Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1306 ข่าวกรองอาบเลือด
หลังอ่านจดหมายจนจบ เจ้าฉลาดพลันรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาที่แผ่นหลังทันที
ราชาปีศาจที่สามารถเปิดประตูนรกเพื่อให้กองทัพปีศาจออกมาได้งั้นเหรอ?
นี่คือข่าวที่สำคัญอย่างมากอย่างไม่ต้องสงสัย ความจริงแล้วเขาก็นึกสงสัยเรื่องที่ปราสาทรีเฟลคสโนว์ไม่ได้รับความเสียหายจากการโจมตีของปีศาจอยู่แต่แรกแล้ว แต่มีแค่เรื่องเดียวที่เขาสามารถยืนยันได้ นั่นคือเรื่องที่ปีศาจบุกเข้ามาในเมืองจากทางเหนือ ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ล้วนแต่เป็นเพียงข่าวลือทั่วไปเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ตอนที่ปีศาจมาล้วนแต่ถูกฆ่าตายไปหมดแล้ว
ในที่สุดตอนนี้เขาก็ได้รับคำยืนยันแล้ว
แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกตกใจมากกว่านั้นก็คือราชาปีศาจตนนี้กลับคุ้นเคยกับกฎเกณฑ์ของมนุษย์เป็นอย่างดี ไม่เพียงแต่จะติดต่อพูดคุยกับขุนนาง แต่มันยังกลายเป็นผู้ปกครองที่แท้จริงของอีเทอร์นอลวินเทอร์ในระยะสั้นๆ ด้วย ตอนนี้การที่มีการเกณฑ์ชาวบ้านในหลายๆ เป็นพื้นที่ก็ล้วนแต่เป็นความต้องการของมัน ส่วนผลประโยชน์ที่อีกฝ่ายสัญญาว่าจะให้กับพวกขุนนางก็ล้วนแต่ไม่ใช่สิ่งที่คนเกรย์คาสเซิลจะมอบให้ได้
นอกจากนี้ ข้อมูลเรื่องทิศทางการเกณฑ์ชาวบ้านในจดหมายก็มีความสำคัญอย่างมาก ถึงแม้มันจะไม่เหมือนการกระจายกำลังของพวกปีศาจ แต่อย่างน้อยก็ยังพอจะวิเคราะห์ได้ว่าส่วนใหญ่พวกเขาถูกส่งไปที่ไหนบ้าง
สิ่งที่แน่ใจได้ก็คือคนที่เขียนจดหมายฉบับนี้ไม่ใช่โจรใต้ดินหรือพ่อค้าเร่แน่นอน เมื่อดูจากมุมมองแล้ว คนๆ นี้จะต้องเป็นบุคคลระดับสูงของอีเทอร์นอลวินเทอร์
เนื้อหาในจดหมายมีความเป็นระเบียบ อธิบายได้แจ่มเจ้งชัดเจน ไม่จำเป็นต้องมานั่งทำการคัดลอกใหม่ แล้วก็ยากที่จะตัดทอนความให้สั้นลงได้ ขอเพียงส่งมันออกไปทั้งฉบับ มันก็จะถือว่าเป็นข่าวกรองที่มีความสำคัญอย่างมาก เรียกได้ว่าอยู่ในระดับสูงสุดเลยทีเดียว
แต่ปัญหานั้นอยู่ที่ขบวนพ่อค้าที่ใช้สำหรับส่งข่าวกรองพร้อมออกไปจากรีเฟลตสโนว์ไปเมื่อวานนี้ เพื่อที่จะไม่ทำให้ใครผิดสังเกต แบล็คมันนี่ของแอบจัดคนของตัวเองเอาไว้ในขบวนพ่อค้าเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น แถมยังเป็นตำแหน่งคนขับรถม้าด้วย การจะบอกให้ขบวนรถย้อนกลับมานั้นแทบจะไม่มีทางเป็นไปได้เลย ส่วนถ้าจะรอขบวนต่อไปก็ต้องรอหลังจากนี้อีก 1 อาทิตย์
ถ้ารวมกับเวลาที่ต้องเสียไประหว่างทางอีก เกรงว่ากว่าจะไปถึงคงต้องใช้เวลาอีกนาน
เจ้าฉลาดลังเลอยู่นาน สุดท้ายจึงลุกขึ้นมา เขาเก็บเอากระดาษที่เหลือบนโต๊ะเข้าไปในตู้ เหลือเพียงแค่จดหมายฉบับนั้นฉบับเดียว
หลังจากนั้นก็ใส่ซองกันน้ำแล้วปิดผนึกด้วยขี้ผึ้ง
หลังจัดการเสร็จเรียบร้อย เขาก็ดับตะเกียงแล้วเอาจดหมายเก็บไว้กับตัว จากนั้นเดินกลับมาที่ชั้นหนึ่งพร้อมกับส่งสัญญาณมือพูดกับนักรบแห่งความเงียบ
“ข้าจะออกไปนอกเมืองหน่อย ถ้าที่นี่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าก็ไปจุดไฟเผาน้ำมันที่ด้านล่าง”
ในขณะที่เจ้าฉลาดกำลังจะออกจากประตู นักรบแห่งความเงียบพลันยื่นมือมาดึงเขาพร้อมกับส่ายหัวเล็กน้อย จากนั้นจึงชี้มาที่ตัวเอง
ให้เขาอยู่ แล้วตัวเองไปทำเรื่องที่อันตรายเองอย่างนั้นเหรอ…
เจ้าฉลาดยิ้มเล็กน้อย “แค่ไปส่งจดหมายเท่านั้น อย่างมากแค่ 2 – 3 วันก็กลับมา เจ้าพูดไม่ได้ แล้วก็ไม่รู้ว่าต้องไปที่ไหน เจ้าช่วยข้าไม่ได้หรอก”
เพียงแค่ภาษามือไม่มีคำพูดที่ซับซ้อนขนาดนี้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้แต่ทำภาษามือบอกว่า “นี่คือคำสั่ง”
จากนั้นจึงดึงมือเขาออกไป
เจ้าฉลาดตบหน้าอกของอีกฝ่าย ก่อนจะเดินออกจากห้องไปโดยไม่เหลียวหน้ามามอง
ในเมื่อเจ้านานต้องการใช้เขาช่วยเหลือเกรย์คาสเซิลอย่างเต็มที่ อย่างนั้นการเอาจดหมายฉบับนี้ส่งออกไปให้เร็วที่สุดก็คือภารกิจสำคัญอันดับหนึ่ง เพราะจากที่คนเกรย์คาสเซิลบอกมา ข่าวกรองมันมีเวลาของมันอยู่ ถ้ายิ่งส่งมาช้า ปัจจัยที่ไม่แน่นอนก็จะยิ่งเยอะ
เพื่อการนี้แล้ว พวกเขาจึงได้ตั้งศูนย์ติดต่อฉุกเฉินขึ้นมาที่หมู่บ้านที่อยู่ห่างจากเมืองออกไปประมาณ 7 – 8 กิโลเมตร พร้อมกับมีนกสำหรับส่งจดหมายที่น่าเหลือเชื่อเตรียมเอาไว้ด้วย ได้ยินว่าแค่ไม่กี่วันก็สามารถเอาข้อมูลข่าวสารของที่นี่ไปส่งยังอาณาจักรดอว์นได้แล้ว
และหมู่บ้านแห่งนั้นก็คือเป้าหมายในการเดินทางของเขาครั้งนี้
จริงอยู่ที่การแอบออกมาจากเมืองรีเฟลคสโนว์นั้นมีอันตราย แต่มันก็ยังอยู่ในขอบเขตที่ควบคุมได้ ความจริงแล้ว ทุกวันจะมีคนที่หลบหนีออกไปจากดินแดนทางเหนือด้วยวิธีต่างๆ นานา บางคนถึงขนาดหลบหนีออกไปจากอีเทอร์นอลวินเทอร์ ถึงแม้หมอกแดงที่อยู่บนหัวกับพระจันทร์สีแดงจะไม่ได้สร้างผลกระทบอะไรกับการใช้ชีวิตของผู้คน แต่ผู้คนยังคงพูดคุยกันถึงเรื่องคำประกาศของเกรย์คาสเซิลกับข่าวลือของปีศาจ ไม่ว่าผู้ปกครองจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถหยุดยั้งความกลัวของผู้คนที่มีต่อปีศาจได้
คนที่หนีตายเหล่านั้นคือเกราะกำบังที่ดีที่สุดของเขา
เจ้าฉลาดรู้ดีว่าถ้าเขาออกไปคนเดียว โอกาสที่จะถูกปีศาจที่บินอยู่บนฟ้าพบเข้านั้นมีไม่สูง อย่างทหารที่เฝ้าอยู่ระหว่างทางนั้นยิ่งจัดการได้ง่ายกว่า ยังไงทองก็ยังเป็นค่าผ่านทางที่ดีที่สุดบนโลกมนุษย์
ซึ่งความจริงก็ไม่ได้ต่างจากที่เขาคิดเอาไว้เท่าไร
ตอนรุ่งสางของเช้าวันถัดมา เจ้าฉลาดได้แอบออกมาทางประตูทางใต้ของเมืองรีเฟลคสโนว์ เพื่อที่จะได้ฮุบทองไม่กี่เหรียญที่อยู่ในถุงเอาไว้คนเดียว ยามเฝ้าประตูจึงไม่ได้ไปบอกให้คนอื่น หากแต่แอบๆ ไปเปิดประตูเล็กที่อยู่ด้านในกำแพงให้แทน
ทันทีที่ข้ามหุบเหวมา หนทางข้างหน้าก็เรียกได้ว่าโล่งสะดวก
ทุกครั้งที่บนท้องฟ้ามีจุดดำๆ ปรากฏขึ้นมา เขาจะรีบมุดลงไปในหิมะทันที เสื้อคลุมสีขาวช่วยพรางตัวให้เขา ส่วนรอยเท้าเหล่านั้น หากมองจากบนท้องฟ้ามันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับรอยเท้าของสัตว์
เมื่อมาถึงตอนบ่าย เขาก็เริ่มมองเห็นควันที่ลอยขึ้นมาจากในหมู่บ้าน
เจ้าฉลาดเช็ดน้ำค้างที่อยู่บนจมูกตัวเอง ก่อนจะเร่งฝีเท้าขึ้น
วิธีการส่งจดหมายนั้นเหมือนกันในเมือง เขาไม่จำเป็นต้องติดต่อโดยตรงกับคนเกรย์คาสเซิล เพียงแค่เอาจดหมายไปวางไว้ในที่นัดหมาย แล้วก็ทิ้งสัญญาณเอาไว้ก็พอ
แต่ทันใดนั้นเอง ด้านหลังเขาพลันมีเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นมา
เจ้าฉลาดงุนงง เขาหันหลังกลับไปมอง ภายในใจแอบรู้สึกตกใจเล็กน้อย บ้าเอ้ย ทำไมที่นี่ถึงมีอัศวินของรีเฟลคสโนว์ได้?
ที่คนเกรย์คาสเซิลเลือกหมู่บ้านแห่งนี้ก็เพราะว่ามันอยู่ห่างไกล การเอาคนนอกมาอยู่ในนี้คนสองก็ไม่เป็นที่ผิดสังเกตอะไรมาก ส่วนใหญ่เวลาพวกขุนนางไปดักชาวบ้านที่อพยพก็มักจะไปดักอยู่แถวๆ ถนนหลัก มันไม่มีเหตุผลที่พวกเขาจะมาที่นี่เลย
ระยะห่างของทั้งสองฝ่ายใกล้ขึ้น เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเองก็มองเห็นเขาเหมือนกัน ถ้าคิดจะซ่อนตัวตอนนี้เกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้แล้ว
เจ้าฉลาดหยุดฝีเท้า ก่อนจะฉีกยิ้มให้อีกฝ่าย — อีกฝ่ายมี 2 คน ขอเพียงให้ทองมากพอ พวกเขาก็น่าจะไม่มายุ่งอะไรกับเขามาก
อัศวินหยุดม้าลงตรงหน้าเขา “พี่ ข้าบอกแล้วไงว่าพวกผู้อพยพมันจะเลือกเส้นทางที่รกร้างหน่อย สุดท้ายพวกเราก็เจอจริงๆ ด้วย”
“อืม โชคดีทีเดียว”
หน่วยลาดตระเวนที่มาไล่จับชาวบ้านที่อพยพอย่างนั้นเหรอ?
“นะ นายท่าน ได้โปรดปล่อยข้าไปเถอะ!” เจ้าฉลาดแสร้งทำเป็นหวาดกลัวจนถึงขีดสุด เขาคุกเข่าลงไปกับพื้น สองมือยกถุงเงินขึ้นมา เผยให้เห็นเหรียญทองที่ดูสะดุดตา “ข้าไม่อยากจะอยู่ในเมืองเดียวกับปีศาจที่มาจากนรกพวกนั้นจริงๆ พวกมันเป็นสัตว์ประหลาดกินคน! ข้ายินดีที่จะให้เงินทั้งหมดนี่ ท่านได้โปรดปล่อยข้าไปเถอะ!”
“โอ้? เงินเจ้ามีไม่น้อยนะเนี่ย” อัศวินก้มลงมารับเอาถึงเงินไป น้ำเสียงฟังดูเย้ยหยัน
“ตอนนี้มันเป็นของท่านแล้ว…ชะ ใช่แล้ว ข้ายังมีญาติอยู่ที่วูล์ฟฮาร์ท ขอเพียงท่านไม่จับข้ากลับไป ต่อไปถ้ามีโอกาสข้าจะตอบแทนท่านอย่างแน่นอน!”
“ลุกขึ้นมาเถอะ”
เจ้าฉลาดแอบรู้สึกโล่งใจ ปกติแล้วเมื่อมาถึงตรงนี้ก็ถือว่าไม่มีอะไรแล้ว ผู้อพยพที่มีเหรียญทองนั้นมีจำนวนอยู่น้อยนิดเดียว ยิ่งบอกว่า ‘มีญาติอยู่ที่อาณาจักรเพื่อนบ้าน’ ก็ยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือได้ไม่น้อย — ถ้าฆ่าคนแล้วไม่มีประโยชน์อะไร พวกเขาก็ไม่อยากทำเหมือนกัน เพราะการปล่อยผู้อพยพไปคนสองคนมันไม่ได้มีผลเสียอะไรกับพวกเขา ไม่มีความจำเป็นที่พวกเขาจะตัดความเป็นไปได้ที่ได้รับการตอบแทนในวันหน้าทิ้งไป
แต่อีกฝ่ายไม่ได้โบกมือบอกให้เขาไสหัวไป หากแต่เปิดหมวกเหล็กขึ้นมา “เจ้าลองดูนี่”
ตรงแก้มเขามีรอยแผลที่ชัดเจน เหมือนถูกสัตว์ที่ดุร้ายบางอย่างมันกัดเข้า ใบหูหายไปทั้งแถบ แม้แต่ดวงตาครึ่งหนึ่งก็ดูบิดเบี้ยวแปลกประหลาด
ผิวหนังตรงบาดแผลแสดงให้เห็นว่าบาดแผลนี้เพิ่งจะรักษาหายไม่นาน
“นายท่าน นี่ท่าน…”
“ถูกอาวุธของคนเกรย์คาสเซิลมันทำน่ะสิ” อัศวินค่อยๆ พูด “ตอนนั้นทุกคนต่างคิดว่าข้าไม่รอดแล้ว แต่ข้าก็ยังรอดมาได้ ตอนนี้ข้ายังรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดบนใบหน้าอยู่เลย มันคอยย้ำเตือนข้าว่าใครเป็นคนทำให้ข้าเป็นแบบนี้ —-“
เมื่อพูดถึงตอนท้าย เสียงของเขาก็ฟังดูเยือกเย็นขึ้นมา
เจ้าฉลาดพลันรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีอย่างรุนแรง
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ถอยห่างออกไป อัศวินอีกคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นน้องชายพลันยกแส้ม้าหวดลงมาบนหน้าเขาอย่างแรง
ภาพเบื้องหน้ามืดลง เจ้าฉลาดเอามือปิดหน้าแล้วล้มลงไปกองกับพื้น
“ถูกต้อง พวกเจ้านั่นแหละ! ถ้าไม่เป็นเพราะผู้อพยพอย่างพวกเจ้า ข้าก็ไม่จำเป็นต้องไปสู้กับคนเกรย์คาสเซิล! สงครามแห่งโชคชะตา ชะตาชีวิตของมัน นั่นมันเรื่องเหลวไหลทั้งเพ!” ในตอนที่พูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงอีกฝ่ายฟังดูเหมือนเกือบจะคำรามออกมา “สบายใจได้ ข้าไม่พาเจ้ากลับไป แล้วก็ไม่ฆ่าเจ้าที่นี่ด้วย สิ่งเดียวที่ข้าอยากทำคือให้พวกเจ้าได้ลิ้มลองความเจ็บปวดของข้า!”
จากนั้นเขากระตุกบังเหียนม้า ก่อนจะควบม้ามาเหยียบขาทั้งสองข้างของเจ้าฉลาด
“แคร่ก”
ความเจ็บปวดอย่างที่ยากจะบรรยายได้ทะลักออกมาในหัวของเจ้าฉลาด เขาส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาทันที
จากนั้นก็เป็นขาข้างที่สอง
กระทั่งบนพื้นหิมะที่รอยหยดเลือดเต็มไปหมด และขาทั้งสองข้างของเขากลายเป็นเหมือนก้อนเนื้อเละที่เชื่อมต่อกัน อัศวินถึงได้บังคับให้ม้าหยุดกระทืบ
“วางใจได้ เจ้าไม่ใช่คนแรก แล้วก็ไม่ใช่คนสุดท้าย” อัศวินยิ้มอย่างดุร้ายขึ้นมา “ตอนนี้…เจ้าหนีไปได้แล้ว”
เจ้าฉลาดไม่ได้สังเกตเห็นว่าทั้งสองคนจากไปตอนไหน
เขาต้องกัดริมฝีปากตัวเองอย่างแรง ถึงจะรวบรวมสมาธิที่แตกกระเจิงให้กลับมาได้
ครึ่งร่างของเขาสูญเสียความรู้สึกไปจนหมด หิมะอันหนาวเย็นกำลังชิงความอบอุ่นไปจากร่างกายเขาทีละน้อย
เขาคลำเสื้อผ้าที่อยู่ในอก จดหมายยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม สำหรับทั้งสองคนนั้น เกรงว่าเขาคงไม่ได้ต่างอะไรจากคนตายแล้ว
สิ่งที่คิดไม่ถึงก็คือภายในหัวเขากลับไม่ได้ต่อว่าทั้งสองคนนั้น แล้วก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บแค้นอะไร เมื่ออยู่ภายใต้ความทุกทรมานจากความเจ็บปวดและการถูกน้ำแข็งกัดกิน การครุ่นคิดจึงกลายเป็นเรื่องที่ยากลำบาก ความคิดหนึ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ในตอนนี้คือจดหมายที่อยู่ในอกเขา
เจ้าฉลาดใช้แรงเฮือกสุดท้ายลากสังขารไปยังพื้นที่นัดหมาย
ในตอนที่เขาคลานขึ้นไปถึงยอดเนินที่มองลงไปเห็นหมู่บ้านได้ ความมืดก็ค่อยๆ ปกคลุมตัวเขาทีละน้อยแล้ว แสงไฟที่สว่างขึ้นมาเป็นบางครั้งบางคราวในหมู่บ้านเหมือนจะอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ก็คล้ายดวงดาวที่อยู่แสนไกล
เขาไม่ได้เอาจดหมายใส่ลงไปในที่ซ่อน เพราะตัวเขาก็คือภาชนะสุดท้ายที่ใช้บรรจุจดหมายแล้ว
ในขณะที่ความมืดกำลังกลืนกินสรรพสิ่ง ตรงหน้าเจ้าฉลาดพลันมีใบหน้าที่มีเมตตาของแบร์ริช โลธาลอยขึ้นมา
เขาหลับตา ก่อนจะพูดพึมพำเสียงเบาๆ
“ท่านพ่อ…”
…………………………………………………………