Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1316 ประวัติศาสตร์
“มีอะไรน่าแปลก” วัลคีรีย์พูดเสียงเยือกเย็น “หรือเจ้าคิดว่าทุกคนจะสามารถเข้ามาในส่วนลึกของโลกแห่งจิตสำนึกได้? หรือว่า….ความจริงแล้วเจ้ากำลังภูมิใจที่ขังราชาเอาไว้ได้?”
เห็นได้ชัดว่าถึงแม้ตัวเองจะอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลม แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมทิ้งความหยิ่งทะนงของตัวเอง โรแลนด์มีความรู้สึกด้วยว่าถ้าเกิดเขาเหยียดหยามมากเกินไป อีกฝ่ายอาจจะวิ่งเข้าไปสู้ตายกับพวกแม่มดก็ได้
แต่คำตอบนี้มันก็ทำให้ความรู้สึกแปลกใจมากจริงๆ การที่ถามเรื่องฉายานั้นเขาถามไปเรื่อยเท่านั้น เพราะปีศาจระดับสูงส่วนใหญ่จะมีฉายาเป็นของตัวเอง และการที่มันสามารถจัดพิธียกระดับขึ้นในเมืองของปีศาจได้ ก็แสดงว่ามันต้องไม่ใช่ปีศาจธรรมดาๆ แน่ เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าที่มาของปีศาจตนนี้จะซับซ้อนกว่าที่เขาคิดเอาไว้
เดิมโรแลนด์คิดว่าวัลคีรีย์นั้นเป็นจิตสำนึกที่บางครั้งจะออกมาจากเศษเสี้ยวแห่งความทรงจำ แต่ตอนนี้มันกลับมีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง นั่นคือบางทีอีกฝ่ายอาจจะมาจากโลกแห่งความเป็นจริง!
ฉายาไนท์แมร์นี้ปรากฏครั้งแรกสุดในจดหมายสั่งลาของอุรูค การที่มันฝากทักทายอีกฝ่ายก็แสดงว่าไนท์แมร์นี้ไม่ได้ปีศาจที่อยู่ในประวัติศาสตร์ หากแต่ยังมีชีวิตอยู่และเป็นปีศาจที่อยู่ในระดับสูง บวกกับที่โรแลนด์ได้ดูเศษเสี้ยวแห่งความทรงจำนั้นมาหลายรอบแล้ว เขาไม่เคยได้ยินคำเรียกอะไรที่น่าจะหมายถึงราชาเลย ถ้าภาษาปีศาจที่เรียนรู้มาจากคาบราดาบีไม่ผิดล่ะก็ นั่นก็หมายความว่าปีศาจที่จัดพิธียกระดับในตอนนั้นยังไม่ได้ยกระดับกลายเป็นราชา
เมื่อรวมกับคำพูดที่มันบอกว่าตัวเอง ‘เข้ามาในส่วนลึกของโลกแห่งจิตสำนึกด้วยตัวเอง’ และการวิเคราะห์สถานการณ์การรบในแนวหน้าของเอดิธส์ โรแลนด์ยิ่งเอนเอียงไปทางความเป็นไปได้อย่างหลังมากกว่า!
พูดอีกอย่างก็คือวัลคีรีย์ที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาตอนนี้อย่างน้อยๆ ก็มีชีวิตมา 800 กว่านี้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นทั้งความสามารถและความรู้ก็เรียกได้ว่าหาได้ยากอย่างยิ่งในปีศาจ ถ้าคิดถึงเรื่องปฏิกิริยาแปลกๆ ที่มันมีต่อมิสต์ด้วยแล้วล่ะก็ ช่วงเวลาที่มันมีชีวิตอยู่อาจจะยาวนานกว่านั้นก็ได้! เป้าหมายในการพูดคุยครั้งนี้นั้นไม่ได้เป็นแค่ดวงวิญญาณที่มาจากเศษเสี้ยวแห่งความทรงจำเสียแล้ว ต่อให้มันไม่พูดอะไร นั่นก็เท่ากับเป็นการกำจัดปีศาจระดับราชาให้กับแนวหน้าได้อยู่ดี เพียงแค่จุดนี้ก็มีความสำคัญอย่างมากแล้ว!
“ข้าต้องขอแก้ไขคำพูดของเจ้าหน่อย อย่างแรกคือข้าไม่ได้ขังเจ้า อย่างน้อยตอนนี้เจ้าก็ยังเป็นอิสระ” โรแลนด์แสร้งทำเป็นพูดอย่างใจเย็น “เรื่องต่อมาคือเจ้าเข้ามาในโลกแห่งความฝันเอง ข้าคิดว่าตรงนี้ไม่ใช่ความผิดของข้า”
“…..” วัลคีรีย์พูดไม่ออกทันที ผ่านไปครู่หนึ่งมันถึงจะพูดออกมาว่า “เจ้าเรียกที่นี่ว่าโลกแห่งความฝันอย่างนั้นเหรอ?”
ความหยิ่งทะนงทำให้มันทนต่อการดูหมิ่นเหยียดหยามไม่ได้ แต่นั่นก็ทำให้มันไม่สามารถแก้ต่างอย่างไร้เหตุผลได้เหมือนกัน การที่ไม่พูดอะไรมันก็เป็นการตอกย้ำเรื่องที่มาของไนท์แมร์แล้ว….มันมาที่นี่ผ่านทางโลกแห่งจิตสำนึกจริงๆ ด้วย
“เพราะทุกครั้งหลังจากที่ข้าหลับ ข้าก็จะเข้ามาที่นี่ ในอีกแง่หนึ่งมันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากฝัน”
“เหลวไหล!” วัลคีรีย์พยายามกดเสียงตัวเองให้เบา การเปิดดินแดนแห่งจิตสำนึกนั้นไม่ใช่แค่ต้องมีพรสวรรค์เท่านั้น หากแต่ยังต้องมีสมาธิระดับสูงและความมุ่งมั่นที่แข็งแกร่งเหมือนดั่งเหล็กกล้าด้วย มันถึงทำให้ไม่หลงทางอยู่ในทะเลแห่งพลังเวทมนตร์ แต่มนุษย์ตัวผู้คนนี้แค่นอนหลับก็ทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่มันไม่ยุติธรรมเลย!
“สวัสดีครับ นี่ของหวานที่สั่งครับ เชิญทานให้อร่อยนะครับ” พนักงานเสิร์ฟยกอาหารเข้ามา ของหวานและเครื่องดื่มต่างๆ ถูกวางอยู่เต็มโต๊ะ ดูแล้วน่าอร่อยทีเดียว
“แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ” หลังพนักงานเสิร์ฟเดินจากไป โรแลนด์ก็ผายมือแล้วพูดว่า “ก็เหมือนกับที่ข้าบอกไปก่อนหน้านี้ การพูดคุยกันตรงๆ มันจะดีกับเราทั้งสองฝ่าย ข้าไม่จำเป็นต้องหลอกเจ้าในเรื่องนี้ ยิ่งไปกว่าที่เราคุยกันข้างต้นมันไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญคือเรื่องความจริงของสงครามแห่งโชคชะตา….และอนาคตของแต่ละเผ่าพันธุ์” เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วทำมือเพื่อบอกว่าเชิญ “เรื่องพวกนี้เราค่อยๆ กินไปคุยไปก็ได้”
วัลคีรีย์ยิ่งมั่นใจมากขึ้นไปอีกว่าตัวผู้ตัวนี้ไม่เหมือนกับมนุษย์ที่มันเคยรู้จักเลย เรื่องที่เกี่ยวพันถึงความเป็นไปของเผ่าพันธุ์ มีใครที่ได้กินไปคุยไป ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นเกรงว่าคงจะพูดคุยอย่างเคร่งเครียดเหมือนว่าศัตรูได้มาถึงแล้วอย่างไรอย่างนั้น แต่เขาก็ดูไม่เหมือนว่ากำลังแกล้งปั่นหัวมันอยู่เลย ราวกับว่านี่เป็นเรื่องที่ธรรมดาอย่างมากสำหรับเขา
มันยกกาแฟของคาบสมุทรคาร์การ์ดขึ้นมาจิบคำหนึ่ง
ทันใดน้ั้นกลิ่นหอมเข้มข้นพลันไหลลงไปในลำคอ
อร่อย…จริงๆ ด้วย
ไม่รู้ว่าทำไม จู่ๆ มันพลันรู้สึกพ่ายแพ้ขึ้นมา
ไม่ได้ มันต้องชิงความได้เปรียบกลับมา! วัลคีรีย์ฝืนใจวางแก้วลง ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงคร่ำเคร่งว่า “เจ้าไปได้ยินมาจากไหนว่าสงครามความแห่งโชคชะตาไม่ใช่สงครามสุดท้าย?”
โรแลนด์หยิบรูปภาพจากในกระเป๋าออกมาวางบนโต๊ะ “เจ้าเคยเจอนางใช่ไหม?”
เนื่องจากในโบสถ์เงาสะท้อนมีภาพเหมือนของมิสต์ปรากฏขึ้นมา เมื่อดูจากช่วงเวลาแล้วน่าจะเก่าแก่กว่าสมาพันธ์ ด้วยเหตุนี้โรแลนด์จึงจงใจให้หลิงแต่งตัวเหมือนมิสต์เพื่อจะดูว่าปีศาจที่อยู่ในเศษเสี้ยวแห่งความทรงจำจะมีปฏิกิริยาอย่างมาก ถึงแม้สิ่งที่เกิดขึ้นจะแตกต่างจากที่คิดเอาไว้ และสีหน้าตกตะลึงของวิลคีรีย์ก็แสดงให้เห็นว่ามันเคยเจอผู้หญิงคนนั้นมาก่อนจริงๆ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ไนท์แมร์จึงพยักหน้า “นางเป็นใครกันแน่?”
“เทวทูตผู้ทรยศ” โรแลนด์ค่อยๆ เล่าเรื่องการพูดคุยในโรสคาเฟ่ให้อีกฝ่ายฟัง
หลังฟังเรื่องที่น่าเหลือเชื่อจบ วัลคีรีย์เองก็ตกตะลึง “หรือว่า…เทวทูตที่อาจารย์ของข้าพูดถึงจะหมายถึงนาง?”
“อาจารย์?”
“ ‘ทรานฟอร์มเมอร์’ ซิสทาลิส มันสอนข้าหลายอย่าง…” หลังลังเลอยู่ครู่ สุดท้ายวัลคีรีย์ก็เล่าเรื่องอดีตของสำนักซีคลาวด์ออกมา “การยกระดับล้มเหลวของมันก็ทำให้สำนักซีคลาวด์สูญเสียหลักประกันสุดท้ายไปด้วย”
“อย่างนี้…นี่เอง…” โรแลนด์เข้าใจทันที นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ข้อมูลของทั้งสองเผ่าพันธุ์มารวมเข้าด้วยกัน เขารู้สึกเหมือนว่าจิ๊กซอว์ที่ขาดหายไปปรากฏขึ้นมาในหัวของตัวเอง
“ฝ่าบาท พระองค์ทรงรู้เรื่องอะไรแล้วหรือเพคะ?” ฟิลลิสถาม
“พวกเจ้ายังจำภาพเหมือนที่แขวนอยู่บนกำแพงในการประชุมเพื่อตั้งสัตยาบันของราชินีทั้งสามของสมาพันธุ์ได้ไหม?” โรแลนด์สูดหายใจ “ข้าคิดว่าคนที่อยู่ในรูปภาพนั้นบางทีอาจจะเป็นปีศาจระดับสูงที่ชื่อซิสทาลิสตัวนั้น”
“พระองค์….ว่าอะไรนะเพคะ?”
“สมาพันธ์ติดรูปของปีศาจงั้นเหรอเพคะ?”
“มัน…จะเป็นไปได้ยังไง?” เหล่าแม่มดทาคิลามันทำสีหน้าไม่อยากเชื่อออกมา
“ถ้าดูจากอิทธิพลของสำนักซีคลาวด์ในช่วงสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่หนึ่งแล้ว การที่จะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร — ในเมื่อปีศาจในสำนักสามารถกลายเป็นราชาได้ ตอนนั้นมันก็ไม่แปลกอะไรถ้าบุคคลระดับสูงของสมาคมจะมีแม่มดหรือคนธรรมดาที่มาจากสำนักซีคลาวด์ ข้าคิดว่าก่อนที่ซิสทาลิสจะตาย มันมักจะมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสงครามแห่งโชคชะตามาโดยตลอดใช่ไหม?”
ในสายตาของคนทั่วไป การทำแบบนี้มันก็เหมือนกับการยืนอยู่ข้างมนุษย์
“….ข้าไม่ปฏิเสธในเรื่องนี้” วัลคีรีย์หลับตาลง “มันเคยขัดแย้งกับจักรพรรดิคนปัจจุบันนี้ แต่กระแสของสงครามมันไม่ใช่สิ่งที่คนแค่คนสองคนจะหยุดได้”
“สำหรับมนุษย์เองก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน” โรแลนด์พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “สำนักซีคลาวด์ที่ล่มสลายไปแล้วอย่างมากก็แค่ทำให้คนรำลึกถึง แต่ในตอนที่สงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่สองอุบัติขึ้น แม้แต่ความคิดถึงตรงนี้มันก็ไม่มีเหลืออยู่แล้ว ที่ประวัติศาสตร์ส่วนนั้นไม่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรเอาไว้ เป็นไปได้สูงว่าผู้นำทั้งสามจะเป็นคนทำลายบันทึกทั้งหมดทิ้งไป การอยู่ร่วมกับปีศาจจะทำให้ภายในใจผู้คนมีความหวัง โดยเฉพาะในตอนที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย มันมีแต่จะทำให้ความเด็ดขาดของมนุษย์ลดลง ดังนั้นสำนักซีคลาวด์จึงจำเป็นต้องถูกลืมเลือนไปในฐานะจุดด่างพร้อยของประวัติศาสตร์!”
………………………………………………………………….