองคนเรียกได้ว่าเรียบง่ายอย่างมาก ทุกวันเขาจะเตรียมอาหารเอาไว้สามมื้อ จากนั้นก็ไปทำงานที่สำนักบริหาร ส่วนฟาร์รีน่านั้นไม่ค่อยจะออกมาข้างนอก ส่วนใหญ่เธอก็อยู่ในห้อง บางครั้งก็จะไหว้วานเขาให้ไปถามสถานการณ์ของเมืองเฮอร์มีสในช่วงนี้ มีแต่ตอนที่คุยถึงเฮอร์มีส ทั้งสองคนถึงจะได้พูดคุยกันเยอะหน่อย
โจไม่รู้ว่าฟาร์รีน่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่การที่ได้อยู่ข้างเธอเช่นนี้ก็นับเป็นโชคดีมากแล้ว เขาเองก็ไม่กล้าที่จะไปขออะไรมากกว่านี้อีก
แต่วันนี้ด้านหลังประตูกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
“ฟาร์รีน่า เจ้าตื่นหรือยัง?”
โจเคาะประตูอีกสองสามครั้งอย่างสงสัย
“ถึงเวลากินข้าวเช้าแล้ว”
“ฟาร์รีน่า?”
ยังคงไม่มีเสียงตอบรับใดๆ เหมือนกับภายในห้องว่างเปล่าไม่มีคนอย่างไรอย่างนั้น
โจหน้าเปลี่ยนสี เขาคิดถึงความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุดขึ้นมาทันที…
บ้าเอ้ย ทุกอย่างมันกำลังดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วไม่ใช่เหรอ?
เขาวางจานอาหารลง ก่อนจะเอาไหล่กระแทกเข้าไปที่ประตู!
เมื่อเสียงปังดังขึ้นมา ประตูก็เปิดออก
ภาพที่น่ากลัวที่สุดไม่ปรากฏขึ้น บนคานไม่มีเชือกห้อยเอาไว้ ริมเตียงก็ไม่มีรอยเลือดหยด นี่ทำให้โจรู้สึกโล่งใจ ขอเพียงอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ ทุกอย่างมันก็ยังไม่สายเกินแก้
แต่ความรู้สึกโชคดีตรงนี้ก็คงอยู่แค่ไม่กี่อึดใจ หัวใจเขาพลันตกไปอยู่ที่ตาตุ่มอีกครั้ง
ภายในห้องนอนเล็กๆ แค่กวาดตามองก็เห็นทุกอย่าง ฟาร์รีน่าไม่อยู่ในห้อง
ทุกอย่างสะอาดสะอ้านเหมือนวันแรกที่ทั้งสองคนย้ายเข้ามา
โจค่อยๆ เดินไปที่โต๊ะ เมื่อหนึ่งวันก่อนหน้าที่บนโต๊ะตั้วนี้ยังมีหนังสือเกี่ยวกับศาสนจักรและเกรย์คาสเซิลรายสัปดาห์วางอยู่เต็มไปหมด แต่ตอนนี้บนโต๊ะกลับว่างเปล่า
เธอ…ไปแล้ว
ในตอนที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา โจพลันรับรู้ได้ถึงความรู้สึกเจ็บปวด
เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่การตัดสินใจเพียงชั่ววูบของฟาร์รีนา
แม้แต่ฝุ่นตรงมุมโต๊ะเธอก็เช็ดจนสะอาด แต่เธอกลับไม่ได้ทิ้งข้อความอะไรไว้เลย
เพื่อที่จะได้ไม่รบกวนให้ตัวเองมาเก็บกวาดให้งั้นเหรอ….
โจนั่งลงที่โต๊ะอย่างเฉยชา
อีกฝ่ายไปที่ไหน? เฮอร์มีส? บ้านเกิด? หรือว่าไปจบชีวิตตัวเองลงในป่าที่ไม่มีคนซักแห่ง?
เขาไปหาเธอได้…แต่ โลกกว้างใหญ่ขนาดนี้ เขาจะมีโอกาสหาฟาร์รีน่าเจอซักเท่าไรกันเชียว? ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายก็ไม่ได้ทิ้งข้อความอะไรเอาไว้เลย นี่แสดงให้เห็นว่าเธออยากจะหายตัวไปเงียบๆ แบบนี้ ต่อให้เขาหาเธอเจอแล้วจะทำอะไรได้?
พอคิดถึงชีวิตของตนหลังจากนี้จะไม่มีหญิงสาวคนนั้นอีกแล้ว โจพลันรู้สึกเหมือนในใจตนมีความว่างเปล่าปรากฏขึ้นมา แม้แต่ความคิดเองก็หยุดลง เหมือนว่าหัวสมองเขาปฏิเสธที่จะคิดอะไรต่ออย่างนั้น…
สุดท้ายแล้วเขาก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เลย
“อรุณสวัสดิ์ โจ”
ทำไมถึงไม่สังเกตเห็นให้เร็วกว่านี้ ทำไมถึงมีความสุขอยู่กับชีวิตที่เรียบง่าย?
“โจ?”
สรุปแล้วที่ทำไปก็เพราะต้องการเติมเต็มความต้องการของตัวเองเท่านั้น แต่เขากลับไม่เคยคิดเลยว่าแท้ที่จริงอีกฝ่ายต้องการอะไรกันแน่
“โจ!”
จนกระทั่งมีมือข้างหนึ่งมาจับหน้าเขาให้หันไป เขาถึงได้พบว่าด้านหลังตนที่คนอยู่อีกคนหนึ่ง
“เจ้าบ่นอะไรอยู่คนเดียวเนี่ย?”
โจกะพริบตา
ฟาร์รีน่า
เธอกำลังขมวดคิ้วและมองเขาด้วยสีหน้าสงสัย “สมองเจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
“เจ้า…ไม่ได้ไปแล้วเหรอ?” โจคว้าแขนเธอไว้เหมือนไม่อยากจะเชื่อ “หรือว่าเจ้าตัดสินใจที่จะอยู่ต่อแล้ว?”
“หา?” ฟาร์รีน่าทำสีหน้าแปลกๆ ออกมา แต่เธอกลับไม่ได้สะบัดมือของเขาทิ้ง “อะไรไปไม่ไป ข้าแค่ไปที่สำนักบริหารมาเท่านั้นเอง”
ทั้งสองคนสบตากันอยู่ครู่ จากนั้นโจจึงพูดอย่างเขินๆ ขึ้นมา “อย่างนั้น….เจ้าไปสำนักบริหารทำไม?”
“ไปถามเรื่องคุณสมบัติในการสมัครงาน” น้ำเสียงฟาร์รีน่าฟังดูจริงจังขึ้นมา “ข้าเห็นในหนังสือพิมพ์ลงประกาศรับสมัครคนขับรถบรรทุกของเมือเนเวอร์วินเทอร์
“รถ…บรรทุก?” โจงุนงง
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ดูจากคำอธิบายแล้วน่าจะคล้ายๆ กับรถม้า ไม่ว่าจะขี่ม้าหรือขับรถม้าข้าก็ล้วนแต่ถนัด ข้าก็เลยคิดว่าบางทีนี่น่าจะเป็นโอกาส”
โอกาส? ความรู้สึกที่เหมือนจะใกล้ชิดก็ไม่ใช่จะห่างเหินก็ไม่เชิงปรากฏขึ้นมาในใจโจอีกครั้ง เขายังไม่ยอมปล่อยมือจากฟาร์รีน่า “ทำไมจู่ๆ เจ้าถึงคิดจะไปสมัครเป็นคนขับรถบรรทุกล่ะ?”
ฟาร์รีน่านิ่งเงียบอยู่ครู่ก่อนจะเอ่ยปากขึ้นมา “หลังคิดมาซักพัก ในที่สุดตอนนี้ข้าก็เข้าใจแล้ว อันดับแรก จุดประสงค์ในการก่อตั้งศาสนจักรขึ้นมาคือการช่วยเหลือโลกให้พ้นจากภัยพิบัติและพามนุษย์เดินออกมาจากเงามืดจริงๆ นี่ไม่ใช่การป่าวประกาศของศาสนจักรแต่เพียงฝ่ายเดียว หากแต่โรแลนด์ วิมเบิลดันเองก็ยอมรับว่ามันไม่ใช่เรื่องโกหกด้วย เพียงแต่ว่าการทรยศของคนบางคนในศาสนจักรถึงได้ทำให้ศาสนจักรต้องเดินมาผิดทางแบบนี้”
“แล้วยังไงต่อ…”
“อย่างนั้นปัญหาต่อไปก็อยู่ที่ว่าราชาแห่งเกรย์คาสเซิลจะต่อสู้เพื่อมนุษย์อย่างที่เขาได้พูดเอาไว้จริงๆ หรือไม่ ในเมืองเนเวอร์วินเทอร์ข้าได้เห็นพระจันทร์สีแดงที่เป็นสัญลักษณ์ของสงครามแห่งโชคชะตา ได้เห็นเมืองที่เจริญรุ่งเรือง แล้วก็แม่มดที่ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติธรรมดาทั่วไป สิ่งเหล่านี้เหมือนกับคำพูดที่ป่าวประกาศเอาไว้ทั้งหมด มีเพียงสิ่งเดียวที่ยังไม่อาจพิสูจน์ได้ นั่นก็คือปีศาจที่พยายามจะฆ่าล้างมนุษย์”
“แต่ในคำสั่งเสียของท่านทัคเกอร์ก็พูดถึงปีศาจเอาไว้จริงๆ นี่นา” โจพูดงึมงำ
“ถูกต้อง เพียงแต่ว่าข้าไม่เคยเห็นมันด้วยตาตัวเอง กองทัพของโรแลนด์กำลังไปทำศึกกับศัตรูที่มาจากนรกเหล่านี้อยู่” ฟาร์รีน่าพยักหน้า “ข้าไม่อยากจะทำผิดซ้ำเหมือนอย่างเมื่อก่อนนี้อีกแล้ว มีแต่ต้องไปเห็นด้วยตาตัวเองข้าถึงจะเชื่อ”
“หรือว่าเจ้าอยากจะไปวูล์ฟฮาร์ท” โจลืมตาโต
“ใช่” ฟาร์รีน่าตอบอย่างไม่ลังเล “ข้าที่มาจากศาสนจักรไม่สามารถยื่นสมัครเข้ากองทัพที่หนึ่งได้ ดังนั้นจึงได้แต่ต้องเปลี่ยนวิธี คนขับรถบรรทุกจำเป็นต้องขนของไปยังแนวรบหน้าสุดของสนามรบ และที่นั่นข้าก็จะได้เห็นทุกอย่างที่ข้าต้องการ”
เธอถึงได้ไปสอบถามเรื่องการสมัครเป็นคนขับรถที่สำนักบริหาร…
โจถามอย่างระมัดระวัง “ถ้ามันเป็นเรื่องจริงแล้วจะเป็นยังไง ถ้าไม่ใช่เรื่องจริงแล้วจะเป็นยังไง?”
“ถ้าทุกอย่างเป็นเรื่องจริง ข้าก็จะใช้ชีวิตที่เหลือชดเชยในความผิดทั้งหมดที่ข้าเคยทำมา” ฟาร์รีน่าตอบอย่างไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว เห็นได้ชัดว่าเธอครุ่นคิดว่าดีแล้ว “ถึงแม้ข้าจะไม่เคยจับแม่มดด้วยมือข้าเอง แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าทุกสิ่งที่ศาสนจักรทำมันจะไม่เกี่ยวกับตัวข้า ในฐานะที่เป็นหนึ่งในกองทหารพิพากษา ข้าเองก็ถือเป็นเขี้ยวเล็บของผู้ทรยศเหมือนกัน” เธอชะงักไปเล็กน้อย “ถ้าทุกอย่างมันเป็นเรื่องหลอกลวง อย่างนั้นข้าก็จะกลับไปที่เฮอร์มีส แล้วดูว่าจะช่วยศาสนจักรทำอะไรได้บ้าง..”
นี่คือคำตอบจากการที่เธอนิ่งเงียบมาจนถึงตอนนี้
โจค่อยๆ ปล่อยมือ เขาไม่มีเหตุผลอะไรที่จะรั้งเธอเอาไว้เลย ไม่หลบหนีความผิดพลาดในอดีต แล้วก็ไม่ทิ้งคำสั่งเสียของทัคเกอร์ที่สั่งไว้ก่อนตาย แถมยังเดินไปบนเส้นทางแห่งความเป็นจริง เธอแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดเอาไว้เสียอีก ในเวลานี้นอกจากคอยสนับสนุนอยู่เงียบๆ แล้ว ข้ออ้างและการเหนี่ยวรั้งมีแต่จะทำลายเธอ
แต่จุดจบของเรื่องยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
ทันทีที่กลายเป็นคนขับรถมุ่งหน้าไปยังวูล์ฟฮาร์ท เธอก็ย่อมไม่มีทางอยู่ที่นี่ต่อ ด้วยเหตุนี้เธอถึงได้เก็บข้าวของในห้องทั้งหมด
สุดท้าย…ฟาร์รีน่าก็ยังจากตัวเองไปอยู่ดี
“ข้า…” โจสูดหายใจ ด้วยกลัวว่าความเจ็บปวดภายในใจมันจะระเบิดออกมา
“เออใช่ ข้ายังมีเรื่องจะขอร้องเจ้าอีกเรื่องหนึ่ง” ฟาร์รีน่าชิงพูดออกมาก่อน “รถบรรทุกหนึ่งคันต้องการคนขับสองคน ข้าอยากจะให้เจ้าไปกับข้า”
“เอ๋?” เขาตกตะลึงไปทันที
“บอกตามตรง ข้าไม่ได้ติดต่อกับคนข้างนอกมานานมากแล้ว ข้าไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะทำเรื่องนี้สำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว” เธอเบือนหน้าหนีอย่างเขินๆ “แต่เจ้าจะปฏิเสธข้าก็ได้นะ…เพราะตอนนี้เจ้ามีงานที่มั่นคงแล้ว แถมเงินเดือนก็ดีด้วย ข้ารู้ว่าข้าไม่ควรจะพูดเรื่องนี้ เพียงแต่ว่า…”
“เพียงแต่ว่าอะไร?” โจถามทันที
ฟาร์รีน่าชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะหันมาสบตาเขาแล้วพูดว่า “เพียงแต่ว่าข้าต้องการเจ้า”
นี่คือคำพูดที่โจเคยพูดกับเธอ แล้วก็เป็นครั้งแรกที่เขาเคยได้คำพูดนี้จากปากของอีกฝ่าย
คนที่ถูกต้องการกลายเป็นคนต้องการ ส่วนคนต้องการก็กลายเป็นคนที่ถูกต้องการ….งั้นเหรอ? ความว่างเปล่าภายในใจหายไปแล้ว ความรู้สึกเติมเต็มซึ่งกันและกันไหลทะลักเข้ามาจนเต็มหัวใจของเขา
“กินข้าวเช้าก่อนเถอะ เย็นหมดแล้ว” โจถอนหายใจออกมา
“เฮ้….”
ความจริงเธอไม่จำเป็นต้องถามเขาเรื่องนี้เลย
ถูกเนรเทศหนีตายไปวูล์ฟฮาร์ทด้วยกันยังไปมาแล้วเลย นับประสาอะไรกับการขับรถตามกองทัพไปล่ะ?
“กินเสร็จแล้วเราไปลงชื่อด้วยกัน” เขาพูดยิ้มๆ
…………………………………………………………………