Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1339 เปลวเพลิงแห่งความโกรธแค้น
“ทุกคน ลงจากรถ! ทำตามที่ฝึกมา เร็ว เร็ว!”
เสียงตะโกนจากด้านหลังรถทำให้ฟาร์รีน่าได้สติกลับมา
“พวกเราก็ลงไปช่วยพวกเขาเถอะ!” เธอพูดกับโจ ก่อนจะเปิดประตูกระโดดลงไปจากห้องคนขับ
ในเวลาแค่ไม่กี่อึดใจ เหล่าทหารที่โดยสารรถมาด้วยต่างก็ทำงานกันอย่างวุ่นวาย พวกเขาด้านหนึ่งก็ขีดๆ เขียนๆ ลงไปในสมุด อีกด้านหนึ่งก็ตั้งอุปกรณ์หน้าตาแปลกๆ ขึ้นมา เมื่อฟังจากคำพูดแล้ว อุปกรณ์พวกนี้เหมือนใช้ในการระบุตำแหน่งเป้าหมาย
เมื่อมาถึงตรงนี้ ต่อให้ฟาร์รีน่าหัวช้าแค่ไหน เธอก็รู้แล้วว่ากองทัพที่หนึ่งจะทำอะไร
พวกเขาคิดจะโจมตีศัตรูที่อยู่ห่างออกไปหลายกิโลเมตรจากตรงนี้!
ถึงแม้เธอจะรู้แต่แรกแล้วว่าคนเกรย์คาสเซิลถนัดในใช้อาวุธปืนโจมตีศัตรูจากระยะไกล แต่รู้มันก็ส่วนรู้ ในตอนที่เธอได้มาเห็นมันด้วยตาตัวเอง เธอก็ยังรู้สึกตกตะลึงอย่างมาก อาวุธที่โจมตีด้วยการโยนมักจะได้รับผลกระทบจากลมและน้ำหนักของตัวมัน ยิ่งไปกว่านั้นระยะทางยิ่งไป ผลกระทบของมันก็จะยิ่งมาก การรบกวนเพียงเล็กน้อยล้วนแต่ทำให้ผลลัพธ์เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากได้ พวกเขาจะมั่นใจได้อย่างไรว่ากระสุนที่ยิงออกไปมันจะบินออกไปเหมือนอย่างที่พวกเขาคิดเอาไว้?
หรือว่าอุปกรณ์ที่ดูเรียบง่ายพวกนี้มันจะสามารถทำนายอนาคตได้?
ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ การที่ศาสนจักรพ่ายแพ้ย่อยยับที่ศึกสันเขาโคลด์วินด์มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
เพียงแต่งานด้านเทคนิคแบบนี้ฟาร์รีน่าช่วยอะไรไม่ได้ เธอเดินไปที่ท้ายขบวนรถ โดยหวังว่าตัวเองจะช่วยขนของลงจากรถได้บ้าง
เพื่อเป็นการรักษาความลับ คนขับรถจึงไม่รู้ว่าใครจะมาขึ้นรถของตน แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองขนอะไรมา แต่ขบวนรถนั้นจะต้องลากของมาไม่น้อยอย่างแน่นอน ในเวลาแบบนี้มีคนช่วยเพิ่มอีกคนหนึ่ง อย่างน้อยมันก็ช่วยเพิ่มความเร็วในการเตรียมงานได้ บางทีเรื่องอื่นเธออาจจะไม่ถนัด แต่เรื่องใช้แรงนี่เธอไม่น้อยหน้าใครแน่
แต่ภาพเหตุการณ์ตรงท้ายขบวนรถทำให้เธอต้องตกตะลึง
เธอเห็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่กลุ่มหนึ่งกำลังขนย้ายลังไม้ยาว อาวุธปืนที่หนักอึ้งพวกนั้นกลับดูไม่ค่อยหนักเมื่ออยู่ในมือพวกเขา หลังปลดเครื่องยึดออกแล้ว ผู้ชายสองสามคนก็ช่วยกันลากท่อเหล็กกล้าไปตามถนน
สิ่งที่ทำให้ฟาร์รีน่ารู้สึกตกใจก็คือ เธอเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยสองสามคนอยู่ในกลุ่มผู้ชายเหล่านั้น
เดี๋ยวๆ…นั่นมันทหารอาญาสิทธิ์ไม่ใช่เหรอ?
ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้สวมเกราะ แต่เมื่อดูจากพละกำลัง ร่างกายและหน้าตาแล้ว นั่นมันอดีตนักรบที่ยอดเยี่ยมของเฮอร์มีสชัดๆ
“เฮ้ พวกเราเจอกันอีกแล้วนะ”
จู่ๆ ก็มีคนมาตบไหล่ของเธอ
เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ฟาร์รีน่าก็หันหน้าไปทันที “โซ….โซอี้?”
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะจำชื่อข้าได้” โซอี้แสยะยิ้ม “ข้านึกว่าเจ้าจะตะโกนว่าท่านแมทัพเอโนว่าเสียอีก”
เธอสูดหายใจ “คนพวกนั้นก็…”
“ถูกต้อง พวกนางล้วนแต่เป็นแม่มดของทาคิลา” โซอี้ผายมือ” ดูสิ ข้าไม่ได้หลอกเจ้าใช่ไหมล่ะ?”
‘ในเมืองเนเวอร์วินเทอร์มีแม่มดแบบข้าอยู่อีกหลายร้อยคน ร่างที่พวกนางใช้ล้วนแต่เป็นร่างที่พวกเจ้าให้มา ต่อไปถ้าเจอคนที่คุ้นเคยก็อย่าตกใจไปล่ะ’
คำพูดของอีกฝ่ายในตอนนั้นดังขึ้นที่ข้างหูเธออีกครั้ง
ฟาร์รีน่าไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี
โจก้มหน้าให้โซอี้ “มิสโซอี้ ครั้งที่แล้วไม่ทันได้กล่าวขอบคุณท่าน ข้ารู้สึกเสียใจอย่างมาก ตอนนี้มีโอกาสได้เจอท่านอีกครั้ง ข้าอยากจะขอบคุณท่านอย่างมากที่ช่วยฟาร์รีน่า”
“มิสโซอี้? คนธรรมดา เจ้าฉลาดพูดจริงๆ นะเนี่ย คำขอบคุณนี้ข้ารับเอาไว้แล้วกัน” โซอี้ยักไหล่ “ส่วนเรื่องอื่นเดี๋ยวเอาไว้ค่อยว่ากัน ตอนนี้ตั้งใจจัดการกับพวกปีศาจก่อน”
“เอ่อ…” เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังจะเดินจากไป ฟาร์รีน่าพลันเอ่ยปากขึ้นมา
“หืม?” โซอี้หยุดฝีเท้า
“ขอบคุณนะ แล้วก็…ข้าขอโทษสำหรับความผิดที่ศาสนจักรได้ก่อขึ้นด้วย…”
“คนผิดไม่ใช่เจ้า เจ้าเป็นแค่คนที่ถูกหลอกลวงเท่านั้น”
เธอโบกมือ ก่อนจะเดินไปยังแนวรบที่ตั้งขึ้นมาโดยไม่หันกลับมามอง
ฟาร์รีน่าอ้าปาก แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงถอนใจออกมาเบาๆ
แต่สิ่งที่เธอมองไม่เห็นก็คือ โซอี้ที่เดินจากไปยิ้มมุมปากขึ้นมาเล็กน้อย
แต่ผลสุดท้ายมันก็เป็นเหมือนที่ขวานเหล็กว่าเอาไว้ เธอซึ่งเป็นคนขับรถไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย ในเวลาไม่ถึง 15 นาที กองทัพที่หนึ่งก็พร้อมที่จะทำการยิง
“รายงาน ปืนใหญ่หมายเลข 1, 2, 3 พร้อมยิงแล้วขอรับ!”
“ยิงได้!” ขวานเหล็กออกคำสั่ง
เมื่อเสียงยิงดังสนั่นขึ้นมา ด้านล่างฐานปืนใหญ่พลันมีหมอกหิมะฟุ้งกระจายขึ้นมาบางๆ เสียงคำรามของมันดังสะท้อนไปทั่วทั้งภูเขาราวกับสายฟ้าที่ฟาดลงมาจากบนท้องฟ้า
ปลอกกระสุนร้อนๆ กระเด็นตกลงไปบนพื้นหิมะจนส่งเสียงดังซู่ๆ ขึ้นมา ส่วนกระสุนนัดใหม่ก็ถูกบรรจุเข้าไปอย่างรวดเร็ว ทหารหน่วยปืนใหญ่ร่วมมือกันอย่างรู้ใจราวกับเป็นคนๆ เดียวกัน จากจุดนี้จะมองเห็นได้ว่าพวกเขาฝึกซ้อมกันมาหนักแค่ไหน
ฟาร์รีน่ารู้แล้วว่าความแตกต่างระหว่างกองทัพที่หนึ่งกับกองทัพอื่นๆ นั้นไม่ใช่แค่เรื่องอาวุธเท่านั้น
หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ เธอก็มองเห็นเสาหิมะพุ่งขึ้นมาบนยอดเขา
…..
“ด้านล่างเริ่มยิงแล้ว!”
ซิลเวียที่อยู่บนซีกัลมองเห็นเหตุการณ์ข้างล่างอย่างชัดเจน
กระสุนปืนใหญ่สามนัดลอยโค้งออกไป ก่อนจะไปตกแถวๆ อสูรยักษ์ป้อมปราการ กระสุนลูกที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างจากมันไปไม่ถึง 300 เมตร ระเบิดที่มาอย่างกะทันหันทำเอาปีศาจที่ประจำการอยู่รอบๆ พากันแตกตื่นขึ้นมา อสูรสยองสามสี่ตัวเองก็กางปีกบินขึ้นไปบนท้องฟ้า
หลังแจ้งพิกัดการยิงใหม่ไปให้กองพันปืนใหญ่ที่อยู่ด้านล่างทราบ เธอก็หันความสนใจไปที่การเคลื่อนไหวของศัตรู
“การตอบสนองของปีศาจเป็นยังไงบ้าง?” ทิลลีถาม
“เป้าหมายหลักยังไม่มีการเคลื่อนไหวเพคะ ตอนนี้มีอสูรสยองแค่ไม่กี่ตัวบินขึ้นมา อีกไม่นานพวกมันน่าจะเจอหน่วยรถบรรทุกเพคะ”
“โชคดีทีเดียว” แอนเดรียผิวปาก
ถูกต้อง โชคดีทีเดียว ซิลเวียแอบพยักหน้าเล็กน้อย ตามเแผนการที่ทีมที่ปรึกษาวางเอาไว้ เดิมหน่วยโจมตีกลับเตรียมตัวเตรียมใจแล้วว่าจะถูกปีศาจพบเข้าก่อนที่จะเข้าไปใกล้อสูรยักษ์ป้อมปราการ จากนั้นพวกเขาก็จะฝืนกระหน่ำยิงเข้าไปโดยมีอสูรสยองมาคอยขัดขวาง โดยแผนการนี้เป็นประสบการณ์ที่ได้มาจากการสู้กับปีศาจบนที่ราบลุ่มบริบูรณ์ก่อนหน้านี้ ถ้าหากอีกฝ่ายเป็นอุรูคล่ะก็ ระยะ 20 – 25 กิโลเมตรก็ถือเป็นพื้นที่อันตรายแล้ว
ถึงแม้จะเพิ่งผ่านศึกใหญ่มา กำลังพลส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่ถูกส่งไปที่อ่านดีพพูล แต่อสูรยักษ์ป้อมปราการซึ่งทำหน้าที่เป็นเหมือนเสาโอเบลิสเคลื่อนที่ก็ยังมีอสูรสยองจำนวนไม่น้อยคอยเฝ้าระวังอยู่ แต่วงการเฝ้าระวังของพวกมันก็ยังมีช่องโหว่อยู่ ผ่านไปครู่ใหญ่แล้วก็ยังไม่มีอสูรสยองบินผ่านมาพื้นที่ตรงนี้
แล้วก็เป็นเพราะศัตรูไม่เห็นทีมโจมตีกลับ ทิลลีจึงให้ซิลเวียคอยนำทางหน่วยรถบรรทุก จนกระทั่งห่างจากเป้าหมาย 8 กิโลเมตร พวกเขาถึงได้ตั้งแนวยิงปืนใหญ่ขึ้นมา
นี่แสดงให้เห็นว่ากองทัพของศัตรูเกิดความประมาทหลังจากยึดทั้ง 4 เมืองได้
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เสียงปืนใหญ่รอบที่สองก็ดังขึ้น
การยิงรอบต่อไปที่ผ่านการปรับพิกัดแล้วมีความแม่นยำขึ้นกว่าเดิมมาก กระสุนปืนใหญ่สองลูกลอดผ่านโครงกระถูกที่สูงใหญ่ของอสูรยักษ์ลงไปตกตรงข้างๆ เท้าของมัน ปีศาจคุ้มคลั่งหลายตัวถูกระเบิดจนตาย กระสุนนัดที่สามทะลุทางด้านหลังของอสูรยักษ์ ฉีกเนื้อและหิมะที่อยู่บนหลังของมันจนกระจุยกระจาย
อสูรยักษ์ส่งเสียงกรีดร้องออกมา พร้อมกับก้าวขาไปข้างหน้าสองข้าง
อสูรสยองอีกหลายตัวบินขึ้นมาจากทุกทิศทุกทาง ก่อนจะไปรวมตัวกันเป็นกลุ่มอยู่บนท้องฟ้า
แต่กว่าพวกมันจะรู้ว่าการโจมตีมาจากทิศทางไหนมันผ่านไป 5 นาทีแล้ว ในการสู้รบปกตินี่ไม่ถือว่าช้า แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับปืนใหญ่ป้อมที่อยู่ห่างออกไป 8 กิโลเมตร เวลา 5 นาทีนั้นเพียงพอที่จะให้ปืนใหญ่ยิงออกไปได้สิบรอบ ซึ่งนี่ยังรวมการยิงทดสอบเพื่อปรับพิกัดด้วย!
ปฏิบัติการครั้งนี้ไม่ได้จบลงด้วยการยิงไปที่ขาของศัตรูอย่างแม่นยำเหมือนอย่างศึกทาคิลา ร่างกายของปีศาจโครงกระดูกมีร่องรอยบาดแผลจากการถูกยิงซ้ำๆ บนแผ่นหลังของมันมีรูกระสุนอยู่หลายหลุม เมื่อมองผ่านกระดูกที่หักเป็นชั้นๆ เข้าไปจะมองเห็นเครื่องในที่สั่นสะเทือนและเลือดสีน้ำเงินที่ไหลออกมาจากทุกทิศทุกทาง ถึงแม้มันจะพยายามหนี แต่เมื่อเทียบกับความเร็วของปืนใหญ่แล้ว ความพยายามของมันไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากนัก
ในตอนที่กระสุนปืนใหญ่นัดหนึ่งทะลุเข้าไปในร่างกายของอสูรยักษ์ มันก็ส่งเสียงร้องโหยหวนออกมา แสงสีน้ำเงินสว่างวาบออกมาจากร่างกายอันใหญ่โตของมัน ก่อนที่ทั่วทั้งร่างจะระเบิดออก! เครื่องในและเลือดไหลทะลักออกมาราวกับน้ำตก หิมะที่อยู่บนเนินเขาถูกชโลมด้วยสีแปลกๆ ขาของอสูรยักษ์เหมือนสูญเสียที่ค้ำยันไป มันหักและหลุดออกมาจากร่างกาย ก่อนจะล้มลงมาทับปีศาจคุ้มคลั่งที่หลบไม่ทันด้านล่างจนกลายเป็นก้อนเนื้อเละๆ
“ระวัง พวกมันมาแล้ว!”
ขณะเดียวกัน ซิลเวียก็แจ้งเตือนไปยังหน่วยรถบรรทุกถึงอสูรสยองที่กำลังพุ่งเข้าไปหา
…………………………………………………………………………