Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1300 โจมตี!
การบินในฤดูหนาวนั้นไม่ใช่เรื่องที่สบายเลย
ถึงแม้เหล่าอัศวินอากาศจะสวมใส่หมวกหนังสุนัขจิ้งจอก ผ้าพันคอขันสัตว์และแว่นกันลม แต่ผิวหนังบนใบหน้าบางส่วนยังคงรู้สึกได้ถึงความหนาวที่เสียดกระดูก
เพราะว่ากระจกกันลมของเฮฟเว่นเฟลมนั้นตั้งอยู่ด้านหน้า ในตอนที่ลมเปลี่ยนทิศหรือเครื่องบินมีการเปลี่ยนทิศทางการบิน ลมหนาวก็ยังพัดพาเอาเกล็ดหิมะปลิวเข้ามาในห้องโดยสารอยู่
แต่กู๊ดก็เข้าใจว่าทำไมถึงต้องออกแบบแบบนี้
บนหัวเขาคือปีกขนาดใหญ่ ทัศนวิสัยด้านหน้ามีแค่เส้นเล็กๆ ยาวๆ ถ้าอยากจะดูสถานการณ์บนพื้นดิน วิธีเดียวที่ทำได้ก็คือชกโงกหน้าออกไปจากห้องโดยสาร ความจริงแล้วนี่เป็นเรื่องที่เขากับฟินกิ้นทำบ่อยที่สุดเลยก็ว่าได้ อัศวินอากาศไม่ได้เป็นเหมือนทหารธรรมดาที่ลงไปในสนามรบแล้วก็ชักอาวุธออกมาสู้กัน ถ้าไม่รู้ตำแหน่งของศัตรูล่วงหน้า แค่จะหาเป้าหมายจากบนอากาศก็ถือเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากแล้ว
เพราะว่าในระยะทางที่มากกว่าพันกิโลเมตร เฮฟเว่นเฟลมแทบจะมีขนาดเล็กเท่ากับมดเท่านั้น นั่นยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่อยู่บนพื้นเลย
เกรงว่านี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้เครื่องบินปีกสองชั้นต้องมีนักบินสองคน ตาสองคู่ยังไงก็ต้องมองได้ไกลกว่าคู่เดียวแน่นอน
“เจออะไรไหม?”
เขาหันหน้าไปถาม
เมื่อประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ เหล่าอัศวินอากาศได้บินผ่านเมืองกัสต์มา เมื่อคำนวณดูจากแผนที่แล้ว ถ้าศัตรูยังคงไล่ตามชาวบ้านที่อพยพอยู่ พวกมันก็น่าจะยังอยู่ในละแวกนี้ เพื่อที่จะค้นหาเป้าหมายให้ได้โดยเร็ว เครื่องบินทั้งสี่ลำจึงได้กระจายตัวออกไปรูปพัดโดยอิงทิศเหนือเป็นเส้นกึ่งกลาง
ซึ่งนี่ก็เป็นวิธีการค้นหาด้วยเครื่องบินหลายลำตามที่เขียนเอาไว้ใน ‘คู่มือการบิน’
ตามทฤษฎีแล้วขอเพียงไม่ออกนอกเส้นทาง เครื่องบินทั้งสี่ลำก็เพียงพอที่จะปกคลุมพื้นที่ 200 กิโลเมตร แต่เมื่อคำนึงถึงผลกระทบจากสภาพอากาศ เครื่องบินแต่ละกลุ่มจึงไม่ได้ทิ้งระยะห่างจากกันมากนัก นี่ทำให้พื้นที่ที่เป็นรูปพัดจึงหดเล็กลงกว่าเดิมอย่างมาก
“ไม่มีอะไรเลย!” ฟินกิ้นยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมาพร้อมตะโกนเสียงดัง “คงไม่ใช่ว่าปีศาจมันไล่ตามผู้อพยพทัน จากนั้นก็ฆ่าพวกเขาจนหมดแล้วกลับไปแล้วหรอกนะ”
“อย่างนั้นเจ้าก็น่าจะเห็นกองซากศพจำนวนมากถึงจะถูก!”
“ก็จริง เดี๋ยวข้าพยายามดูอีกหน่อย…ขอให้หิมะอย่าเพิ่งกลบพวกเขาไปจนหมดแล้วกัน” ฟินกิ้นพูดงึมงำ “เพื่อน เจ้าบินลงไปต่ำหน่อยได้ไหม?”
กู๊ดกดหัวเครื่องบินลง ขณะเดียวกันก็เหลือบมองดูเข็มทิศกับเครื่องวัดระดับความสูง
นี่เป็นตัวเลขสำคัญที่ทำให้เฮฟเว่นเฟลมรู้ว่าตัวเองตอนนี้อยู่ที่ไหน
แต่ว่าใน ‘คู่มือการบิน’ ก็มีการเตือนเอาไว้เหมือนกันว่าอย่าเชื่อเครื่องวัดเกินไป ‘เพราะความสามารถทางด้านเทคโนโลยีของฝ่าบาทยังมีจำกัด จึงทำให้เครื่องวัดมีความผิดพลาดเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะในตอนที่สภาพอากาศ ระดับความสูงและลักษณะภูมิประเทศเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว อย่าลืมชะโงกหน้าออกไปดูข้างนอกบ่อยๆ ทิลลี วิมเบิลดัน’
“มากที่สุดแค่ 300 เมตร ต่ำกว่านี้ไม่ได้แล้ว ที่นี่ไม่เหมือนดินแดนตะวันตกของเกรย์คาสเซิลที่มีแต่ที่ราบ”
เขายังไม่ทันพูดจบ ฟินกิ้นก็พูดตัดบทเขาขึ้นมา “ทางด้านขวา 2 องศา! ตรงนั้นเหมือนมีความเคลื่อนไหว!”
กู๊ดหน้าตาเคร่งเครียดขึ้นมา เขาปรับทิศทางการบินทันที
นอกจากเสียงลมและเสียงเครื่องยนต์แล้ว กู๊ดแทบจะไม่ได้ยินเสียงอะไรอย่างอื่นเลย ด้วยเหตุนี้ความเคลื่อนไหวที่เพื่อนของเขาพูดถึงจะต้องไม่ได้หมายถึงเสียงแน่นอน หากแต่เป็นความเคลื่อนไหวที่มองเห็นได้ด้วยดวงตา และในพื้นที่รกร้างที่อยู่ในสภาพอากาศแบบนี้ การที่มีความเคลื่อนไหวมันก็ยิ่งน่าสงสัยเข้าไปใหญ่
ไม่นาน สายตาของกู๊ดก็มองเห็นความผิดปกติ บนเนินเขาลูกหนึ่ง ท่ามกลางหิมะที่ตกโปรยปรายลงมา เขามองเห็นเงาดำเป็นจำนวนมาก พวกมันไม่ได้กระจัดกระจาย หากแต่เรียงต่อเป็นเส้นยาวจำนวนหลายเส้น มองดูไกลๆ แล้วคล้ายกับเส้นผมที่ตกลงไปบนหิมะ
“นั่นมัน…รอยเท้า?”
เสียงตะโกนของฟินกิ้นช่วยตอบความสงสัยของเขา “ใช่ ข้าคิดว่าพวกเขาน่าจะเป็นผู้อพยพที่องค์หญิงบอก! บนเนินเขามีคนกำลังเคลื่อนไหวอยู่จริงๆ ไม่ใช่แค่คนสองคน! พระเจ้า ปีศาจกำลังไล่ฆ่าพวกผู้อพยพ ข้ามองเห็นศพมากกว่าร้อยศพ! ดูจากร่างกายพวกมันแล้ว พวกมันน่าจะเป็นปีศาจคุ้มคลั่ง จำนวนของพวกมันมีประมาณ 30 – 40 ตัว!”
“ส่งสัญญาณเถอะ!” กู๊ดไม่ลังเลอีก เขากดคันบังคับลง “พวกเราลงไปก่อน!”
หลังจากมีเสียง ‘ฟึบ’ ดังขึ้นมา สัญญาณสีเขียวสามดวงก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ดูแล้วตัดกับพระจันทร์สีแดงที่ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าอย่างชัดเจน
เครื่องบินพุ่งลงไปหาเนิน ระยะห่างของทั้งสองฝั่งลดลงอย่างรวดเร็ว ในตอนที่พวกเขาห่างจากยอดเนิน 400 – 500 เมตร ในที่สุดกู๊ดก็มองเห็นผู้อพยพที่กำลังล้มลุกคลุกคลานอยู่บนพื้นหิมะ พวกเขาวิ่งลงเนินไปอย่างหวาดกลัว มีหลายคนที่กลิ้งตกลงไปด้านล่าง จุดจบของพวกเขาจะเป็นอย่างไรก็คงจะรู้ๆ กันอยู่
ส่วนปีศาจคุ้มคลั่งที่อยู่ด้านหลังค่อยๆ กลืนกินกลุ่มผู้อพยพทีละน้อย ศัตรูแทบจะไม่ได้แสดงพละกำลังหรือความเร็วที่เหนือมนุษย์ออกมาเลย แทนที่จะบอกว่าไล่ฆ่า พวกมันเหมือนกำลังเล่นเกมฆ่าเวลาอยู่ต่างหาก
กู๊ดรู้สึกเลือดลมพุ่งพล่านทันที
เขานึกถึงเรื่องการยิงที่ได้เรียนมา ก่อนจะหันหัวเครื่องบินเล็งไปยังปีศาจคุ้มคลั่งที่อยู่บนยอดเนิน จนกระทั่งหัวเครื่องบินกับปีศาจคุ้มคลั่งเชื่อมต่อกันกลายเป็นเส้นตรง เขาจึงกดเหนี่ยวไก
ปืนกลตรงหัวเครื่องบินส่งเสียงคำรามออกมาทันที!
นี่เป็นวิธีที่ทำให้เฮฟเว่นเฟลมยิงถูกเป้าหมายได้ง่ายที่สุด บนความสูง 200 – 300 เมตร เขาแทบจะไม่ต้องคิดถึงวิถีกระสุนเลย ตำแหน่งที่หัวเครื่องบินชี้ไปก็คือทิศทางที่กระสุนจะวิ่งผ่าน ต่อให้เป็นเขาก็ไม่มีทางพลาดโอกาสแบบนี้แน่!
กระสุนที่สาดออกไปลาก ‘เส้นแบ่งเขต’ ขึ้นมาบนพื้นหิมะทันที!”
ในเวลานี้ปีศาจเองก็สังเกตเห็นนกยักษ์ที่พุ่งลงมาจากบนท้องฟ้าเหมือนกัน พวกมันดึงหอกพร้อมส่งเสียงร้องแปลกๆ ก่อนจะยกหอกเล็งมาทางเฮฟเว่นเฟลมโดยไม่ได้มีทีท่าว่าจะหลบแม้แต่น้อย
ในเวลานี้เอง เส้นแบ่งเขตนั้นไม่สามารถหยุดยั้งฝูงปีศาจเอาไว้ได้
สิ่งที่มันแบ่งออกมาคือความเป็นหรือความตายเท่านั้น
หัวกระสุนโลหะส่งเสียงหวีด ก่อนจะพุ่งทะลุร่างกายของปีศาจคุ้มคลั่ง บนเสาหิมะที่พุ่งขึ้นมาเสาแล้วเสาเล่ามีสีน้ำเงินแต้มเป็นจุดๆ หมอกเลือดสีน้ำเงินพ่นออกมาจากข้างหลังปีศาจที่ถูกยิงเข้าที่หน้าอก แขนและขาที่ถูกยิงกระเด็นขาดออกมาจากร่างกาย เศษเนื้อและแขนขากระเด็นกระดอนไปทั่ว การไล่ล่าของศัตรูหยุดชะงักลง
หลังยิงเสร็จไปรอบหนึ่ง หอกของปีศาจเพิ่งจะพุ่งออกมา แต่เสียดายที่ความสูงระดับนี้ หอกของศัตรูไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับเฮฟเว่นเฟลมได้ ถึงแม้จะลอยมาถึง ตัวหอกก็ได้สูญเสียพลังและความเร็วไปหมดแล้ว การจะสร้างความเสียหายให้กับเครื่องบินที่กำลังบินด้วยความเร็วสูงจึงไม่มีทางเป็นไปได้เลย
แต่การโจมตีของเฮฟว่นเฟลมยังไม่จบ
ในขณะที่กู๊ดเชิดหัวเครื่องบินขึ้น นั่นก็เป็นเวลาที่มือยิงด้านหลังคนขับจะได้แสดงฝีมือ
ฟินกิ้นกราดยิงไปบนยอดเขา แต่เมื่อเทียบกับการพุ่งยิ่งที่อาศัยหัวเครื่องบินในการช่วยเล็งในตอนแรกแล้ว การยิงเสริมของเขาจำเป็นอาศัยแต่ประสบการณ์เท่านั้น
ในเวลานี้พวกปีศาจเหมือนจะรู้ตัวว่านกแปลกๆ บนท้องฟ้านั้นไม่ใช่สัตว์อสูรพันธุ์ผสมหรือสัตว์ประหลาดอะไร หากแต่เป็นอาวุธที่มนุษย์สร้างขึ้นมา! แต่ถึงจะรู้ตัวมันก็ไม่ได้ช่วยให้พวกมันแก้ไขสถานการณ์ในตอนนี้ได้ ไม่ว่าจะซ่อนตัวหรือว่าสู้ตายก็ล้วนแต่ไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าเฮฟเวนเฟลมที่บินอยู่บนท้องฟ้า แม้แต่ความหวังที่จะหลบหนีก็ดูริบหรี่อย่างมาก
ในสงครามแห่งโชคชะตาในอดีต มนุษย์สิ้นหวังเมื่ออยู่ต่อหน้าอสูรสยองที่บินได้เร็วกว่าสูงกว่าแค่ไหน ตอนนี้ปีศาจคุ้มคลั่งก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน หรือบางทีอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง กู๊ดก็พุ่งลงมาหาปีศาจอีกครั้ง
นอกจากนั้นเครื่องบินอีกสองล้ำก็ปรากฏตัวขึ้นบนขอบฟ้า
เมื่อถูกกระหนาบโจมตีจากหลายด้าน ปีศาจก็เริ่มหันหน้าวิ่งหนีไปด้านหลัง อัศวินอากาศบินตามไปติดๆ เพื่อฉวยโอกาสตอนที่ยังได้เปรียบสังหารศัตรูให้ได้มากที่ีสุด
ไม่ว่าจะเป็นกู๊ดหรือว่าฟินกิ้นต่างก็ไม่ได้รู้ตัวเลยว่านี่เป็นครั้งแรกในช่วงระยะเวลาเกือบพันปีของการปะทะกันของทั้งสองเผ่าพันธุ์ที่ฝ่ายที่มีจำนวนน้อยกว่าไล่ล่าฝ่ายที่มีจำนวนมากกว่า ถึงแม้จะเป็นหน่วยที่ทำการอพยพชาวบ้านของกองทัพที่หนึ่ง พวกเขาก็ยังไม่กล้าเปิดฉากโจมตีใส่ศัตรูในสถานการณ์ที่ตัวเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบในเรื่องจำนวนคนเลย แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าปีศาจคุ้มคลั่งจำนวน 40 – 50 ตัวนี้กลับมีแค่เครื่องบิน 3 ลำที่มีคนรวมกันแล้วแค่ 6 คนเท่านั้น
…………………………………………………………………..