Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1361 เปลี่ยนความคิด
รู้สึกผิดหวังเพราะคิดว่าตัวเองไม่สามารถกำจัดเทวทูตได้เหรอ
โรแลนด์ไม่รู้ว่าควรจะปลอบเธอดีหรือควจะกรอกตาใส่เธอดี คนธรรมดาถ้าเจอกับเรื่องแบบนี้คงจะรู้สึกว่าตัวเองโชคดีไปแล้ว แต่นี่เฟยอวี่หานกลับรู้สึกเศร้าใจที่ตัวเองไม่สามารถเข้าร่วมในศึกที่ตัวเองอาจจะตายได้ทุกเมื่อ ต้องยอมรับเลยว่าความคิดของอัจฉริยะนั้นมักจะแตกต่างกับคนธรรมดา
จากนั้นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสมาคมก็ได้ข้อตกลงร่วมกันอย่างรวดเร็ว
ข้อมูลเกี่ยวกับสงครามแห่งโชคชะตากับโลกทั้งสองนั้นถูกจัดให้เป็นความลับสูงสุด ก่อนที่ภัยอันตรายจากการกัดกินจะถูกแก้ไข สมาคมยังไม่อาจเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้ออกไปได้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความแตกตื่นโดยไม่จำเป็น
ส่วนข้อสรุปเรื่องประวัติและที่มาของโรแลนด์นั้นต้องมีการพูดคุยตกลงกันอีก ถ้าว่าตามคำพูดของเฟยอวี่หาน ความสำคัญของเขานั้นเรียกได้ว่าเหนือกว่าประธาณสมาคมเสียอีก ซึ่งนี้ไม่ใช่เรื่องที่เมืองปริซึมเพียงเมืองเดียวจะทำการตัดสินใจได้ พวกเขาจำเป็นต้องปรึกษากับทางเมืองสกายซิตี้และสมาคมอื่นๆ เพื่อหาข้อสรุปร่วมกัน ซึ่งขั้นตอนนี้เกรงว่าต้องใช้เวลาอีกนาน
แต่เพื่อที่จะไม่เป็นการขัดขวางการต้อสู้กับศัตรูจากการกัดกิน ทางเมืองปริซึมจึงอำนวยความสะดวกและให้การสนับสนุนโรแลนด์เท่าที่เมืองปริซึมจะทำได้อย่างเต็มที่
ในเมื่อเสียงส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันแล้ว เนื้อหาในการประชุมหลังจากนั้นจึงเป็นเรื่องรายละเอียดในการสนับสนุน
ซึ่งในส่วนนี้โรแลนด์แค่รออยู่เฉยๆ ก็พอ
หลังเดินออกมาจากห้องประชุมพร้อมเฟยอวี่หาน โรแลนด์ก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นวัลคีรีย์กำลังรอเขาอยู่ด้านนอก
เธอมองพวกเขาทั้งสองคน จากนั้นสายตาก็มาหยุดอยู่ที่ตัวโรแลนด์ “ข้าอยากจะคุยกับเจ้าหน่อย”
เฟวยอวี่หานยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากไปมา “อย่างนั้นฉันไปก่อนล่ะ ซีโร่ยังหลับอยู่ในห้อง”
กระทั่งผู้ฝึกยุทธ์อัจฉริยะออกไปแล้ว โรแลนด์จึงเดินตามวัลคีรีย์ไปที่สวนด้านหลังตึก
ถึงแม้นี่จะเป็นฤดูหนาว แต่ภายในสวนก็ยังมีสีเขียวของต้นไม้อยู่ บนพื้นหญ้าสองข้างทางของทางเดินมีหิมะที่ยังไม่ละลายเกาะอยู่ ปลายหญ้าแหลมๆ โผล่ขึ้นมา เหมือนกำลังเตือนผู้คนว่าฤดูหนาวได้มาถึงช่วงท้ายแล้ว ปีใหม่กำลังจะมาถึง
ถ้าจะมาเดินเล่นล่ะก็ ที่นี่นับเป็นสถานที่ที่ดีทีเดียว แต่จุดประสงค์ที่วัลคีรีย์พาเขามาที่นี่นั้นเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่การมาดูวิวทิวทัศน์
“เจ้าอยากจะพูดอะไร?” โรแลนด์พูดทำลายความเงียบขึ้นมา “รู้ว่าตัวเองคิดผิด ก็เลยตัดสินใจที่จะเชื่อข้างั้นเหรอ?”
“เปล่า ข้ายังไม่อาจเชื่อเจ้าได้” วัลคีรีย์ส่ายหัว “ผลลัพธ์ของสงครามแห่งโชคชะตามันเกี่ยวข้องกับอนาคตของเผ่าพันธุ์ ข้าไม่สามารถทำการตัดสินใจในสถานการณ์ที่ไม่สามารถทำการยืนยันได้”
“เจ้าเองก็เห็นแล้วนี่นาว่าเทวทูตมันกำลังพยายามหยุดข้าไม่ให้หาความจริง นี่มันก็แสดงให้เห็นแล้วไม่ใช่เหรอว่าพวกเราเดินมาถูกทาง? ต่อให้ข้าจะแต่งเรื่องผลการรบทางตะวันตกขึ้นมา แต่มันไม่มีทางที่ข้าจะแต่งเรื่องการต่อสู้บนสะพานขึ้นมาได้ใช่ไหมล่ะ”
“ถูกต้อง ข้ายอมรับในเรื่องนี้” วัลคีรีย์ตอบอย่างใจเย็น “แต่ความคิดของข้าก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ดี”
โรแลนด์หยุดฝีเท้าด้วยความรู้สึกโมโหนิดหน่อย “นี่เจ้ากำลังช่วยพระเจ้าให้ทำลายอารยธรรมของตัวเองอยู่นะ”
“การกล่าวโทษบนข้อมูลที่ไม่เท่าเทียมกันมันไม่มีประโยชน์หรอก ไม่ว่าจะพูดยังไง โลกแห่งความฝันกับโลกแห่งความเป็นจริงมันก็มีโลกแห่งจิตสำนึกคั่นกลางอยู่” วัลคีรีย์หมุนตัวเล็กน้อย “ถ้าเปลี่ยนเป็นเจ้า เจ้าจะสามารถตัดสินใจร่วมมือกับศัตรูที่สู้รบกันมาเกือบพันปีในตอนนี้เลยได้ไหมล่ะ? ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ข้าได้รับในตอนนี้ มันก็มีแต่คำสัญญาที่เป็นเพียงลมปากเท่านั้ัน”
โรแลนด์อ้าปาก แต่กลับพูดคำว่า ‘ใช่’ ออกไปไม่ได้
สุดท้ายเขาจึงถอนใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นพวกเราก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว”
“ข้าไม่สามารถตัดสินใจในสถานการณ์ที่ไม่สามารถทำการพิสูจน์ได้ แต่ว่า…” วัลคีรีย์ชะงักไปเล็กน้อย “ถ้าสามารถพิสูจน์ว่ามันเป็นเรื่องจริงได้ ข้าก็จะคิดเรื่องข้อเสนอของเจ้าใหม่อีกครั้ง”
โรแลนด์ตกตะลึงไปทันที “อะไรนะ?”
“ตอนที่ไปช่วยเฟยอวี่หาน แม่มดที่นั่งรถมาคนนั้นคือสุดยอดอมนุษย์ใช่ไหม?” เธอค่อยๆ พูด “แถมนางยังไม่เหมือนกับพวกแม่มดที่เฝ้าอยู่ข้างกายเจ้าด้วย ความแตกต่างตรงนี้ไม่ใช่เรื่องของความสามารถ หากแต่เป็นเรื่องกิริยาท่าทางของนาง พวกแม่มดที่เฝ้าอยู่ข้างกายเจ้านั้นทำให้ข้ารู้สึกแปลกใจ แต่สุดยอดอมนุษย์คนนั้นกลับทำให้ข้ารู้สึกคุ้นเคย คิดไปคิดมาแล้ว คนที่ทำให้ข้ารู้สึกคุ้นเคยได้ก็มีแค่คนที่อยู่ในสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่หนึ่งกับครั้งที่สองเท่านั้น เพราะหลังจากที่มนุษย์ถอยมาที่ชายขอบของทวีปแล้ว ข้าก็ไม่ได้ติดต่อกับมนุษย์อีกเลย ดังนั้นข้าจึงคิดว่าแม่มดคนนี้คงจะยังอายุไม่เยอะ แล้วก็ยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?”
อายุไม่เยอะ…น่าจะเป็นการเปรียบเทียบกับปีศาจที่มีอายุไม่กี่ร้อยปีล่ะมั้ง เพียงแค่เจอหน้ากันก็สามารถวิเคราะห์ออกมาได้แล้วว่าบุ๊คกับแม่มดอาญาสิทธิ์นั้นไม่ใช่คนในยุคสมัยเดียวกัน? โรแลนด์ตอบกลับไปว่า “แล้วนี่มันเกี่ยวกับเรื่องที่เจ้าพูดยังไง? ถ้าเจ้าถามนางแล้วได้คำตอบแบบเดียวกัน เจ้าก็จะคิดว่าข้ากับนางเคยแอบตกลงกันเอาไว้”
“มันต้องเกี่ยวแน่นอน อายุขัยของแม่มดสมาพันธ์นั้นไม่ถึงร้อยปี การที่พวกนางสามารถมีชีวิตตั้งแต่สงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่แล้วมาจนถึงตอนนี้ได้นั้นจะต้องอาศัยเทคโนโลยีของอารยธรรมใต้ดินอย่างแน่นอน หลังจากที่ถูกเจ้าวางกับดักครั้งนั้น เขาก็คิดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าทำไมพวกนางถึงเข้ามาในโลกแห่งความฝันได้ คำตอบหนึ่งเดียวที่เป็นไปได้ก็มีแต่โบราณสถานของอารมยธรรมใต้ดินเท่านั้น”
วัลคีรีย์เดินไปยืนหน้าบ่อหน้าที่จับตัวเป็นน้ำแข็ง ก่อนจะมองดูภาพตัวเองที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำ “ถึงแม้เงื่อนไขในการใช้งานมันจะลำบากอย่างมาก แตการใช้งานพลังเวทมนตร์ที่มีความพิเศษของเผ่าพันธุ์นี้ก็ช่วยลดความยากลำบากในการเชื่อมต่อกับโลกแห่งจิตสำนึกได้จริงๆ ซึ่งการที่สมาพันธ์ซึ่งช่วงหนึ่งเคยยืดครองที่ราบลุ่มบริบูรณ์จะขุดพบซากโบราณสถานการณ์ของอารยธรรมใต้ดินมันก็ไม่ถือเป็นเรื่องแปลกอะไร เดิมข้าคิดว่าพวกนางทิ้งร่างในโลกความเป็นจริง แล้วผูกวิญญาณของตัวเองให้อยู่ในโลกแห่งความฝัน แต่พอได้เห็นแม่มดคนนั้น ข้าจึงคิดขึ้นมาได้ว่าบางทีข้าอาจจะเดาผิดแล้ว”
“การที่ทำให้สุดยอดอมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่เข้ามาในโลกแห่งความฝันได้โดยไม่อาศัยแรงภายนอกอื่นๆ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เทคโนโลยีทางเวทมนตร์ของอารยธรรมใต้ดินจะทำได้” เธอพูดต่อไปว่า “ข้าไม่รู้หรอกว่าเจ้าใช้วิธีอะไรกันแน่ แต่อย่างนั้นมันก็ช่วยพิสูจน์เรื่องหนึ่งได้ ถ้าแม่มดที่มีชีวิตอยู่ในตอนนี้สามารถใช้วิธีนี้เข้ามาในโลกแห่งความฝันได้ อย่างนั้นผู้ยกระดับระดับสูงของเผ่าพันธุ์ข้าก็น่าจะใช่วิธีเดียวกันในการเข้ามาในโลกแห่งความฝันได้เช่นเดียวกัน!”
“อย่าบอกนะว่า…” โรแลนด์ตกใจ
“ให้สกายลอร์ดมาเจอข้า” วัลคีรีย์เงยหน้าขึ้นมา “ต่อให้เจ้าเป็นผู้สร้างโลกแห่งความฝัน แต่เจ้าก็ไม่สามารถสร้างสิ่งที่เจ้าไม่เคยรู้จักขึ้นมาได้ เฮคซอดเป็นแม่ทัพตะวันตก มันจะช่วยข้าพิสูจน์คำถามทุกอย่างที่ข้าอยากรู้ได้”
โรแลนด์กะพริบตา ก่อนจะโมโหจนหัวเราะขึ้นมา “นั่นมันราชาปีศาจเลยนะ ถ้าข้าสามารถสั่งการมันได้จริงๆ ข้ายังจะให้กองทัพที่หนึ่งไปสู้ในวูล์ฟฮาร์ททำไม?
“ข้าจะช่วยเจ้าสร้างโอกาสนี้เอง” เธอพูดช้าๆ ชัดๆ
“…” โรแลนด์ขมวดคิ้วขึ้นมา “เจ้าพูดจริงเหรอ?”
“แต่เจ้าต้องรับปากข้าสองเรื่องข้อ ข้อแรก ห้ามใช้โอกาสนี้โจมตีเฮคซอด ข้อที่สอง ไม่ว่าสุดท้ายข้าจะตัดสินใจอย่างไร เจ้าก็ต้องปล่อยมันไป”
“เจ้าเคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าเรื่องนี้มันเสี่ยงอย่างมากสำหรับข้า?”
“พวกเราก็เสี่ยงด้วยกันทั้งนั้น!” วัลคีรีย์ตอบเสียงคร่ำเคร่ง “ถูกต้อง เจ้าคิดว่าทำแบบนี้มันอาจจะเปิดเผยความลับเรื่องการสืบทอดของมนุษย์ได้ แล้วข้าไม่เสี่ยงเหรอ? ให้ราชาเข้ามาเสี่ยง ถ้าเจ้าผิดคำสัญญา นอกจากเสียใจแล้วข้ายังจะทำอะไรได้อีก? เจ้าคิดว่าข้าตัดสินใจเรื่องนี้ออกมาได้ง่ายๆ เหรอ!”
น่าจะเป็นเพราะรับรู้ได้ว่าอารมณ์ของตัวเองเริ่มพุ่งพล่าน เธอจึงค่อยๆ พูดด้วยน้ำเสียงปกติ “เอาเป็นว่าข้าถอยให้ได้มากที่สุดเท่านี้ ส่วนเจ้าอยากจะเสี่ยงหรือไม่นั้น อันนั้นเจ้าเป็นคนตัดสินใจเอง”
โรแลนด์จ้องมองเธออยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะถามกลับไปว่า “ข้าอยากจะรู้ว่าอะไรที่ทำให้เจ้าเปลี่ยนความคิดที่มีอยู่ในตอนแรก?”
‘การที่หยุดเดินต่อไปข้างหน้าเพราะหวาดกลัวต่ออนาคตที่น่ากลัวนั้นเป็นคือสิ่งที่คนขี้ขลาดทำกัน ต่อให้สุดท้ายพวกเราจะพ่ายแพ้ แต่พวกเราก็ได้พยายามทำมันอย่างเต็มที่แล้ว’ วัลคีรีย์ส่งเสียงหึออกมาเบาๆ “การที่มนุษย์พูดคำพูดแบบนี้ออกมาได้ มันทำให้ข้ารู้สึกแปลกใจจริงๆ”
นั่นคือคำพูดของเฟยอวี่หานตอนที่อยู่ในห้องประชุม
ตอนนั้น…นางยืนอยู่นอกห้องประชุมเหรอ?
“นอกจากนี้ ตอนแรกเจ้าเคยถามคำถามข้าข้อหนึ่งใช่ไหมล่ะ?” วัลคีรีย์จ้องมองไปที่สายตาของเขา
เจ้าคิดว่าสิ่งที่ทรานฟอร์มเมอร์ทำเมื่อพันปีก่อนมันผิดหรือไม่?
โรแลนด์พยักหน้า
“ข้าคิดว่ามันไม่ได้ทำผิด” เธอหันหน้าเดินไปนอกสวน “นี่คือคำตอบของข้า”
…………………………………………………………