Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1382 สิ่งที่ได้เห็น
ศูนย์บัญชาการ เคจเมาเธ่น
“หัวหน้า จดหมายแบบเดียวกันอีกแล้ว..” คลาวน์หยิบเอากระดาษแผ่นหนึ่งส่งให้ฮิลล์ ฟ็อกส์
ถึงแม้เรื่องราวจะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่เหล่าสมาชิกคณะกายกรรมในตอนแรกเหล่านั้นยังคงเคยชินที่จะเรียกเขาว่าหัวหน้าอยู่
“ส่งมาจากไหน?” ฮิลล์รับเอากระดาษมากวาดตามอง “หาแหล่งที่มาได้ไหม?”
“นกส่งจดหมายบินมาจากทางใต้ของอีเทอร์นอลวินเทอร์ ทางนั้นมีเมืองอยู่ทั้งหมดสามเมือง นอกจากนี้แล้ว บนจดหมายไม่ได้เขียนอะไรอย่างอื่นเอาไว้เลย”
ฮิลล์ขมวดคิ้วอยู่ครู่ จากนั้นเขาจึงลุกขึ้นมา “ไปแจ้งท่านขวานเหล็กกับท่านเอดิธส์ พวกเราอาจจะมีปัญหาแล้ว”
……
หลังจากนั้นสิบห้านาที
เอดิธส์วางจดหมายลง ก่อนจะเคาะโต๊ะเบาๆ “…พูดอีกอย่างก็คือเรื่องนี้เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ของอีเทอร์นอลวินเทอร์พร้อมๆ กัน?”
ฮิลล์พยักหน้า “ถึงแม้จะไม่สามารถยืนยันได้ว่ามีเมืองไหนที่ทำตามคำสั่งนี้บ้าง แต่เมื่อดูจากการกระจายตัวของจดหมายแล้ว จะบอกว่าเป็นการเคลื่อนไหวทั่วทั้งอาณาจักรก็คงจะได้”
ในหลายวันมานี้ หน่วยข่าวกรองได้รับจดหมายลับที่มีเนื้อหาเหมือนกันหลายฉบับ
ในจดหมายบอกว่าขุนนางกำลังใช้วิธีการบังคบชาวบ้านในพื้นที่ให้อพยพออกจากเมือง
และทิศทางในการอพยพของพวกเขาล้วนแต่เป็นทางเหนือ
จดหมายที่มีเนื้อหาเหมือนกันแบบนี้ แต่กลับส่งมาจากคนละที่นั้นแทบจะไม่มีทางส่งผิดหรือทำปลอมขึ้นมาได้ พูดอีกอย่างคือขุนนางของอีเทอร์นอลวินเทอร์กำลังทำภารกิจที่เหมือนกัน
ถึงแม้ในจดหมายจะบอกแค่ว่า ‘เคลื่อนย้าย’ แต่มันไม่มีทางที่จะเป็นเรื่องเล็กๆ แน่นอน ขีดความสามารถในการรองรับของเมืองมีขีดจำกัด การที่มีจำนวนประชากรน้อยเกินไปหรือมากเกินไปล้วนแต่ทำให้เมืองเกิดการอัมพาตได้ อีกทั้งการจะเคลื่อนย้ายประชากรก็ยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องคำนึงถึง อย่างเช่นอาหารที่จะให้ชาวบ้านกิน ที่อยู่อาศัยชั่วคราว ทรัพย์สมบัติที่พกติดตัว…เมืองเนเวอร์วินเทอร์นั้นมีประสบการณ์ในด้านนี้อย่างมาก เรียกได้ว่าเมืองที่ปกครองด้วยระบบขุนนางแบบเก่านั้นไม่มีความสามารถที่จะทำการเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ได้ ถ้าไม่มีความสามารถและทรัพยากรที่มากพอที่จะสนับสนุน การเคลื่อนย้ายที่ว่านั้นไม่ได้ต่างอะไรกับการรนหาที่ตายเลย
จริงอยู่ที่ขุนนางส่วนใหญ่นั้นไม่สนใจความเป็นความตายของชาวบ้าน แต่นั่นมันเป็นแค่ตอนที่มองชาวบ้านในระดับตัวบุคคล การเก็บภาษีและการปกครองของเจ้าเมืองนั้นมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มชาวเมือง ถ้าไม่มีชาวเมืองอยู่ภายใต้การปกครองเลย มีอำนาจที่แข็งแกร่งไปมันก็ไม่มีประโยชน์ ทันทีที่ชาวบ้านเหล่านี้พบว่าตัวเองไม่มีทางได้รับประโยชน์อะไรจากการเคลื่อนย้าย พวกเขาก็จะสูญเสียความเชื่อใจของชาวบ้านไป ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่คนจำนวนมากมารวมตัวอยู่ด้วยกันก็จะทำให้เกิดการจลาจลได้ง่าย ด้วยเหตุนี้ต่อให้เป็นขุนนางที่อวดดีแค่ไหนก็ไม่มีทางทำเรื่องที่น่าตกใจแบบนี้ง่ายๆ แน่
แต่ตอนนี้ไม่ได้มีขุนนางแค่คนเดียวที่ทำแบบนี้ หากแต่ทั่วทั้งดินแดนทางเหนือต่างกำลังทำแบบนี้อยู่ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้รับคำสั่งมาจากทางอื่น
ในอีเทอร์นอลวินเทอร์ คนที่มีความสามารถที่จะทำแบบนี้ได้ก็มีแต่ปีศาจเท่านั้น
“แต่ทำไมปีศาจต้องทำแบบนี้?” เอดิธส์พูดกับตัวเองอย่างสงสัย “ถ้าแค่ต้องการตัดกำลังของเกรย์คาสเซิล ก็แค่ฆ่าชาวบ้านให้หมดก็ได้…ถ้ามีปีศาจแมงมุม ต่อให้พวกขุนนางไม่ยอมก็ไม่มีทางที่จะหยุดอีกฝ่ายได้”
“บางทีปีศาจอาจจะคิดว่า…พวกเขายังมีประโยชน์อยู่ก็ได้” เฟร์รานพยายามตั้งสมมติฐาน
“ถ้ามีประโยชน์ก็ไม่ควรบังคับพวกเขาอพยพ” ฮิลล์ส่ายหัว “อีเทอร์นอลวินเทอร์นั้นเป็นอาณาจักรที่มีจำนวนเมืองใหญ่น้อยที่สุดในสี่อาณาจักรใหญ่ ถึงแม้จะเป็นเมืองหลวง แต่ถ้าไม่เตรียมตัวล่วงหน้าก็รองรับคนได้แค่ 2 – 3 หมื่นคน แถมจุดหมายปลายทางในการอพยพก็ไม่ใช่เมืองหลวงด้วย”
“เมืองใหญ่ที่อยู่เหนือสุดคือ…” เอดิสธ์มองดูแผนที่
“เมืองรีเฟล็คสโนว์ ด้านหลังติดกับปลายสุดของเทืองเขาสิ้นวิธี พื้นที่แค่ครึ่งเดียวของเมืองหลวง” เฟร์รานรีบรายงานข้อมูล “เนื่องจากลักษณะทางภูมิประเทศที่มีความพิเศษ คนที่อาศัยอยู่ที่นั่นจึงมีจำนวนไม่มาก แถมยังเป็นจุดแรกที่มีหมอกแดงปรากฏขึ้นมาด้วย”
“ถ้าปีศาจคิดจะเคลื่อนย้ายคนมาที่มีทั้งหมดจริงๆ นั่นมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการฆ่าพวกเขาเลย” ฮิลล์พูด
“ซึ่งศัตรูไม่มีทางทำอะไรวุ่นวายแน่” เอดิธส์พยักหน้าเห็นด้วย “ข้าคิดว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอะไรที่พวกเรายังไม่รู้แน่ ถึงทำให้ปีศาจทำอะไรที่เราไม่เข้าใจแบบนี้”
“แล้วการเปลี่ยนแปลงที่ว่าคืออะไร?” ขวานเหล็กถาม
“ข้าไม่รู้…” เอดิธส์ค่อยๆ พูด “แต่จะต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ แจ้งแนวหน้า ให้พวกเขาเพิ่มการเฝ้าระวัง”
…..
“หมอกแดงนี่…หรือว่าจะเป็นที่ตั้งเสาโอเบลิสของพวกปีศาจ?” ทิลลีพูดงึมงำ
‘ไม่ใช่เพคะ’ ไลต์นิ่งตอบด้วยสีหน้าคร่ำเครียด ‘จากตรงนี้ พวกเราควรจะมองไม่เห็นหมอกแดงถึงจะถูก…’
“มองไม่เห็น? ทำไม?”
‘เพราะว่าหมอกแดงมันจะไหลลงข้างล่างจิ๊บ!’ คนที่ตอบคือเมซี่ ‘หม่อมฉันเคยเห็นหมอกแดงมันไหลลงมาจากขอบของเทือกเขาสิ้นวิถี ดูแล้วเหมือนกับน้ำตกเลยจิ๊บ!’
‘ถูกต้อง หม่อมฉันไม่รู้ว่านั่นเป็นเพราะหมอกแดงหนักกว่าอากาศหรือเปล่า ถึงได้ทำให้พวกมันตกลงมารวมกันอยู่ในที่่ต่ำได้ง่าย แต่มีเรื่องหนึ่งที่มั่นใจได้ นั่นคือตอนที่หมอกแดงไหลจากสันหลังของทวีปเข้าไปในอีเทอร์นอลวินเทอร์ บนยอดเขาไม่มีหมอกแดงแบบนี้เลย’ ไลต์นิ่งพูดเสริม
“เจ้าหมายความว่า ตอนนั้นพวกมันไหลลงมาจากหุบเขางั้นเหรอ?” ทิลลีเลิกคิ้วขึ้นมา
ดังนั้นเธอถึงได้พูดว่าไม่มีทางมองเห็นหมอกแดงจากในระยะนี้ ตอนนี้พวกเธออยู่ห่างจากเทือกเขาที่สูงที่สุดนี้อยู่หลายร้อยกิโลเมตร ถ้าหมอกแดงไม่ลอยขึ้นมา พวกมันจะต้องถูกยอดเขาที่สลับซับซ้อนบดบังเอาไว้แน่
‘ไม่ใช่เท่านี้เพคะ’ ไลต์นิ่งพูดอย่างมั่นใจ ‘เมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ หม่อมฉันได้บินเลียดเทือกเขาสิ้นวิถีขึ้นไปทางเหนือเพื่อลาดตระเวน แล้วก็ได้เข้าไปใกล้พื้นที่หมอกแดงด้วย แต่ในตอนนั้นบนสันหลังของทวีปยังไม่มีเมฆแดงนี้เลย มัน…ดูแล้วไม่เหมือนว่าขึ้นมาจากรอยแตกเพคะ’
ทิลลีรู้สึกแผ่นหลังเย็นวาบขึ้นมา ในเวลานี้เธอค่อยๆ สังเกตเห็นว่าสีแดงบนยอดเขานั้นไม่ได้เป็นชั้นบางๆ หากแต่ก่อตัวเป็นก้อนตั้งแต่บนลงมาข้างล่าง พูดให้ถูกคือมันเหมือนกับเสาเมฆขนาดยักษ์ที่ไหลทะลักลงมาจากชั้นเมฆด้านบน
เธอจ้องมองภาพแปลกประหลาดที่อยู่ตรงหน้าพร้อมกับเงียบไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นเธอจึงพูดขึ้นมาว่า “มีวิธีหนึ่งที่อาจจทำให้เรามองเห็นได้ชัดขึ้น”
ไลต์นิ่งเงยหน้าขึ้นมองก้อนเมฆที่หนาแน่นที่อยู่บนหัว ‘หม่อมฉันก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันเพคะ’
บินยิ่งสูงก็ยิ่งมองเห็นได้ชัด
ขอเพียงพวกเธอสามารถเก็บภาพสันหลังแห่งทวีปได้ทั้งหมด พวกเธอก็อาจจะเห็นหน้าตาที่แท้จริงของก้อนเมฆสีแดงนั้น
“อย่างนั้นก็ลองดูกันเถอะ..” ทิลลีเหยียบคันเร่งจนสุดอีกครั้ง แล้วดึงหัวเครื่องบินให้ไต่ระดับขึ้นไปบนก้อนเมฆ ไลต์นิ่งเองก็บินเข้าไปประชิดห้องคนขับเพื่อให้การสอดประสานพลังเวทมนตร์ครอบคลุมไปถึงตัวทิลลีให้ได้มากที่สุด
ภายใต้ความร่วมมือกันของทั้งสองคน เข็มวัดระดับความสูงของฟินิกส์ค่อยๆ หมุนไปด้านหลัง
ในตอนที่ขึ้นไปถึงระดับความสูง 7,500 เมตร พื้นดินได้กลายเป็นทรงโค้งอย่างชัดเจน ก้อนเมฆดูเบาบาง ไม่ได้รวมกลุ่มกันเป็นก้อนเหมือนด้านล่าง ขอบของพื้นดินก็มีสีน้ำเงินบางๆ ปรากฏขึ้นมา
หน้าผากของไลต์นิ่งมีเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มไปหมด เห็นได้ชัดว่าระดับความสูงนั้นสร้างภาระให้กับการสอดประสานพลังเวทมนตร์ของเธอไม่น้อย เมื่อมองผ่านกระจกออกไป ทิลลีมองเห็นบนตัวเครื่องมีผลึกน้ำแข็งจับตัวแข็งอยู่ ถ้าไม่เป็นเพราะอีกฝ่ายใช้การสอดประสานพลังเวทมนตร์มาช่วยลดความรู้สึกไม่สบายใจตนแล้วล่ะก็ เกรงว่าเธอคงไม่มีทางที่จะมีสมาธิขับเครื่องบินเหมือนอย่างตอนนี้แน่
“พอแล้วล่ะ” ทิลลีสัมผัสได้ว่าแรงขับเคลื่อนของเครื่องยนต์กำลังลดลงอย่างรวดเร็ว “เราหาที่สังเกตการณ์กันเถอะ”
“เดี๋ยวข้าจัดการเองจิ๊บ!” เมซี่ยื่นหัวออกมา ก่อนจะเปลี่ยนร่างกลายเป็นเหยี่ยว
ประมาณ 5 นาที เธอก็เจอจุดที่เหมาะสำหรับสังเกตการณ์ ในรอยแตกของเมฆที่ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ สามารถมองเห็นเค้าโครงของสันหลังของทวีปได้พอดี
แต่ในตอนที่ภาพที่อยู่ด้านบนหมอกแดงสะท้อนเข้าในกล้องส่องทางใกล้ ทั้งสามคนก็แทบจะไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเอง
พวกเธอมองเห็นแผ่นดินผืนหนึ่งที่กำลังลอยอยู่
………………………………………………………………..