Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1350 สมาชิกใหม่
“บางทีเจ้าอาจจะเดาถูก” โรแลนด์นิ่งเงียบไปครู่ก่อนจะพูดขึ้นมา “แต่มาถึงตอนนี้แล้ว โลกแห่งความฝันถือได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญในการทำให้เมืองเนเวอร์วินเทอร์พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ข้าไม่อาจ…แล้วก็ไม่ควรจะปิดมันเพราะเรื่องนี้”
โดยเฉพาะหลังจากที่บุ๊คกลายเป็นสุดยอดอมนุษย์ โลกแห่งความฝันก็ยิ่งทวีความสำคัญอย่างมากที่ไม่เคยมีมาก่อน ทุกครั้งที่เธอเข้าไปในโลกแห่งความฝัน เธอก็จะสามารถนำเอาความรู้ที่ประเมินค่าไม่ได้กลับมาให้มนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้นในนั้นยังมีซีโร่ การ์เซีย ผู้คุมร็อก…ตอนนี้เขาไม่สามารถทำเหมือนพวกเขาเป็นภาพลวงตาได้แล้ว ถึงแม้จะไม่มีมิสต์ โรแลนด์ก็ไม่อยากจะทิ้งโลกแห่งความฝัน
มือของไนติงเกลกุมแน่น “แล้วหม่อมฉันล่ะเพคะ?”
โรแลนด์งุนงงเล็กน้อย “อะไร….”
“หม่อมฉันจะทำยังไงเพคะ!” เสียงของเธอดังขึ้นกว่าเดิม หางเสียงของเธอสั่นเล็กน้อย “ถ้าเวลามันลดลงไปแบบนี้อีก ผ่านไปอีกไม่กี่ปีพระองค์ก็คงจะ…” ไนติงเกลกัดริมฝีปากเหมือนพยายามที่จะกลืนคำพูดครึ่งหลังลงไป “อันนากับหม่อมฉันเคยตกลงกันไว้ หม่อมฉันเองก็ยินดีที่จะทำตามที่ตกลงกันเอาไว้ แต่ถ้ารอไม่ถึงวันนั้น หม่อมฉัน…หม่อมฉันจะทำยังไงล่ะเพคะ?”
โรแลนด์ยกมือขึ้นมาลูบริมฝีปากที่กัดแน่นจนเป็นสีขาวของเธอเบาๆ “ข้าก็เลยต้องเข้าไปในโลกแห่งความฝันเพื่อจัดการทุกอย่างนี่ไง เจ้าก็รู้ว่าตัวเลขไม่ใช่แค่จะลดเพียงอย่างเดียวซักหน่อย มันแค่บอกแนวโน้มเท่านั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าผลมันจะออกมาเป็นแบบนั้น ถ้าสามารถเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของแหล่งกำเนิดพลังเวทมนตร์ได้ ผลกระทบที่ไม่ดีของโลกแห่งจิตสำนึกเหล่านี้ก็จะลดน้อยลงไป ในทางกลับกัน ถ้าเจ้าเอาแต่หลบหนี มันอาจจะแย่ลงขึ้นมาซักวันก็ได้ เมื่อถึงตอนนั้นถ้าอยากจะทำอะไรมันก็สายไปแล้ว”
ถ้าคำเตือนของมิสต์เป็นเรื่องจริง เช่นนั้นเกรงว่าความอดทนของพระเจ้าคงจะเหลืออยู่ไม่เท่าไร ในเวลาแบบนี้การตัดสินใจฝากความหวังเอาไว้ที่เวลาอาจจะทำให้เกิดหายนะได้ การปรากฏตัวถี่ึขึ้นของฟอลเลนอีวิลและเทวทูตเหมือนจะกำลังยืนยันในจุดนี้อยู่
เขาจำเป็นต้องเสี่ยง
“แต่ว่า….”
“ข้ารับรองว่าไม่มีทางปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแน่นอน” โรแลนด์พูดอย่างจริงจัง
ไนติงเกลจ้องเขาอยู่นาน “ไม่ว่ายังไง
“ไม่ว่ายังไง” เขาพยักหน้า
อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรต่อ ร่างกายของเธอค่อยๆ หายไปในหมอกมายา โรแลนด์เก็บหินเรืองแสงเข้าไปในลิ้นชัก ความมืดเข้าปกคลุมทุกซอกทุกมุมภายในห้องอย่างรวดเร็ว แสงไฟกลับมาสะท้อนอยู่บนกระจกเหมือนว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
แต่เขารู้ว่านั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดไปเอง
บนมือข้างหน้าที่วางอยู่ข้างตัวยังคงมีสัมผัสและความอบอุ่นอยู่
จากนั้นเขาจึงหลับไป
…..
“ติ๊ด คุณมีหนึ่งข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน”
“ติ๊ด คุณมีหนึ่งข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน”
“ใครน่ะ? ทำไมขยันส่งข้อความมาขนาดนี้?” เฟยอวี่หายจัดการกระเป๋าใบสุดท้ายอยู่หน้ากระจก “คนในสมาคมเหรอ?”
“จะว่างั้นก็ได้…” วัลคีรีย์กดเปิดกล่องข้อความอย่างหงุดหงิด แล้วก็กัดฟันกดปิดมันลงไป ถ้าไม่เป็นเพราะควบคุมแรงที่มือเอาไว้ เกรงว่ามือถือที่อยู่ในมือเธอคงจะแตกเป็นชิ้นๆ ไปนานแล้ว
“ใช้ได้เลยนะเนี่ย”
“อะไรใช้ได้?”
“สายตาคนๆ นั้นไง” เฟยอวี่หานถอดถุงมือยิ้มๆ “เธอไม่สังเกตเหรอ สายตาที่มองเธอเวลาอยู่ในสมาคมไม่ได้น้อยไปกว่าฉันเลย แต่คนส่วนใหญ่ก็ได้แต่มองเท่านั้น คนที่กล้าส่งข้อความมาหาเธอได้นี่น่าชมเชยทีเดียว เอาไว้มีเวลาพามาแนะนำให้ฉันรู้จักหน่อยสิ”
“เรื่องนี้มันไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิดหรอก” วัลคีรีย์ตอบอย่างหงุดหงิด หลังรักษาตัวออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว เธอก็ต้องมาอยู่ตึกเดียวกับเฟยอวี่หานเพราะเรื่องแบ่งกลุ่ม ห้องนอนของทั้งสองคนคั่นกลางเอาไว้ด้วยห้องนั่งเล่น ดังนั้นทั้งสองคนจึงรู้ความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
สำหรับเรื่องนี้แล้ว วัลคีรีย์ไม่ได้มีความเห็นใดๆ ลึกๆ แล้วเธอเหมือนจะรู้สึกโชคดีด้วยซ้ำ เพราะการที่อยู่ในโลกแปลกหน้า ยิ่งรู้จักคนเยอะก็อาจจะยิ่งเปิดเผยตัวตนออกไปได้ง่าย ซึ่งเฟยอวี่หานที่คอยดูแลเธออยู่ตลอดตั้งแต่ตอนที่มีกิจกรรมเยี่ยมผู้ป่วยก็ถือว่าช่วยเธอเอาไว้มาก ดังนั้นความหงุดหงิดในครั้งนี้ของวัลคีรีย์จึงไม่ได้เป็นเพราะเฟยอวี่หาน
ที่เธอหงุดหงิดก็คือคนที่ส่งข้อความมาคนนั้น
เจ้ากล่องเล็กๆ ที่เรียกว่ามือถือนี้ถือได้ว่าเป็นเครื่องมือที่สุดยอดอย่างมาก เธอสามารถหาความรู้ต่างๆ ที่เธออยากรู้ได้จากมัน อย่างเช่นหนังสือกระดาษพวกนั้น มันจึงถือได้ว่าเป็นสารานุกรมที่แท้จริง หลังจากที่เฟยอวี่หานสอนเธอใช้ ‘เครื่องมือสื่อสาร’ อันนี้แล้ว เธอก็ไม่สามารถวางโทรศัพท์ลงได้อีก
แต่มันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีจุดอ่อน อย่างเช่นหลังจากที่คนอื่นรู้เบอร์ของเธอแล้ว เจ้าสิ่งนี้มันก็จะน่ารำคาญอย่างน่าประหลาด สิ่งที่ทำให้เธอยิ่งรู้สึกหงุดหงิดก็คือ เธอไม่สามารถบล็อกอีกฝ่ายได้
“เอาเป็นว่า เรื่องนี้เธออย่ายุ่งก็แล้วกัน” วัลคีรีย์นวดขมับ การสูญเสียหินเวทมนตร์ดวงตาที่สามไปทำให้เธอรู้สึกเหมือนขาดอะไรไป “นี่เธอจะไปแล้วเหรอ?”
“ใช่ ช่วงนี้สมาคมรับเอาสมาชิกคนใหม่มาคนหนึ่ง ท่านผู้คุมให้ฉันไปดูเจอเธอหน่อย”
“สมาชิกใหม่?” วัลคีรีย์เลิกคิ้วขึ้นมา เธอย่อมต้องรู้ว่าสถานะของเฟยอวี่หานในสมาคมผู้มฝึกยุทธ์นั้นไม่ใช่ธรรมดา การไปดูแลสมาชิกใหม่แบบนี้มันไม่จำเป็นต้องให้เธอไปออกหน้าเลย
“ใช่ เพราะหลังจากนี้ฉันจะเป็นอาจารย์ของเธอ” อีกฝ่ายยิ้มๆ จากนั้นจึงโบกมือแล้วเดินออกจากประตูไป
อาจารย์งั้นเหรอ…
ภายในหัวของวัลคีรีย์พลันมีภาพของทรานฟอร์มเมอร์ลอยขึ้นมา
แต่อารมณ์ที่ผุดขึ้นมานี้ก็ถูกเสียงแจ้งเตือนของโทรศัพท์ตัดขาดไปอย่างรวดเร็ว
“ติ๊ด คุณมีหนึ่งข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน”
“ติ๊ด คุณมีหนึ่งข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน”
เจ้านี่!
เธอกำหมัดแน่น หลังอดทนอยู่นาน สุดท้ายเธอจึงกดเปิดกล่องข้อความขึ้นมา
‘ผู้ส่งข้อความ : โรแลนด์ กองทัพของเจ้าเจอกองทัพของข้าโจมตีกลับที่ทางทิศใต้ของวูล์ฟฮาร์ท แนวหน้าของพวกมันแทบจะแตกพ่ายแล้ว ปีศาจที่ตายมีอยู่เกือบแสน โครงกระดูกยักษ์ที่สามารถสร้างหมอกแดงได้ก็เสียหายไปหลายตัว ส่วนสกายลอร์ดก็ไม่่รู้หายไปไหน หรือว่ามันจะตกใจกลัวปืนใหญ่จนหนีไปแล้ว? แล้วราชาพวกนั้นหายไปหมดล่ะ? ถ้ายังไม่มาอีกล่ะก็ กองทัพปีศาจพวกนี้จะต้องตายอยู่ในวูล์ฟฮาร์ททั้งหมดนะ’
‘ผู้ส่งข้อความ : โรแลนด์ พวกข้าเห็นเสาหินสีดำที่อยู่บนสันหลังของทวีปแล้ว จะโจมตีมันเมื่อไรก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น เจ้าคิดว่าถ้าเอาระเบิดเพลิงโยนเข้าไปในหลุมนั้นมันจะเกิดอะไรขึ้น? ถึงแม้ระยะทางมันจะค่อนข้างไกล แต่เครื่องบินที่สามารถบินระยะทางไกลเองก็กำลังอยู่ในขั้นตอนพัฒนาอยู่ ถ้าไม่สามารถจบสงครามแห่งโชคชะตาได้โดยเร็ว ภาพเหตุการณ์แบบเดียวกันก็จะเกิดขึ้นซ้ำ จนกระทั้งแบล็คสโตนกลายเป็นภูเขาไฟที่ไม่มีวันดับ หวังว่าเจ้าจะเข้าใจในจุดนี้นะ’
‘ผู้ส่งข้อความ : โรแลนด์ แล้วก็อีกเรื่องหนึ่ง มาอยู่ในโลกแห่งความฝันนานขนาดนี้ เจ้าน่าจะเข้าใจแล้วใช่ไหมว่าอาวุธของมนุษย์มันสามารถพัฒนาไปได้ไกลแค่ไหน? และอาวุธที่อยู่เหนืออาวุธทั้งมวล แสงแห่งอาทิตย์ก็กำลังอยู่ในขั้นตอนการทดสอบทางทฤษฎีเมื่อไม่นานมานี้ อีกแค่เพียงก้าวเดียวมันก็จะเสร็จสมบูรณ์ แล้วเจ้ายังจะคิดต่อไปอีกเหรอ?’
ทุกวันเธอจะได้รับข้อความแบบนี้หลายข้อความ ถ้าไม่ใช่เรื่องสถานการณ์การรบของแนวหน้าก็เป็นเรื่องผลการวิจัยล่าสุดของมนุษย์ ก่อนหน้านี้วัลคีรีย์นิ่งมาโดยตลอด เธอไม่ปฏิเสธที่จะรับข้อความแล้วก็ไม่ตอบข้อความ แต่ครั้งนี้หลังจากเธอจ้องมองดูหน้าจอมือถืออยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดเธอก็ค่อยๆ กดปุ่มตอบข้อความ
‘เจ้าอยู่ไหน? พวกเรามาคุยกันดีกว่า’
…..
‘ข้อความส่งกลับ : เจ้าอยู่ไหน? พวกเรามาคุยกันดีกว่า’
ข้อความแบบเดียวกันก็มาปรากฏอยู่บนมือถือของเฟยอวี่หาน
เยี่ยมเลย ดูเหมือนวันนี้จะได้ข้อมูลใหม่ๆ ของอีกโลกหนึ่งไม่น้อยนะเนี่ย เธอปิดหน้าจอมือถือลงอย่างมีความสุข ก่อนจะเคาะประตูห้องทำงานของผู้คุม
“เข้ามาสิ” ด้านในมีเสียงผู้คุมดังขึ้นมา
“ค่ะ”
พริบตาที่เข้าไปในห้อง เธอก็มองเห็นสาวน้อยที่นั่งก้มหน้าด้วยสีหน้าตื่นเต้นอยู่ตรงโต๊ะชา อีกฝ่ายมีผมสีขาวที่สลวย ตัวไม่สูงนัก คลื่นพลังแห่งธรรมชาติก็ไม่ชัดเจน ถือเป็นผู้ตื่นรู้ธรรมดาที่ไม่มีอะไรโดดเด่น
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
หลังกวาดตามองดูแวบหนึ่ง เฟยอวี่หานก็กลับมาทำตัวสุขุมเหมือนปกติ ก่อนจะพยักหน้าให้ผู้คุม “ท่านผู้คุม”
“อืม เธอน่าจะรู้แล้วว่าฉันเรียกเธอมาทำไม” ผู้คุมร็อคค่อยๆ จิบชา “ตอนนี้อีกฝ่ายอยู่ตรงนี้แล้ว ฉันอยากจะถามเธอหน่อยว่าทำไมเธอถึงจะรับเขาเป็นลูกศิษย์? เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอยื่นขอเรื่องนี้กับทางสมาคม”
“น่าจะเป็นเพราะว่า…อยากหาอะไรทำมั้งคะ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ร็อคงุนงงไปเล็กน้อย จากนั้นจึงหัวเราะขึ้นมา “ฮ่าๆๆ….นี่มันสไตล์การทำงานของเธอเลย แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร นี่ก็ถือเป็นเรื่องดีสำหรับเมืองปริซึมที่กำลังต้องการคน” เขามองไปทางสาวน้อยที่อยู่อีกด้าน “ฉันขอแนะนำหน่อย คนนี้คือเฟยอวี่หาน เป็นผู้ฝึกยุทธ์อัจฉริยะที่เป็นที่ยอมรับของสมาคม ถึงแม้จะดูเข้าหาได้ยาก แต่เธอก็เป็นคนที่จริงจังและมีความรับผิดชอบคนหนึ่ง การที่ได้เธอเป็นอาจารย์ของหนู มันจะเป็นประโยชน์ต่ออนาคตของหนูอย่างมาก”
“ส่วนหนูคนนี้คือผู้ตื่นรู้คนใหม่ที่พักอยู่ที่้บ้านโรแลนด์”
“ซีโร่” เฟยอวี่หานยิ้มพร้อมยื่นมือไปหาอีกฝ่าย “ยินดีต้อนรับสู่สมาคมผู้ฝึกยุทธ์นะ”
………………………………………………………..