Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1372 ฆาตกร
“นี่คือ…หน้าตาของโลกอย่างนั้นเหรอเพคะ?” คามิล่าเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“ถูกต้อง ถ้าม้วนพื้นขึ้นมา มันก็จะกลายเป็นแผนที่โลก” โรแลนด์วางดินสอลง ก่อนจะก้มลงมองเท้าของตัวเองด้วยสีหน้าเหม่อลอย ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่า ในประวัติศาสตร์ก็มีทีมสำรวจทีมหนึ่งเดินทางออกจากท่าเรือแห่งหนึ่งของสเปน หลังจากล่องเรือไปได้ 70 วัน สุดท้ายพวกเขาก็เดินทางไปถึงทวีปอเมริกา แล้วก็ได้เขียนแผนที่โลกขึ้นมาใหม่ ตอนนี้โจนเองก็ใช้วิธีเดียวกันนี้ค้นพบหน้าตาคร่าวๆ ของโลกเป็นครั้งแรก
ถึงแม้ความตั้งใจเดิมของทั้งสองคนจะไม่เหมือนกัน แต่ผลจากการค้นพบของพวกเขากลับเหมือนกัน ประวัติศาสตร์ไม่เพียงแต่จะจารึกชื่อของโจนไว้ แต่ทีมสำรวจเองก็จะมีชื่อเสียงขึ้นมาเพราะ ‘การเดินทางรอบโลก’ ของเธอเช่นเดียวกัน
แต่นั่นเป็นแค่ความหมายในมุมกว้างเท่านั้น
สำหรับโรแลนด์แล้ว การที่สามารถระบุตำแหน่งบอทธ่อมเลสแลนด์กับอาณาจักรซีสกายได้นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
โดยเฉพาะอย่างแรก
การค้นพบของโจนทำให้เขามันใจว่าตำแหน่งที่ตั้งจริงๆ ของโลกแห่งจิตสำนึกนั้นไม่ได้อยู่ไกลเหมือนอย่างที่เขาจินตนาการไว้ นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นข่าวดีทีเดียว อย่างน้อยในด้านพารามิเตอร์ที่จะใช้ออกแบบของโปรเจคเครื่องบินทิ้งระเบิดรุ่นใหม่กับการปรับปรุงเฮฟเว่นเฟลมก็มีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว
ตอนนี้เขายากที่จะทำอะไรอาณาจักรซีสกายที่อยู่เหนือทะเลได้ แต่ที่โชคดีก็คือพวกมันกำลังสู้กับปีศาจอยู่ ต่อให้พวกมันบุกเข้ามาทางตะวันออก สิ่งที่พวกมันต้องเจอเป็นอันดับแรกหลังจากขึ้นฝั่งก็คือชายฝั่งด้านตะวันตกของดินแดนรุ่งอรุณ ซึ่งนั่นยังคงอยู่ห่างไกลจากที่ราบลุ่มบริบูรณ์อย่างมาก
“อย่างนั้นก็เหลือปัญหาสุดท้าย” ไนติงเกลพูด “ผู้หญิงบนเกาะที่โจนเจอเป็นใคร? ที่นั่นไม่มีร่องรอยว่าจะมีมนุษย์อาศัยอยู่เลย ถ้านางเป็นคนของพระเจ้าจริงๆ นางก็ไม่น่าจะมีเหตุผลที่จะช่วยโจนหรือเปล่าเพคะ?”
โรแลนด์นิ่งเงียบไปครู่ “ความจริงแล้ว บางทีนี่อาจจะเป็นปัญหาที่แย่ที่สุดแล้วก็ได้”
“ทำไมล่ะเพคะ?” คามิล่าถามอย่างไม่เข้าใจ
“ตามหลักแล้ว ถ้าไม่ว่าใครจะชนะสงครามแห่งโชคชะตา สุดท้ายแล้วโลกเราก็ต้องพังพินาศจริงๆ ล่ะก็ อย่างนั้นพระเจ้าก็คือศัตรูของพวกเรา” เขาพูดอย่างค่อนข้างลังเล “ แต่ผู้เฝ้ามองไม่ได้แสดงออกถึงความเป็นศัตรูอย่างที่ควรจะมีออกมา อาจจะเป็นเพราะนิยามความดีและความชั่วของพวกมันแตกต่างจากเรา หรือไม่ก็….พวกมันไม่ได้มองเราอยู่ในสายตาแต่แรกแล้ว ที่มันทำแบบนี้ ก็น่าจะเหมือนกับที่พวกเราทำแผลให้นกที่บาดเจ็บนั่นแหละ”
แม่มดทั้งสองคนสบตากัน สีหน้าทั้งคู่ดูงุนงง
แต่สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นคือความรู้สึกหนาวเย็นที่แผ่ขึ้นมาจากใต้เท้า
ทุกคนต่างรู้ว่าเวลาที่พวกนกกระจิบแห่กันมากินรวงข้าวกันเป็นฝูง มนุษย์ก็จะฆ่าพวกมันอย่างไม่ลังเล แต่ไม่มีใครที่จะมองว่านกเป็นศัตรูที่้แท้จริง แถมบางครั้งมนุษย์ยังจะช่วยมันออกมาจากกรงเล็บแมวด้วยซ้ำ ซึ่งการที่มนุษย์ช่วยเหลือมันนั้นไม่ได้เกี่ยวกับความดีหรือความชั่ว หากแต่เป็นแค่ความชื่นชอบส่วนตัวเท่านั้น
สงครามแห่งโชคชะตาดำเนินไปรอบแล้วรอบเล่า ไม่รู้ว่ามีอารยธรรมมากน้อยเท่าไรที่ต้องดับสิ้นไปตรงหน้าผู้เฝ้ามอง พระเจ้าไม่ได้มีความลังเลต่อการเกิดดับของอารยธรรมแม้แต่นิดเดียว และที่พวกมันช่วยโจนเอาไว้ มันก็ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์จะเป็นเผ่าพันธุ์ที่พิเศษสำหรับพวกมัน
“นี่มัน…ช่างน่ากลัวจริงๆ” คามิล่า แดริลพูดงึมงำขึ้นมา
“แต่ข้ากลับหวังว่าตัวเองจะเดาผิด” โรแลนด์ถอนใจออกมา “แต่ในเมื่อเราต้องการจะหยุดสงครามแห่งโชคชะตา ข้าเกรงว่าสุดท้ายยังไงเราก็หนีไม่พ้นที่ต้องเจอกับพระเจ้า”
‘นี่คือค่าตอบแทนที่ต้องจ่าย’
‘รีบหยุดการกระทำที่โง่เง่าของพวกเจ้าซะ พวกเจ้าไม่รู้หรอกว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่!’
‘…ทุกสรรพสิ่งจะกลับคืนสู่ความว่างเปล่า ทุกสิ่งที่สั่งสมมาเป็นเวลาหลายสิบล้านปีจะดับสิ้นภายในพริบตา’
‘เจ้าแบกรับความผิดนี้ไม่ไหวหรอก’
คำพูดประโยคแล้วประโยคเล่าดังสะท้อนขึ้นมาในหู
หลังจากมันจ่ายค่าตอบแทนนี้ออกมา สงครามแห่งโชคชะตาถึงได้ดำเนินมาจนถึงทุกวันนี้ แล้วมันจะไปหยุดลงง่ายๆ ได้ยังไง?
ไม่ว่าจะเป็นโลกแห่งความจริงหรือโลกแห่งความฝัน สงครามครั้งนี้ก็ล้วนแต่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
…..
ท่าเรืออ่าวดีพพูล อาณาจักรวูล์ฟฮาร์ท
ที่นี่เคยถูกปีศาจบุกเข้ายึดครองช่วงหนึ่ง เขตที่อยู่อาศัยที่ก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยผู้คนเหลือเพียงแค่ซากปรักหักพัง แต่หลังจากที่กำลังพลและอาวุธของกองทัพที่หนึ่งค่อยๆ เพียบพร้อมขึ้น อีกทั้งศัตรูถูกรถบรรทุกกับปืนใหญ่โจมตีจนรับมือไม่ถูก เพียงแค่เดือนเดียว ปีศาจก็ถูกไล่ออกไปจากเมืองท่าแห่งนี้
ซากหอเก็บหมอกแดงที่ถูกปืนใหญ่ป้อมระเบิดจนเป็นจุลตรงกลางจัตุรัสคือเครื่องยืนยัน พวกมันใช้ให้มนุษย์ขนเอาหินสีดำที่ถูกตัดแต่งเรียบร้อยมาจากทางเหนือทีละก้อนๆ แล้วค่อยให้ปีศาจชั้นต่ำที่ไม่จำเป็นต้องใช้หมอกแดงประกอบมันขึ้นมา จนกระทั่งมันเชื่อมต่อกับหอเก็บหมอกแดงที่เมืองอื่นจนกลายเป็นเขตหมอกแดงที่น่ากลัว แต่หอเก็บหมอกแดงถูกสร้างไปได้แค่ครึ่งเดียวก็ถูกปืนใหญ่ระเบิดจนพังพินาศ
เมื่อมนุษย์ค่อยๆ โจมตีกลับ ความสามารถในการควบคุมพื้นที่ของปีศาจก็ลดความเร็วลงอย่างเห็นได้ชัด ผ่านไปซักระยะชาวบ้านที่อพยพออกไปก็เริ่มกลับเข้ามา ถึงแม้เมืองจะตายไปแล้ว แต่บริเวณท่าเรือกลับเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง ถึงแม้ก่อนที่ปีศาจจะถอยกลับไป พวกมันจะทำลายสะพานและถนนส่วนใหญ่จนเสียหาย แต่ทีมก่อสร้างก็ยังซ่อมแซมมันให้กลับมาใช้ได้ใหม่อีกครั้งภายในหนึ่งอาทิตย์
สำหรับคนที่หนีออกมาจากพื้นที่หมอกแดงได้อย่างยากลำบากแล้ว นี่คือเป็นเรื่องที่โชคดีอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ไม่ใช่คนที่หนีไปทางใต้ทุกคนจะคิดเช่นนี้
“บ้าเอ้ย ข่าวลือเป็นจริงจริงๆ ด้วย” นีแกน เมอร์เรย์มองดูด่านที่ตั้งอยู่บนถนน พร้อมพูดอย่างแค้นใจ “ตอนแรกนึกว่าจะให้ปีศาจมันไปจัดการกับพวกเกรย์คาสเซิลซักหน่อย คิดไม่ถึงเลยว่าพวกมันเองก็พึ่งไม่ได้เหมือนกัน”
“พวกมันก็สัตว์ประหลาดทั้งคู่นั่นแหละ แค่ฝั่งหนึ่งมันโหดร้ายกว่าเท่านั้น” ทาร์ลอส เมอร์เรย์ตอบสีหน้าราบเรียบ ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาแอบซ่อนอยู่ในผ้าโพกหัว รอยแผลเป็นหลายแห่งยืดขยายออกมาจากเงามืด เหมือนกับไส้เดือนที่ฝังอยู่ใต้ผิวหนัง “แต่เมื่อเสียการสนับสนุนของขุนนางไป ช้าเร็วตระกูลวิมเบิลดันก็จะสูญเสียทุกอย่างที่มี พวกเราไม่จำเป็นต้องไปยุ่งวุ่นวายอะไร” พอพูดถึงตรงนี้ เขาก็มองไปทางกลุ่มคนที่กำลังต่อแถวอยู่ น้ำเสียงของเขาแฝงเอาไว้ด้วยความชั่วร้าย “เป้าหมายที่พวกเราต้องจัดการ ตอนนี้มีมากพอแล้ว…”
“ว่าไปมันก็ใช่” นีแกนเองก็ตื่นเต้นขึ้นมา “เจ้าพวกที่ไปเข้ากับพวกเกรย์คาสเซิลล้วนแต่เป็นศัตรูของเรา ข้าจะให้พวกมันชดใช้”
“แต่ตอนนี้เราต้องอดทนไว้ก่อน” ทาร์ลอสกดไหล่ของเขาลง “เอาไว้พอถึงตอนเช้ามืด เราจะล่ายังไงก็ได้”
ถึงแม้ปีศาจจะไม่เคยยอมรับออกมาจากปากว่าพวกมันพ่ายแพ้ แต่สัตว์ปะหลาดในเมืองอีเทอร์นอลวินเทอร์ที่มีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ นั้นคือเรื่องจริงที่ไม่อาจโต้แย้งได้ เมื่อเทียบกับชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว พวกขุนนางแค่ใช้วิธีการนิดหน่อยก็สามารถทราบข่าวจากแนวหน้าได้แล้ว หลังรู้ว่าปีศาจที่มาจากนรกไม่อาจสู้คนเกรย์คาสเซิลได้ ความตื่นตระหนกก็แผ่กระจายไปในหมู่ขุนนาง
เมื่อเทียบกับเหล่าขุนนางในตระกูลใหญ่โตพวกนั้นแล้ว ทาร์ลอสที่เป็นอัศวินไม่มีภาระความรับผิดชอบอะไรมากขนาดนั้น เดิมเขาไม่คิดที่จะขายชีวิตให้กับพวกปีศาจที่น่าเกลียดพวกนี้อยู่แล้ว แล้วก็ไม่มีทางไปเข้ากับพวกเกรย์คาสเซิลที่เป็นศัตรูคู่แค้นด้วย ในเมื่อไม่มีทางออกไปจากอีเทอร์นอลวินเทอร์ อย่างนั้นการรีบลงใต้ไปยังพื้นที่ที่ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของเกรย์คาสเซิลต่างหากถึงจะเป็นตัวเลือกที่ชาญฉลาด
แน่นอนว่าการไล่ล่าชาวบ้านผู้อพยพแบบนี้จะทำที่ไหนก็ได้ เขายังมีเวลาอีกมากที่จะแก้แค้น หรือพูดอีกอย่างก็คือ….หาความสุข ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ตอนนี้เขาชื่นชอบความรู้สึกที่ได้เป็นผู้ตัดสินชีวิตคนอื่นไปเสียแล้ว ความรู้สึกที่ได้เห็นชาวบ้านคุกเข่าขอร้องชีวิต กลิ้งไปมา ส่งเสียงร้องโหยหวน มันทำให้เขารู้สึกยากจะถอนตัวได้
ทุกครั้งที่ได้อาบเลือดสดๆ แม้แต่ความเจ็บปวดบนบาดแผลเก่าบนใบหน้าก็ยังทุเลาลง เหมือนกับว่ามันตอบรับต่อการบูชายัญด้วยเลือดอย่างไรอย่างนั้น
การฟื้นฟูตระกูลคงเป็นไปไม่ได้แล้ว สู้ดื่มด่ำกับความสุขที่ีมีในตอนนี้ดีกว่า
เพราะบนโลกนี้ไม่มีน่าสนุกกว่านี้อีกแล้ว
……………………………………………………………