Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1302 คนเจ้าแผนการ
หลังจากนั้น 5 วัน
“ไม่ทราบว่านั่นใช่องค์หญิงหรือเปล่าเพคะ?”
“ใช่เพคะ ทางศูนย์บัญชาการเพิ่งจะได้ข่าวมา รายละเอียดจำนวนคนยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ แต่อย่างน้อยก็น่าจะมีมากกว่า 600 คนเพคะ”
“กองทหารที่ประจำการอยู่ที่เมืองกัสต์รับตัวพวกเขาเอาไว้แล้ว หลังพักผ่อนแล้วพวกเขาน่าจะเดินทางต่อไปที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์เพคะ”
“ไม่เพคะ นี่เป็นสิ่งที่พวกหม่อมฉันควรจะทำเพคะ”
“ขอบพระทัยพระองค์มากเพคะ พระองค์พักผ่อนเยอะๆ นะเพคะ”
เอดิธส์รายงานเสร็จ จากนั้นจึงวางโทรศัพท์ลง
ในฐานะที่เป็นเครื่องมือการสื่อสารที่ดีที่สุดในเวลานี้ โทรศัพท์ได้กลายเป็นเครื่องมือที่ทางทีมที่ปรึกษาไม่อาจขาดได้ เพียงแต่ตอนนี้ยังมีข้อจำกัดในเรื่องระยะทาง ปัจจุบันมีแค่ค่ายของอัศวินอากาศที่นอกเมืองธอร์นเท่านั้นที่สามารถต่อสายมาที่ภูเขาเคจเมาเธ่นได้
เธอหันหน้ากลับมา ก่อนจะเห็นแลนซ์ เคนท์ซึ่งเป็นน้องชายคนที่สามกำลังทำหน้าตกใจ
“มีอะไรหรือเปล่า?”
แลนซ์ไม่เหมือนกับโคลที่เป็นน้องชายคนที่สอง เอดิธส์ใช้เส้นสายในการดึงตัวแลนซ์เข้ามาอยู่ในกองเสนาธิการทหารใหญ่หลังจากที่สอบผ่านการศึกษาขั้นพื้นฐานเสร็จ ด้วยนิสัยของน้องชายคนที่สามที่มีความคล่องตัวมากกว่า เธอจึงคิดว่าจะเหมาะกว่าถ้าให้เธอเป็นคนดูแลเขาเอง
แต่แน่นอน เธอจะได้มีความสุขที่ได้เห็นอีกฝ่ายเจ็บปวดเวลาที่ถูกทรมานในระยะใกล้ๆ ด้วย
“เอ่อ…เปล่า ไม่มีอะไร ข้าเพียงแค่แปลกใจ ที่แท้ท่านพี่ก็ให้ความเคารพคนอื่นเป็นเหมือนกัน” แลนซ์หอบกองเอกสารเดินเข้ามา “เมื่อก่อนต่อให้คุยกับท่านพ่อ ท่านยังไม่เคยเกรงใจขนาดนี้เลย”
“ข้านึกว่าหลังจากบรรลุนิติภาวะแล้ว สมองเจ้าจะฉลาดขึ้นหน่อยนะเนี่ย” เอดิธส์พูดอย่างไม่ถือสา “ที่ข้าพูดกับท่านพ่ออย่างนั้น เพราะท่านพ่อไม่มีทางว่าอะไรข้า แต่ทิลลี วิมเบิลดันเป็นน้องสาวของฝ่าบาทโรแลนด์ ถ้าพระองค์ไปพูดว่าข้าไร้มารยาทต่อหน้าพี่ชาย เจ้าคิดว่าอนาคตของตระกูลเคนท์จะเป็นยังไง?”
“แต่ข้ามักจะรู้สึกว่า กับฝ่าบาท….ท่านก็ยังไม่เคารพขนาดนี้เลย…”
“เพราะฝ่าบาทเป็นผู้ชาย บางครั้งการที่เรารุกบ้างมันกลับจะทำให้ได้ผลที่คาดไม่ถึงได้”
“เอ่อ…ข้าไม่ค่อยเข้าใจ…”
“ใจคนเรายากแท้หยั่งถึง เจ้าไม่เข้าใจมันก็ไม่แปลกหรอก” เอดิธส์ยักไหล่ “ต่อให้เจ้ามีความสามารถนับร้อยนับพัน แต่ถ้าไม่เข้าใจใจคน เขาก็ยังไม่อาจกลายเป็นผู้ชนะที่แท้จริงได้”
“ท่านพี่ ท่านสอนข้าหน่อยได้ไหม?” แลนซ์ถามอย่างมีหวัง
“ได้สิ” เอดิธส์กวาดตามองเขาอย่างสนใจ “แต่ถ้าอธิบายปากเปล่าเพียงอย่างเดียว มันสู้เจ้ามาลองเรียนรู้ด้วยตัวเองไม่ได้หรอก อย่างเช่นโคล เขาทำเรื่องนี้ได้ดีมากเลย ว่าไง เจ้าอยากจะลองดูไหม?”
แลนซ์รู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมา เมื่อคิดถึงสภาพพี่ชายตอนที่อยู่ในบ้านแล้ว เขาพลันกลืนน้ำลายทันที “เอ่อ…ข้าว่าข้ารออีกหน่อยดีกว่า”
ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือหันหน้ากลับ “เจ้าตัดสินใจเองนะ”
แลนซ์ที่เพิ่งจะรอดพ้นจากอันตรายมารีบเปลี่ยนประเด็น “เออใช่ ท่านโทรไปรายงานองค์หยิงเรื่องที่ผู้อพยพเดินทางมาถึงอย่างปลอดภัยเหรอ?”
เอดิธส์พยักหน้า “เพราะว่าองค์หญิงทิลลีทรงมอบหมายเรื่องนี้ในทางทีมที่ปรึกษาจัดการทันทีที่กลับมา ข้าจึงต้องรีบรายงานพระองค์ทันทีถึงจะถูก”
ภารกิจช่วยเหลือครั้งนี้เรียกได้ว่าเหนือความคาดหมายของทุกคน อัศวินอากาศไม่เพียงแต่จะไปถึงสนามรบที่อยู่ห่างออกไป 200 กิโลเมตรในเวลาเพียง 1 ชั่วโมงกว่าแล้วช่วยเหลือผู้อพยพมาได้จำนวนมาก แต่พวกเขายังทำลายแผนการของพวกปีศาจด้วย
ถูกต้อง นี่ไม่ใช่การไล่ฆ่าธรรมดา เมื่อดูจากเบาะแสที่ได้มาแล้ว เกรงว่าผู้อพยพจะเป็นแค่เพียงเหยื่อที่ศัตรูโยนออกมาล่อกองทัพที่หนึ่งเท่านั้น การโจมตีที่แท้จริงนั้นแอบซ่อนอยู่ด้านหลังกลุ่มปีศาจที่ไล่ฆ่าพวกผู้อพยพ
สมมติว่ากองทัพที่หนึ่งส่งทีมช่วยเหลือออกไปจริงๆ จะเป็นยังไง?
เนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่ดี ระยะทางที่ยาวไกล ถ้าอยากจะไปถึงที่หมายให้ได้เร็วที่สุดก็ต้องพกสิ่งของไม่เยอะ อีกทั้งต้องเดินทางทั้งวันทั้งคืน ส่วนปีศาจนั้นก็แค่ยื้อเวลาในการไล่ฆ่าให้ยืดยาวออกไป กระทั่งทั้งสองฝ่ายมาปะทะกัน ทีมช่วยเหลือก็จะพบว่าสิ่งที่ตัวเองต้องเผชิญนั้นไม่ได้มีแค่กองทัพที่มีจำนวนเยอะกว่าตัวเอง หากแต่ยังต้องรับมือกับการโจมตีของอสูรสยองด้วย
ต่อให้รีบถอยทันที แต่พวกเขาก็ต้องฝ่าพายุหิมะกลับมาอีกเป็นร้อยกิโลเมตร สุดท้ายจะมีกี่คนที่รอดชีวิตกลับมาได้? เกรงว่าอาจจะไม่รอดกลับมาเลยซักคนด้วยซ้ำ
นี่คือครั้งแรกที่พวกปีศาจมันทำการหยั่งเชิงการถอนกำลังของกองทัพที่หนึ่ง
ถึงแม้กองทัพที่หนึ่งจะไม่สนใจผู้อพยพหรือว่าไม่สังเกตเห็นการไล่ฆ่าครั้งนี้ มันก็ไม่ได้สร้างความเสียหายอะไรให้กับปีศาจเลย
พวกมันน่าจะสังเกตเห็นว่าคนเกรย์คาสเซิล วูล์ฟฮาร์ทและอีเทอร์นอลวินเทอร์นั้นมีความแตกต่างกันอยู่ ต่อให้สังหารชาวบ้านไปมากเท่าไรมันก็ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อการแพ้ชนะในสงครามแห่งโชคชะตา แต่หากทำลายทีมสนับสนุนไป นั้นจะทำให้กองกำลังของทางฝ่ายมนุษย์อ่อนแอลงได้
แต่การปรากฏตัวของอัศวินอากาศได้ทำให้แผนการซุ่มโจมตีครั้งนี้ต้องล้มเหลว
ทุกอย่างนั้นคล้ายกับศึกปืนใหญ่นอร์ธบาวด์เมื่อหนึ่งปีก่อน ศัตรูกับกองทัพที่หนึ่งต่างก็วิเคราะห์โดยมองที่ผลประโยชน์ของตัวเอง แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ต่อให้ทิลลีไม่เห็นกองกำลังที่แอบซ่อนอยู่ด้านหลัง สถานการณ์ก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง
สุดท้ายฝูงบินก็กลับมาอย่างปลอดภัย ส่วนผู้อพยพก็มีชีวิตรอด เรียกได้ว่าเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่
“อัศวินอากาศนี่สุดยอดจริงๆ เลย….” แลนซ์อุทานออกไป “ไม่เพียงแต่จะกำจัดปีศาจคุ้มคลั่งไปได้ตั้งหลายสิบตัว แต่ยังหนีรอดจากการซุ่มโจมตีกลับมาได้ด้วย ต่อให้เป็นผู้พิทักษ์ศักดิ์สิทธิ์ของสมาพันธ์ในอดีตก็คงทำแบบนี้ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?”
“ใช่ สุดยอดจริงๆ”
เอดิธส์ถอนหายใจ ก่อนจะยกขาทั้งสองข้างขึ้นมาพาดไว้บนโต๊ะแล้วค่อยๆ เอนตัวพิงไปบนเก้าอี้้ สีหน้าของเธอดูซึมเซาเล็กน้อย
แลนซ์งุนงง “ท่านเหมือนจะ…ไม่ค่อยดีใจเท่าไร?”
“ก็ไม่ใช่ว่าไม่ดีใจ เพียงแต่รู้สึกว่า…อีกไม่นานทีมที่ปรึกษาคงจะถูกลดความสำคัญลง”
“เอ๋?” แลนซ์ลืมตาโต
“เฮฟเว่นเฟลมสี่ลำก็สามารถไล่ปีศาจ 200 กว่าตัวให้ถอยไปได้แล้ว ถ้ากองทัพที่หนึ่งมีเฮฟเว่นเฟลมซัก 100 ลำหรือซัก 1,000 ลำล่ะ?” เอดิธส์ยิ้ม “แบบนั้นขอเพียงสั่งการไปเพียงประโยคเดียว ที่ไหนมีศัตรูก็ส่งอัศวินอากาศไปจัดการก็พอ กลยุทธ์กับแผนการก็จะกลายเป็นสิ่งไม่จำเป็นทันที ถ้าถึงตอนนั้นยังจะมีทีมที่ปรึกษาไปทำไมล่ะ?”
ความจริงเธอมองเห็นประสิทธิภาพทางการทหารที่แฝงอยู่ในตัวเฮฟเว่นเฟลมตั้งแต่ตอนที่เห็นมันบินไปบินมาได้อย่างอิสระตั้งแต่แรกแล้ว หลังจากที่ได้คุยกับโรแลนด์เธอก็ยิ่งเข้าใจเรื่องการใช้งานอัศวินอากาศมากขึ้นไปอีก เธอถึงขนาดตั้งหน่วยงานเล็กๆ ขึ้นมาในทีมที่ปรึกษาเพื่อทำการศึกษากลศึกทางอากาศโดยเฉพาะ เพื่อที่จะใช้ประโยชน์จากอาวุธชนิดใหม่นี้ให้ได้มากที่สุด
แต่ว่าในตอนที่มันออกไปรบครั้งแรกจริงๆ ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือกลับรู้สึกเสียใจขึ้นมา
เพราะความได้เปรียบของอัศวินอากาศมันเห็นได้ชัดเจนมากเกินไป จนทำให้ความสำคัญของกลยุทธ์ลดลง ในยุคสมัยของอัศวิน การจัดวางกำลังและการวางแผนการรบคือสิ่งที่สำคัญอย่างมาก แต่ตอนนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น เนื่องจากอัศวินอากาศมีความได้เปรียบทางด้านทัศนวิสัย ทำให้สามารถมองเห็นเหตุการณ์ในสนามรบได้ค่อนข้างชัดเจน ขณะเดียวกันด้วยความสามารถในการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่ว ทำให้มันสามารถปิดกั้นพื้นที่สนามรบทั้งหมดได้
พูดอีกอย่างคือขอเพียงยึดน่านฟ้าเอาไว้ได้ ก็จะทำให้สามารถควบคุมความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายเอาไว้ได้ทั้งหมด ส่วนสถานการณ์ของศัตรูกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เมื่อต้องเจอกับสถานการณ์ที่แทบจะมองไม่เห็นอะไรแล้ว พวกมันแทบจะทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากโดนโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว
แถมฝ่าบาทยังเคยตรัสให้เธอฟังว่าเฮฟเว่นเฟลมเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เหมือนกับการเอาปืนคาบศิลาไปเทียบกับปืนกลแม็กซิม
“ถ้าเป็นแบบนั้น…พวกเราก็กลับไปเมืองอีเทอร์นอลไนท์ก็ได้” แลนซ์พูดเบาๆ
“เกรงว่ามันจะสายไปแล้วน่ะสิ” เอดิธส์ยิ้มพร้อมพูดเสียงเบาๆ “การที่มานั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ เกรงว่าข้าคงผิดใจกับใครไปหลายคนแล้ว เจ้าคิดว่าคนพวกนั้นจะปล่อยให้ข้าได้ใช้ชีวิตสบายเหรอ?”
เธอย่อมต้องรู้ว่าถ้าคนที่มีอำนาจคือโรแลนด์ เรื่องแบบนั้นย่อมไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน แต่เธอไม่เคยกลัวที่จะวางแผนชีวิตโดยคิดถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้เสมอ เพราะคำพูดที่ไม่ดีของเธอมักจะไปทำร้ายคนอื่นเสมอ
“ข้าจะ…ปกป้องท่านเอง” แลนซ์กัดริมฝีปาก
“ยังไง? ด้วยสถานะกับความสามารถของเจ้าในตอนนี้เหรอ? ถ้าเจ้าขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งสูงๆ ไม่ได้ คำพูดลอยๆ แบบนี้พูดให้น้อยๆ หน่อยดีกว่า” เธอพลันรู้สึกมีความสุขขึ้นมา “ไม่อย่างนั้นผลลัพธ์มันจะยิ่งแย่กว่าเดิม อย่างเช่นคนพวกนั้นมันอาจจะทำอะไรข้า…..ต่อหน้าเจ้า”
เอดิธส์ปิดปากลงทันที
นอกห้องมีเสียงฝีเท้าคนดังขึ้นมา ไม่นานเฟร์ราน ชิลต์ก็เปิดประตูเดินเข้ามาในห้อง
“ท่านเอดิธส์ ที่แท้ท่านก็อยู่ที่นี่เอง…”
“ทำไม มีข่าวใหม่เหรอ?”
“ถ้ามีก็ดีสิขอรับ” เฟร์รานทำสีหน้าปวดหัวออกมา “เมื่อครู่ข้าตรวจดูว่ารายการสิ่งของที่ทางค่ายฝึกซ้อมอัศวินอากาศต้องการ ข้าเกรงว่าเราคงต้องวางแผนการขนส่งหลังจากนี้ใหม่ขอรับ”
“โอ้?”
“บางทีอ่านอาจจะยังไม่รู้ หลายวันมานี้พวกเขาใช้กระสุนไปเกือบหมื่นนัดแล้ว นี่ยังไม่รวมถึงกระสุนที่พวกเขาใช้ตอนที่ออกไปรบจริงด้วย” เฟร์รานพูดอย่างปวดหัว “แต่นักเรียนพวกนั้นมีแค่ 20 – 30 คนเอง แต่กระสุนที่พวกเขาต้องใช้นี่เท่ากับหน่วยของกองพันปืนสิบหน่วยเลย! นอกจากนี้ยังมีน้ำมัน ชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆ ของเครื่องบิน ข้าคิดว่าถ้าพวกเขามีจำนวนเพิ่มมากกว่านี้อีกเท่าหนึ่ง เราจะต้องวางแผนเรื่องการขนส่งยังไงเนี่ย…เอ่อ ท่านเอดิธส์?”
จู่ๆ แลนซ์พลันสังเกตเห็นว่าความขี้เกียจบนตัวพี่สาวได้หายไปหมดแล้ว
เอดิธส์ลุกขึ้นมาจากที่นั่งพร้อมกับด้วยสีหน้าราบเรียบ “งานตรงนี้เจ้าไปจัดการให้เรียบร้อย ไม่ว่ายังไงก็ต้องทำให้อัศวินอากาศได้ของทุกอย่างครบตามที่ต้องการ” จากนั้นเธอมองไปที่แลนซ์ “เจ้ามัวยืนคงอยู่ตรงนั้นทำไม?”
“ขอรับ?” แลนซ์ยังคงงุนงง
“ตามข้าไปที่ห้องข่าวกรอง ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาจะมานั่งพัก” เอดิธส์สางผมของเธอ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไป
…………………………………………………………….