Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1352 ฉันจะปกป้องเธอเอง
ในตอนที่ซีโร่ปีนออกมาจากกระจกรถที่แตก ร่างกายของเธอก็เต็มไปด้วยบาดแผล
รถที่ก่อนหน้านี้ยังดูใหม่เอี่ยม ในเวลานี้ไม่ได้ต่างอะไรจากผ้าขี้ริ้วเลย โครงเหล็กบิดเบี้ยวจนแทบจะไม่เหลือเค้าเดิม ตัวรถยุบเข้าไปเกือบครึ่ง น้ำมันสีเหลืองดำไหลนองออกมาเต็มพื้น ส่งกลิ่นแสบจมูก
เดิมทีควรจะเป็นอุบัติเหตุที่แทบจะไม่มีโอกาสรอดชีวิต ถ้าไม่เป็นเพราะมีพลังแห่งธรรมชาติคอยปกป้อง เกรงว่าเธอคงจะถูกตัวรถที่บิดเบี้ยวบดขยี้จนแหลกไปแล้ว
ซีโร่ฝืนความเจ็บปวดพยายามลุกขึ้นยืน บนสะพานตกอยู่ในสภาพเละเทะ ชิ้นส่วนตัวรถที่ถูกชนกระเด็นตกกระจายเกลื่อนเต็มพื้นถนน ตัวรถบรรทุกล้มคว่ำอยู่ไม่ไกล ถนนถูกปิดตายเอาไว้ เธอหันหน้ากลับไป ก่อนจะเห็นว่าด้านหลังก็ถูกรถผสมปูนสองสามคันปิดตายเอาไว้เหมือนกัน ต่อให้รถของเธอหลบการชนไปได้ เธอก็ไม่สามารถออกไปจากทางด่วนนี้ได้เหมือนกัน
ถ้าอุบัติเหตุครั้งนี้เป็นเรื่องบังเอิญ คนขับรถที่อยู่ด้านหลังก็น่าจะรีบเข้ามาช่วยถึงจะถูก แต่จนถึงตอนนี้เธอกลับยังไม่เห็นใครเข้ามาช่วยเลยแม้แต่คนเดียว บนสะพานตกอยู่ในความเงียบจนน่ากลัว
ถ้าเป็นเวลาปกติ เกรงว่าเธอคงจะร้องไห้ออกมาแล้ว แต่ในตอนนี้ถึงแม้ในเบ้าตาเธอจะมีน้ำตาเอ่อล้นออกมา ร่างกายเองก็สั่นไม่หยุด แต่เธอก็ยังกัดฟันเอาไว้เพื่อไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
ซีโร่มักจะได้ยินคุณอาพูดอยู่บ่อยๆ ว่าฟอลเลนอีวิลจะเล็งเป้ามาที่คนที่ตื่นรู้พลังแห่งธรรมชาติ บางทีนี่อาจจะเป็นการโจมตีที่มีการวางแผนเอาไว้ล่วงหน้า
เมื่ออยู่ต่อหน้าศัตรู เธอจะแสดงความอ่อนแอออกมาไม่ได้เด็ดขาด
มันไม่มีประโยชน์อะไร แถมยังจะทำให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ยิ่งขึ้นด้วย
เธอไม่ใช่เด็กน้อยอีกแล้ว หากแต่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่ตื่นรู้พลังแห่งธรรมชาติ!”
“แคร่ก”
เสียงที่ฟังดูเสียดหูเสียงหนึ่งทำลายความเงียบบนสะพานขึ้นมา
หัวรถบรรทุกที่ล้มคว่ำอยู่บนพื้นเหมือนถูกอะไรบางอย่างฉีกออกมาจากด้านใน คนที่สวมหน้ากากคนหนึ่งก้าวออกมาจากห้องคนขับ
การที่ไม่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุที่รุนแรงแบบนี้ อีกทั้งยังฉีกรถได้ด้วยมือเปล่า นี่เป็นได้ชัดว่าไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะทำได้
ซีโร่เอาหลังไปแนบกับรถที่อยู่ด้านหลังโดยไม่รู้ตัว
เธอสัมผัสได้ถึงไอเย็นเสียดกระดูกที่ลามขึ้นมาจากใต้เท้าผ่านทางหน้ากาก เธอมองไม่เห็นดวงตาของอีกฝ่าย แต่เธอกลับสัมผัสได้ว่าความสนใจของอีกฝ่ายนั้นพุ่งเป้ามาที่ตัวเอง เหมือนกับงูพิษที่จับจ้องเหยื่อของตนอยู่อย่างไรอย่างนั้น
“นี่คือเป้าหมายที่ท่านต้องการจัดการหรือขอรับ? นางดูแล้วก็เป็นแค่เด็กที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเท่านั้น” จากนั้นก็มี ‘สัตว์ประหลาด’ อีกสองตัวปรากฏตัวขึ้นมาจากตู้บรรทุกสินค้า ตัวหนึ่งยังพอจะมองดูเป็นคนได้อยู่ เพียงแต่แขนกับขาของมันยืดยาวขึ้นจนผิดรูปไปหน่อยเท่านั้น ส่วนอีกตัวหนึ่งมีปีกกับเขี้ยวงอกออกมา ดูแล้วไม่ได้ต่างจากการ์กอยล์ที่อยู่ในตำนานเลย
แต่ตัวฟอลเลนอีวิลมันก็มีโอกาสที่จะเปลี่ยนรูปร่างอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ไม่ว่ามันจะเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นอะไรมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก จากพายุดวงดาวสีแดงที่หมุนวนอยู่ตรงหน้าอกของมัน ทั้งสองตัวนี้คือฟอลเลนอีวิลอย่างไม่ต้องสงสัย
“เด็กน้อยแบบนี้ ไม่มีความจำเป็นต้องทำให้มันเอิกเกริกแบบนี้เลย แค่หาโอกาสขย้ำซักที นางก็แทบจะไม่มีโอกาสได้ร้องขอชีวิตแล้ว ถ้าไงให้ข้าจัดการนางแทนท่านเทวทูตดีกว่า” ฟอลเลนอีวิลที่เหมือนการ์กอยล์ส่งเสียงหัวเราะแปลกๆ ออกมา ก่อนจะกางปีกเตรียมบินเข้าไปมาซีโร่
แต่คนที่หยุดมันเอาไว้กลับเป็นคนที่ใส่หน้ากาก
อีกฝ่ายยกมือขึ้นมาแล้วชี้ลงไปข้างล่างเล็กน้อย ศัตรูที่เพิ่งจะกระโดดขึ้นมาเหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นกดลงไปที่พื้น แรกกระแทกรุนแรงจนทำให้พื้นสะพานมีรอยแตกปรากฏขึ้นมา!
“เจ้าโง่ ใครอนุญาตให้เจ้าไป?” คนใส่หน้ากากพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “เจ้าไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังเจอกับคู่ต่อสู้แบบไหนอยู่”
“นายท่าน นางไม่ใช่…ผู้ฝึกยุทธ์ที่เพิ่งตื่นรู้หรือ?” สัตว์ประหลาดแขนยาวพูดอย่างแปลกใจ
“ใช่ แต่ว่าไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดา พวกเจ้ามองเห็นแต่แกนพลังที่อ่อนแรงของนางเท่านั้น แต่ข้ากลับเป็นแสงที่ส่องสว่างอยู่รอบตัวของนาง” คนใส่หน้ากากโน้มตัวให้สาวน้อย “ข้าพูดไม่ผิดใช่ไหม? ท่านผู้สร้างโลก — คุณซีโร่?”
มันพูด…อะไรของมัน?
ผู้สร้าง….โลกงั้นเหรอ?
ซีโร่กลืนน้ำลาย “เจ้าจำคนผิดแล้ว”
“ที่แท้เจ้าไม่รู้เรื่องนี้” คนสวมหน้ากากงุนงงเล็กน้อย จากนั้นจึงหัวเราะขึ้นมา “แต่ว่าไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวทุกอย่างก็จะจบลงแล้ว ก่อนหน้านั้น ได้โปรดให้ข้าแนะนำตัวเองก่อนแล้วกัน ข้าคือเทวทูตของพระเจ้า นามว่า ‘เดลต้า’ ข้ามาจากสิ่งที่พวกเจ้าเรียกว่า ‘การกัดกิน’”
“แกจะฆ่าฉันเหรอ?”
“พูดว่าฆ่าก็ไม่ถูกนัก ข้าเพียงแต่ทำให้ทุกอย่างมันกลับไปอยู่ในทางที่ถูกต้องตามคำสั่งของพระเจ้า แล้วก็เอาพลังที่ถูกขโมยมากลับคืนสู่แหล่งให้กำเนิด ซึ่งโลกที่พวกเจ้าอยู่นี่ก็คือส่วนหนึ่งของมัน”
“ท่านทูต…พวกเราฆ่านางไม่ได้หรือขอรับ?” เจ้าการ์กอยล์พยายามลุกขึ้นมาจากพื้น สีหน้าของมันดูสับสน
“ไม่ใช่ตอนนี้” เดลต้าค่อยๆ พูด “ในฐานะผู้ฝึกยุทธ์ พลังของนางไม่มีค่าให้พูดถึง แต่ไม่ว่าจะเป็นตอนไหนก็ห้ามประมาทผู้สร้างโลกเด็ดขาด โดยเฉพาะในตอนที่นางอยู่ในดินแดนที่นางสร้างขึ้นมา การที่เจ้าประมาทมีแต่จะทำให้เสียแผนที่เราวางมานานได้ เพื่อที่จะปรับตัวเข้ากับกฎเกณฑ์ของที่นี่ พลังที่ข้าใช้ได้นั้นมีไม่ถึงหนึ่งในหมื่น แต่นางกลับใช้พลังได้อย่างไร้ขีดจำกัด ดังนั้นก่อนที่จะลงมือ เราจำเป็นต้องตัดการเชื่อมต่อของนางกับโลกนี้เสียก่อน เพื่อที่จะได้ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน อีกไม่นาน รอยแตกก็จะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว”
ในเวลานี้ซีโร่ถึงได้สังเกตเห็นว่าท้องฟ้าที่เดิมทีเป็นสีเทาหม่นๆ นั้นเต็มไปด้วยผลึกรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน แล้วก็โอบล้อมเข้ามายังกึ่งกลางของสะพานเรื่อยๆ ภาพด้านนอกผลึกค่อยๆ เลือนรางไป เหมือนกับว่ามันกำลังออกห่างจากโลกนี้ไปอย่างไรอย่างนั้น
“วางใจได้ นับตั้งแต่ที่เจ้าเข้ามาในสะพานนี้ เจ้าก็ไม่มีโอกาสที่จะหนีออกไปแล้ว ไอพวกร่างจิตสำนึกตรรกะโง่เง่าพวกนั้นคิดว่าสมาคมผู้ฝึกยุทธ์คือเป้าหมายโจมตีของพวกข้า ช่างน่าขันเสียจริง! พวกมันยิ่งส่งผู้ฝึกยุทธ์ออกมามากเท่าไร การป้องกันของที่อื่นๆ ก็จะยิ่งอ่อนแอลง”
เดลต้ากางสองมือออก “ด้านล่างสะพานนี้มีแกนพลังเก็บซ่อนอยู่นับพันอัน แต่สมาคมผู้ฝึกยุทธ์กลับไม่รู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย! เมื่อมีพลังเวทมนตร์จากพวกมัน ข้าถึงได้ดึงเอาพื้นที่นี้เข้าไปในรอยแตกที่ทับซ้อนกันระหว่างสองโลกได้ ในรอยแตก ดินแดนแห่งจิตสำนึกที่เจ้าอยู่นี้จะถูกพระเจ้าแทรกแซง และมันจะไม่สามารถช่วยอะไรเจ้าได้อีก พวกเราจะสู้กันอย่างเท่าเทียมที่นี่ จนกระทั่งอีกฝ่าย กลับไปสู่แหล่งกำเนิดเดิม!”
ในขณะที่มันพูดเสร็จ ผลึกบนท้องฟ้าก็ประกบเข้าด้วยกัน จู่ๆ สรรพสิ่งที่อยู่ด้านนอกพลันมืดสลัวลง ก่อนที่จะทุกอย่างจะตกอยู่ในความมืด เดิมสะพานที่สูญเสียแหล่งกำเนิดแสงไปควรจะตกอยู่ในความมืดเช่นเดียวกัน แต่กลับกลายเป็นว่าโลกนี้เหมือนถูกบังคับให้แยกออกมาอย่างไรอย่างนั้น แสงที่อยู่ที่นี่ยังคงมีอยู่ แล้วก็ส่องสว่างไปทั่วทุกซอกทุกมุมของรอยแตก
“ตอนนี้พวกเจ้าทำสิ่งที่พวกเจ้าอยากทำได้แล้ว” คนสวมหน้าพูดเสียงคร่ำเคร่ง
ฟอลเลนอีวิลทั้งสองสบตาอัน ก่อนจะกระโจนเข้าไปหาซีโร่พร้อมๆ กัน
ซีโร่จับโครงรถเอาไว้แน่นไม่ยอมขยับไปไหน ในสายตาคนอื่นเหมือนกับเธอตกใจกลัวจนแข้งขาอ่อนอย่างไรอย่างนั้น
ซึ่งสาวน้อยก็ตกใจกลัวจนถึงขีดสุดจริงๆ โดยเฉพาะในตอนที่ปากที่น่าเกลียดน่ากลัวของศัตรูมันอยู่ห่างจากเธอแค่คืบ ถ้าไม่เป็นเพราะเฟยอวี่หานสั่งกำชับเอาไว้ เกรงว่าเธอคงจะยืนอยู่แบบนี้ไม่ได้แน่
ในหัวของเธอว่างเปล่า สิ่งที่เธอจำได้มีเพียงแค่สองเรื่อง
ในเสี้ยววินาทีที่รถถูกชน อาจารย์ได้เลี้ยวรถเพื่อเอาตัวรถด้านคนขับไปรับเอาตู้บรรทุกสินค้าที่ลอยมา พร้อมกับโอบตัวเธอเอาไว้ แสงสีขาวห่อหุ้มตัวเธอไว้ในพริบตา ทำให้ความรู้สึกกระแทกหลักจากนั้นเบาลงไปเยอะ
ส่วนเรื่องที่สองคือคำพูดกระซิบเบาๆ ที่นุ่มนวลที่เปล่งออกมาพร้อมกับลำแสงนั้น
“อย่าออกไปไกลจากตัวรถ ยืนขึ้นมาเผชิญหน้ากับศัตรู”
“ฉันจะปกป้องเธอเอง”
กระทั่งในตอนที่ฟอลเลนอีวิลการ์กอยล์อ้าปากกำลังจะงับซีโร่ เธอก็ไม่ได้ถอยแม้แต่ก้าวเเดียว!
ทันใดนั้นเอง แสงสีเงินที่สว่างเจิดจ้าก็พุ่งออกมาจากตัวรถที่บิดเบี้ยว ก่อนจะผ่าลงไปกลางหัวของศัตรู ลำแสงสว่างวาบขึ้นมาแล้วก็หายไป ฟอลเลนอีวิลที่อยู่หน้าสุดตัวแข็งไปทันที จากนั้นตรงกลางลำตัวค่อยๆ มีรอยแตกเล็กๆ ปริแตกออก ร่างกายของมันแยกออกเป็นสองซีก
………………………………………………………………………