Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1376 เห็นปาฏิหาริย์
เมืองหลวงของอีเทอร์นอลวินเทอร์
“นายท่าน…ท่านมาร์เวน…” มีคนผลักแขนเขา
มาร์เวนลืมตาขึ้นมาอย่างหงุดหงิด ผ่านไปครู่หนึ่งผ่านที่ดูเลือนรางจึงซ้อนทับกันอีกครั้งหนึ่ง ภาพใบหน้าพ่อบ้านที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นตรงหน้ามาร์เวน
“เอ่อ…ทำไมถึงเป็นเจ้าล่ะ?” เขาดันตัวเองลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก ก่อนจะไม่ระวังไปปัดถูกขวดเหล้า 3 – 4 ขวดที่วางอยู่บนโต๊ะ ขวดใบหนึ่งร่วงตกลงมาที่พื้นก่อนจะส่งเสียงแตกดังเพล้ง
เสียงนี้ทำให้เขาได้สติขึ้นมา
จากนั้นก็เป็นอาการปวดหัวจากอาการเมาค้าง
ใช่แล้ว เมื่อคืนนี้เขาบังคับให้ผู้หญิง 2 – 3 คนดื่มเหล้าเป็นเพื่อนเขาจนกระทั่งถึงตอนตี 4 – 5 สุดท้ายเขาถึงผล็อยหลับไปบนเตียงตั่ง มาร์เวนหรี่ตามองดูเตียงตั่ง ก่อนจะเห็นหยดเหล้าชนิดต่างๆ และของเหลวอื่นๆ กระจัดกระจายเต็มไปหมด หลังถูกเตาผิงให้ความร้อนมาทั้งคืนมันก็ส่งกลิ่นเหม็นเปรี้ยวแปลกๆ ออกมา ส่วนผู้หญิงเหล่านั้นได้หายไปหมดแล้ว
บ้าเอ้ย ทำไมเมื่อวานตัวเองถึงมานอนอยู่บนนี้ได้?
“เอามันไปเผา” มาร์เวนเช็ดคราบน้ำลายที่อยู่ตรงมุมปาก ก่อนจะเปลี่ยนท่านั่งเพื่อให้คลายความปวดหัว “อย่างนั้น ท่านพ่อบ้านของข้า วันนี้มีข่าวร้ายอะไรจะมาแจ้งให้ข้าทราบล่ะ? มีอัศวินของตระกูลไหนที่อยากจะหนีไปอีก หรือว่าคนของเกรย์คาสเซิลมันบุกเข้ามาในอีเทอร์นอลวินเทอร์แล้ว?”
“ไม่ขอรับ นายท่าน” พ่อบ้านรีบก้มหัวลง คนที่ออกความคิดให้บุกไปโจมตีกองทัพของเกรย์คาสเซิลก็คือตัวเขา ในเวลาแบบนี้เขาย่อมไม่อยากให้เจ้านายโยนความผิดมาที่ตนแน่นอน “คนของเกรย์คาสเซิลยังคงสู้กับปีศาจอยู่ที่วูล์ฟฮาร์ทขอรับ ช่วงนี้พวกมันไม่มีทางมาที่อีเทอร์นอลวินเทอร์แน่นอน ขอท่านโปรดวางใจได้ขอรับ..”
“เหอะ แต่ช้าเร็วมันก็ต้องมาอยู่ดีไม่ใช่เหรอ?” มาร์เวนพูดตัดบท ในเวลานี้แม้แต่ตัวเขาก็ยังรู้สึกว่ากลิ่นเหล้าในปากของตนมันค่อนข้างฉุนไปหน่อย “ปีศาจไม่เห็นจะส่งกองทัพมาเพิ่ม แม้แต่สกายลอร์ดอะไรนั่นก็หายไปเลย คนมีตาต่างก็มองออกทั้งนั้นว่าสถานการณ์ตอนนี้มันเป็นยังไง เจ้ามาปลอบข้ามันจะมีประโยชน์อะไร?”
“ไม่ นายท่าน..”
“ฟังข้านะ!” มาร์เวนคำราม “ข้ารู้ว่าเจ้าอยากจะพูดอะไร ขอให้ฮึกเหิมเข้าไว้ อย่ายอมแพ้….แต่วันนั้นเจ้าก็เห็นแล้วนี้ เห็นๆ อยู่ว่าใช้อาวุธแบบเดียวกัน แต่คนของพวกเรากลับถูกคนเกรย์คาสเซิลเล่นงานจนเละกลับมาไม่เป็นท่า นี่มันหมายความว่าไง? ความต่างกันมันไม่ได้อยู่ที่ตัวขุนนาง และอยู่ที่พวกลูกน้องกับชาวบ้าน! พวกเกรย์คาสเซิลมันกล้าที่จะวิ่งฝ่าปืนเข้ามา แล้วคนของเราล่ะ? มีแต่กุมหัววิ่งหางจุกตูดกลับมาเท่านั้น!”
“ตอนนี้คนที่ยังอยู่ที่เมืองหลวงของอีเทอร์นอลวินเทอร์มีอยู่เท่าไร? วิสเคาท์นาร์นอสล่ะ? ไม่สิ ที่ดินที่เขามีอยู่ในตอนนี้เรียกได้ว่าเท่ากับท่านเคาท์แล้ว ดยุคเรมีล่ะ? ทรัพย์สินของเขากว่าครึ่งอยู่ในอีเทอร์นอลวินเทอร์ อยากจะไปไหนก็ไปไม่ได้ แล้วก็ยังมีตระกูลนั้นตระกูลนี้…ใช่ ตระกูลใหญ่ๆ ยังอยู่ที่นี่ แต่พวกเขาไม่อยากไปจากที่นี่งั้นเหรอ! ก็ไม่ใช่!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเขาพลันดังขึ้นมา
“พวกเขาไปไหนไม่ได้! พวกเขาไม่อยากจะโยนทรัพย์สินที่สะสมมารุ่นต่อรุ่นเข้าไปในกองไฟ แล้วไปเริ่มต้นใหม่จากศูนย์! ถ้ามีวิธีอื่น พวกเขาไม่มีทางนั่งรอความตายอยู่เฉยๆ หรอก! แต่พวกอัศวินที่ข้าจ้างมาพวกนั้นมันไม่คิดถึงเรื่องแบบนี้ โฉนดที่ดินแค่ใบเดียวไม่สามารถรั้งพวกมันเอาไว้ได้ คนพวกนี้มันเอาโฉนดติดตัวหนีไปได้ พอสงครามสงบแล้วพวกมันก็ค่อยกลับมา ข้าถึงต้องทำเป็นมองไม่เห็น แล้วก็ใช้งานเลี้ยงมารั้งตัวพวกมันเอาไว้!”
“นี่ไม่ใช่การดูถูกตัวเอง แล้วก็ไม่ใช่การหลบหนีด้วย เจ้าเข้าใจไหม?” มาร์เวนเอื้อมมาไปหยิบไวน์มาขวดหนึ่ง ก่อนจะกรอกมันเข้าปาก “ถ้าตอนนี้ข้าทำสัญญาด้วยการมอบโฉนดที่ดินให้พวกมัน พวกมันก็จะรีบหนีไปทันที! ในเมื่อลูกน้องกับชาวบ้านสู้พวกเกรย์คาสเซิลไม่ได้ อย่างนั้นสิ่งเดียวที่เราจะพึ่งพาได้ก็เหลือแค่ปีศาจเท่านั้น ขอเพียงพวกมันเอาชนะโรแลนด์ วิมเบิลดันได้ คนพวกนี้ก็จะกลับมาเชื่อฟังเราใหม่ เมื่อถึงตอนนี้ค่อยตบรางวัล อัศวินพวกนี้ก็จะกลายเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของข้า!”
นายท่าน…ข้าทราบดี แต่ข้าจำเป็นต้องแจ้งท่านว่า สกาย..”
“หุบปาก เจ้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น!” น้ำเสียงของมาร์เวนฟังดูสั่นเครือเล็กน้อย “เจ้าคิดว่าข้าอ่อนแอ ไร้ความสามารถ ทั้งวันเอาแต่เมาหัวราน้ำ แต่ความจริงมันไม่ได้เป็นแบบนั้น แผนการของข้าไม่ได้ผิดพลาด คนที่ผิดพลาดก็คือพวกปีศาจที่พ่ายแพ้! แม้แต่พวกมันก็ยังเอาชนะเกรย์คาสเซิลไม่ได้ แล้วข้าคนเดียวจะไปทำอะไรได้? คนอื่นๆ หนีไปไม่ว่า แต่กระทั่งฟูลเลอร์ที่ข้าฝากความหวังเอาไว้ก็จะหนีไปด้วย ต่อให้ข้ากลายเป็นราชาแห่งอีเทอร์นอลวินเทอร์มันจะไปมีความหมายอะไร? สู้ดื่มเหล้ารสเยี่ยมให้มากหน่อยดีกว่า…เพราะว่า หลังจากนี้คงไม่มีโอกาสได้ดื่มมันแล้ว”
“ดังนั้นนับแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าไม่ต้องเอาข่าวร้ายมาบอกข้าอีก แค่เจ้ารู้เรื่องคนเดียวก็พอแล้ว ตอนเย็นช่วยเตรียมเหล้าดีๆ เอาไว้ให้ข้าด้วย ข้าจำได้ว่าคลังใต้ดินในเมืองหลวงมีเหล้าชั้นเยี่ยมอยู่ไม่น้อยใช่ไหมล่ะ? ตอนนี้…เจ้าออกไปได้แล้ว”
พอพูดจบมาร์เวนก็เอามือปิดหน้าแล้วนอนลงไปบนตั่ง
“นายท่าน ที่ข้าอยากจะบอกก็คือตอนนี้ท่านสกายลอร์ดรอท่านอยู่ในห้องรับแขกของปราสาทขอรับ มันบอกว่ามีคำสั่งใหม่ต้องการมอบหมายให้ท่าน” ในที่สุดพ่อบ้านก็มีโอกาสได้เอ่ยปาก เขาจึงรีบพูดมันออกไปทันที
“เจ้า…เจ้าว่าอะไรนะ?” มาร์เวนกระเด้งตัวขึ้นมานั่งทันที “สกายลอร์ดมาแล้วเหรอ? ทำไมถึงไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้? รีบเตรียมน้ำร้อนให้ข้า เดี๋ยวข้าล้างหน้าหน่อยแล้วค่อยไป!”
“ไม่ต้องแล้ว” ทันใดนั้นเอง เสียงที่ทุ้มต่ำเสียงหนึ่งพลันดังออกมาจากประตู ทั้งสองคนพากันมองไปตามเสียงอย่างตกตะลึง ก่อนจะเห็นปีศาจผิวสีน้ำเงินร่างกายสูงใหญ่ผลักประตู แล้วค่อยๆ เดินเข้ามา
อีกฝ่ายคือเฮคซอร์ด
มันกวาดสายตามองดูข้าวของและขวดเหล้าเปล่าที่กระจัดกระจายไปทั่วทั้งห้อง สีหน้าแสดงความดูถูกออกมาอย่างเปิดเผย “ข้านึกว่าเจ้ายุ่งอยู่กับเรื่องสำคัญเสียอีก ที่ไหนได้ ทำไม เจ้าคิดว่าศึกนี้มันรู้ผลแพ้ชนะแล้วงั้นเหรอ?”
บ้าเอ้ย มันได้ยินที่ตัวเองบ่น! มาร์เวนรีบคุกเข่าลงพร้อมกับตบหน้าตัวเอง “ไม่ ท่านสกายลอร์ด ข้าเพียงแค่…”
“เห็นแก่ความฉลาดของเจ้า ครั้งนี้ข้าจะยกโทษให้เจ้า แต่อย่าได้มีครั้งต่อไปนะ ไม่อย่างนั้นข้าจะตัดลิ้นของเจ้าออกมา” เฮคซอดพูดด้วยเสียงเยือกเย็น “จริงอยู่ที่ก่อนหน้านี้ศัตรูแสดงความแข็งแกร่งออกมาได้เหนือกว่าที่ข้าคิดเอาไว้ แต่มันก็แค่ก่อนหน้านี้เท่านั้น อันที่จริง เวลาของพวกมันเหลืออีกแค่ไม่เท่าไรแล้ว ไม่ใช่แค่วูล์ฟฮาร์ทเท่านั้น แต่อีกไม่นานทั้งวูล์ฟฮาร์ท ดอว์นและเกรย์คาสเซิลก็จะถูกไฟแห่งสงครามกลืนกิน นี่คือชะตาชีวิตของผู้ที่ต่อต้าน”
“ท่านสกายลอร์ด ไม่ทราบว่า…นี่เป็นความจริงหรือขอรับ?” มาร์เวนพูดอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เดิมเขาคิดว่าอีเทอร์นอลวินเทอร์ได้กลายเป็นสถานที่แห่งความตายไปแล้ว แล้วก็คิดอยากจะขอที่ให้ตัวเองได้อยู่อาศัยจากราชาปีศาจ แต่จากที่อีกฝ่ายว่ามา สถานการณ์เหมือนจะยังไม่ถือว่าแย่เกินไป อย่างน้อยก็ยังไม่แย่จนถึงขั้นแก้ไขอะไรไม่ได้ ก่อนหน้านี้พวกปีศาจเองก็คิดว่าพวกเกรย์คาสเซิลนั้นไม่ได้ร้ายกาจอะไร คำพูดนี้มีความน่าเชื่อถืออยู่เท่าไรจึงยังไม่อาจรู้ได้
เฮคซอดหัวเราะเยือกเย็นขึ้นมา “นี่เจ้านึกสงสัยมันก็พอจะยกโทษให้ได้อยู่ แต่เอาไว้หลังจากได้เห็น ‘พลัง’ ของเผ่าพันธุ์ข้าด้วยตาตัวเองแล้ว ข้าเชื่อว่าเจ้าจะเข้าใจคำพูดของข้าแน่” พอพูดจบมันก็ยกมือขึ้นมาเปิด ‘ประตู’ ที่ส่งแสงสีม่วงแปลกๆ “ตามข้ามา
มาร์เวนกลืนน้ำลาย ก่อนจะมุดตามเข้าไปในประตู
อีกด้านหนึ่งของประตูยังคงเป็นห้องโถงห้องหนึ่ง เขารู้สึกแปลกใจเมื่อได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของใครหลายคน อย่างเช่นนาร์นอสกับเรมี
เห็นได้ชัดว่าสกายลอร์ดเรียกขุนนางส่วนใหญ่ของอีเทอร์นอลวินเทอร์มาที่นี่กันหมด
ยังไม่ทันที่เขาจะได้ถามอะไร ราชาปีศาจพลันเปิดประตูบานใหม่ขึ้นมา
เจตนาของมันคืออะไรไม่บอกก็คงจะรู้
เหล่าขุนนางต่างสบตากัน จากนั้นจึงต่อแถวเดินเข้าไปในประตู
เขาใช้เวลาเดินทางเกือบหนึ่งวัน
มาร์เวนจำไม่ได้ว่าตัวเองเดินผ่านประตูไปกี่บาน ภาพข้างกายตัวเองบางครั้งก็เป็นถ้ำ บางครั้งก็เป็นยอดเขา ยิ่งเดินไปเรื่อยๆ เขาก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ ถึงแม้จะรู้ว่าถ้าหากปีศาจอยากจะฆ่าเขา มันไม่จำเป็นต้องลำบากทำอะไรแบบนี้เลย แต่การที่ฝืนบังคับให้เขาเดินไปยังที่ๆ ไม่รู้จุดหมายมันก็ยังทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวอยู่ดี
หลังตกกลางคืน ในที่สุดเหล่าขุนนางก็เดินทางมาถึงจุดหมายปลายทางของการเดินทางครั้งนี้
ในขณะที่ประตูบานสุดท้ายที่อยู่ด้านหลังพวกเขาค่อยๆ หายไป มาร์เวน ไพค์พลันดวงตาเบิกโพลงขึ้นมาทันที!
“นี่มัน..”
เขามองเห็นปาฏิหาริย์!
ถูกต้อง ต่อให้ใช้คำพูดทั้งหมดที่มี เขาก็ไม่สามารถนิยามสิ่งที่ตัวเองกำลังมองเห็นอยู่นี้ได้ นอกจากปาฏิหาริย์แล้ว เขาคิดคำอื่นไม่ออกจริงๆ!
ขุนนางคนอื่นเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร ต่างคนต่างอ้าปากค้าง
“ตอนนี้ พวกเจ้าก็ได้เห็นแล้ว” เฮคซอดพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ
…………………………………………………..