Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1387 สถานีวิทยุไร้สาย
“น่าเกลียดจริงๆ เลย” ทิลลีมุ่ยปาก
โรแลนด์ยิ้มแห้งๆ ถ้าบอกว่าตัวหนังสือของสี่อาณาจักรใหญ่ดูยึกยือเหมือนกับไส้เดือน อย่างนั้นตัวหนังสือของปีศาจก็ดูวุ่นวายอย่างมาก ดูเผินๆ แล้วเหมือนกับสัญลักษณ์เวทมนตร์อย่างไรอย่างนั้น บวกกับเขาอาศัยความจำล้วนๆ ในการเขียนออกมา ทำให้เขียนออกมาแล้วดูยุ่งเหยิงอย่างมาก ไม่รู้ว่าเฮคซอดจะอ่านเข้าใจความหมายของมันหรือเปล่า
เขาเองก็เคยถามวัลคีรีย์เหมือนกัน แต่กลับถูกอีกฝ่ายโต้กลับมา
เธอคิดว่าถ้าให้มนุษย์เป็นคนเขียนมันจะมีความเป็นไปได้มากกว่า เพราะนี่จะเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าเธอยังไม่ได้หายไปในโลกแห่งจิตสำนึก แล้วก็ยังแสดงให้เห็นว่าเธอกำลังลำบาก ถึงได้ต้องใช้วิธีแบบนี้ในการส่งข่าวออกมา ถ้าให้เธอเขียนจดหมายออกมาด้วยตัวเองเลย มันกลับจะทำให้เฮคซอดที่เป็นคนระมัดระวังตัวเองสงสัยได้ว่าอาจจะเป็นกับดัก เพราะในเมื่อสามารถส่งจดหมายที่เขียนด้วยลายมือตัวเองออกมาได้ ทำไมถึงไม่ออกมาจากโลกแห่งจิตสำนึกเลย?
“อย่างนั้นจดหมายมันเขียนว่ายังไง?”
“มันบอกให้สกายลอร์ดพยายามหลีกเลี่ยงสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น ดังนั้นจดหมายฉบับนี้ต้องให้ทางทีมที่ปรึกษาคิดหาทางเอาไปส่งให้ถึงมือปีศาจให้ได้”
“ท่านพี่ ท่านสบายดีหรือเปล่า?” ทิลลีพูดด้วยสีหน้าตกตะลึง “ราชาของศัตรูมันจะมาฟังท่านได้ยังไง?”
“ลองดูหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไรนี่…” โรแลนด์แสร้งทำหน้าไม่ใส่ใจ “ถ้าเกิดมันสำเร็จล่ะ?”
ความจริงปัญหานี้เขาก็เคยถามไนท์แมร์เหมือนกัน อีกฝ่ายตอบเขากลับมาว่าอายุขัยของปีศาจระดับสูงมักจะยาวนานเป็นหลายร้อยปี ในช่วงเวลานี้นิสัยและวัฒนธรรมของพวกมันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ตัวหนังสือจึงมักจะมีเอกลักษณ์ประจำตัวอยู่ ซึ่งเอกลักษณ์ตรงนี้จะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าตราประทับหรือสัญลักษณ์เสียอีก
“เอาล่ะ” ทิลลีรับจดหมายมาอย่างเหนื่อยใจ “ในเมื่อท่านขอร้องมาแบบนี้ล่ะก็”
ในขณะที่เธอกำลังจะบอกลา โทรศัพท์จากห้องทดลองเนินทิศเหนือที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานก็ดังขึ้นมา
โรแลนด์ยกหูโทรศัพท์ขึ้นมา คนที่โทรมาคืออันนา
หลังฟังอีกฝ่ายพูดจบ เขาพลันยิ้มมุมปากขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะหันมาพูดกับทิลลีว่า “วันนี้เจ้ายังไม่ต้องรับกลับไปหรอก พักอยู่ที่ปราสาทซักคืน ข้ามีของเล่นชิ้นใหม่อยากจะให้เจ้าพอดี”
….
ภายในห้องทดลอง ทิลลีได้เห็นกล่องไม้ทรงสี่เหลี่ยมขนาดเล็กที่โรแลนด์เรียกว่าผลิตภัณฑ์ใหม่แห่งการปฏิบัติอยู่สองกล่อง
จะบอกว่ามันเป็นกล่องก็คงไม่ผิด ขอบด้านข้างของมันไม่เพียงแต่จะมองเห็นช่องและบานพับของแผ่นปิดได้อย่างชัดเจน แต่ขนาดของมันแค่ประมาณ 30 เซนติเมตรเท่านั้น เหมือนว่าสามารถถือเอาไว้ในมือได้เลย ขนาดนี้เมื่อเทียบกับเครื่องจักรที่น่าตกตะลึงก่อนหน้านี้แล้วเรียกได้ว่าแตกต่างกันมาก
และจุดที่กล่องสองกล่องนี้แตกต่างจากกล่องธรรมดาทั่วไปน่าจะอยู่ที่ด้านหน้าของมันมีปุ่มกดและปุ่มหมุนตั้งเรียงรายอยู่บนแผ่นโลหะที่ส่องประกายแวววาว
“นี่มัน..”
“สถานีวิทยุสื่อสารเคลื่อนที่แบบไร้สาย” อันนาอธิบาย “มันเป็นเหมือนกับหอคอยโทรเลขที่ย่อส่วนลง ข้อดีของมันคือสามารถส่งเสียงพูดคุยกันได้เลย แต่ระยะทางก็จะสั้นกว่าโทรเลขมาก”
“อย่างนี้นี่เอง..เดี๋ยวๆ” ทิลลีตกตะลึงไปทันที เธอมองไปทางโรแลนด์ “นี่คืออุปกรณ์สื่อสารรุ่นใหม่ที่ท่านพูดถึงก่อนหน้านี้งั้นเหรอ?”
ถึงแม้อีกฝ่ายจะเคยเล่าให้เธอฟังก่อนหน้านี้แล้ว แต่เธอก็คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วมันจะมีขนาดเล็กกะทัดรัดแบบนี้! ต่อให้ติดตั้งไปบนเครื่องบินได้ มันก็น่าจะกินพื้นที่ส่วนใหญ่ของใต้ท้องเครื่องบินไปถึงจะถูก เพราะว่าขนาดของหอส่งโทรเลขมันยังใหญ่ขนาดนั้น แค่ย่อให้มันเล็กลงมาเท่ากับเฮฟเว่นเฟลมได้ก็ถือว่าน่าเหลือเชื่อมากแล้ว
โรแลนด์เหมือนจะมองเห็นความสงสัยของเธอ เขายื่นมือออกไปเปิดฝาปิดกล่องไม้
สายไฟที่พันกันไปมาและชิ้นส่วนต่างๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอทันที ถึงแม้จะไม่เข้าใจหลักการทำงานของมัน แต่ทิลลีก็รู้ดีว่าเจ้าสิ่งนี้มันไม่เหมือนกับอุปกรณ์เครื่องจักรที่ผ่านมา
“มันถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่แท้จริงเครื่องแรกของโลก ถึงแม้มอเตอร์ หลอดไฟ โทรศัพท์และเครื่องโทรเลขก่อนหน้านี้จะใช้กระแสไฟฟ้า แต่ความจริงแล้วมันเป็นแค่การเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าและปล่อยออกไปในรูปแบบอื่นเท่านั้น” โรแลนด์พูด “แต่เจ้าวิทยุสื่อสารมีระบบวงจรของมันเอง สามารถใช้กระแสไฟฟ้ามาควบคุมกระแสไฟฟ้าได้ มันก็เหมือนกับการเปลี่ยนฟันเฟือง สกรูและตลับลูกปืนให้กลายเป็นสัญญาณไฟฟ้า ขนาดในตอนนี้ถือว่าค่อนข้างใหญ่แล้ว”
“พระองค์ทรงกำลังโทษว่าหม่อมฉันฝีมือไม่ดีพออย่างนั้นเหรอเพคะ?” อันนาเหลือบมองเขา
“แค่กๆ…ไม่ใช่แบบนั้น” โรแลนด์รีบกระแอม “เป็นเพราะแปลนของศูนย์ออกแบบมันยังไม่ประณีตพอน่ะ”
“เป็นเพราะพี่อันนาทำงานจนมืดทุกคน ตัวอย่างทดลองถึงได้สร้างเสร็จเร็วขนาดนี้” ลูเซียที่เป็นผู้ช่วยพูดเสริมขึ้นมา “หลักๆ แล้วเป็นเพราะในหลอดสุญญากาศมันต้องมีสภาพสุญญากาศ แล้วก็ต้องใส่ชิ้นส่วนเข้าไปหลายชิ้น ถ้าไม่มีไฟสีดำ เกรงว่าคงยากที่จะสำเร็จได้”
หัวใจสำคัญของวิทยุสื่อสารนั้นอยู่ที่หลอดสุญญากาศที่รวมเอาการขยาย การดีมอลดูเลทและการสั่นสะเทือนเข้าไว้ด้วยกัน นอกจากนี้มันยังเป็นสัญลักษณ์ว่ามนุษย์ได้ก้าวเข้าสู่ยุคสมัยอิเล็กทรอนิกส์ โรแลนด์ย่อมต้องดูว่ามันยากลำบากแค่ไหน ตัวอย่างที่พังเสียหายที่วางกองอยู่ด้านนอกห้องทดลองเนินทิศเหนือคือเครื่องยืนยัน ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่ได้ถนัดในเรื่องวิทยาศาสตร์ไฟฟ้าด้วย ดังนั้นส่วนใหญ่จึงต้องให้อันนาเป็นคนค่อยๆ ทดลองและปรับเปลี่ยนดูด้วยตัวเอง
และความจริงก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าสถานีวิทยุคลื่นสั้นที่เขาคิดเอาไว้ก่อนหน้านี้มันคือความคิดที่ยอดเยี่ยม หลังจากนี้งานของอันนาจะต้องเน้นไปที่เครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดใหญ่ หลอดสุญญากาศที่เจียดเวลาว่างในการสร้างขึ้นมาสามารถทำให้อัศวินอากาศพึงพอใจได้นั้นถือว่าดีมากแล้ว
“ข้าขอลองดูได้ไหม?” ทิลลีรีบถามขึ้นมาทันที
“ได้สิ” อันนาพยักหน้ายิ้มๆ
ไม่นานทั้งสามคนก็ทดลองเล่นเครื่องวิทยุสื่อสาร ภายในห้องทดลองเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุข
ต้องขอบคุณที่ในยุคสมัยนี้ยังไม่มีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอื่นมารบกวน ขอบเขตการส่งสัญญาณภาคพื้นดินของสถานีวิทยุตัวต้นแบบจึงสามารถส่งสัญญาณออกไปได้ไกลมากกว่า 2 กิโลเมตรอย่างสบายๆ หากเอาไปใช้บนท้องฟ้านั้นย่อมต้องส่งออกไปได้ไกลขึ้นอย่างแน่นอน แม้จะเป็นตอนที่เครื่องโทรเลขแบบสปาร์คส่งโทรเลขออกไป สถานีวิทยุก็จะได้รับสัญญาณรบกวนอย่างชัดเจน แต่ถ้าไม่มีเหตุด่วนฉุกเฉินอะไร เจ้าหน้าที่ส่งโทรเลขก็จะเลือกส่งโทรเลขตามเวลาที่กำหนดเอาไว้ เพื่อที่จะได้ไม่ไปซ้อนทับกับเวลาออกปฏิบัติการของอัศวินอากาศ
ในสายตาของโรแลนด์ การสร้างสถานีวิทยุไร้สายออกมาได้สำเร็จนั้นมีความสำคัญต่ออัศวินอากาศมากกว่าการสร้างปืนใหญ่อัตโนมัติ 20 มม.ออกมาเสียอีก การสื่อสารแบบเรียลไทม์จะช่วยขยายขอบเขตในการจัดรูปแบบการบินได้ ทำให้สามารถใช้กลยุทธ์การรบทางอากาศออกมาได้อย่างเต็มที่ ภายใต้การประสานงานกันอย่างถูกต้องแม่นยำ ความแข็งแกร่งในการรบแบบเป็นทีมจะเพิ่มขึ้นทุกๆ ด้าน เรียกได้ว่าอัศวินอากาศที่ทำแบบนี้ต่างหากถึงจะถือว่าเป็นกองทัพอากาศที่แท้จริง
เห็นได้ชัดว่าทิลลีมองออกถึงจุดนี้ หลังจบการทดสอบแล้ว การเร่งเร้าของเธอก็เปลี่ยนจากเครื่องบินมาเป็นวิทยุไร้สาย
เช้าวันถัดมา เธอพกเอาวิทยุตัวอย่างขึ้นฟินิกส์ไปด้วย
ในตอนที่เครื่องบินสีแดงส้มหายลับไปในขอบฟ้า แสงแดดที่เจิดจ้าพลันทะลุชั้นเมฆ จากนั้นลำแลงอันอบอุ่นนับพันนับหมื่นเส้นก็แผ่กระจายลงมา
ในที่สุดเดือนแห่งปีศาจที่ดำเนินมา 4 เดือนก็สิ้นสุดลง
ในขณะเดียวกัน พระจันทร์สีแดงที่ลอยอยู่เหนือหัวก็หายไปด้วย ราวกับว่ามันไม่เคยอยู่ตรงนั้นมาก่อน
แต่โรแลนด์รู้ว่านี่ไม่ได้หมายถึงการสิ้นสุดของสงครามแห่งโชคชะตา
เมื่อหลายร้อยปีก่อน ปีศาจฉวยโอกาสตั้งเสาโอเบลิสตอนที่พระจันทร์สีแดงส่องแสงลงมาบนพื้นโลก แล้วก็รอคอยให้มันเติบโตอย่างเงียบๆ กระทั่งทุกอย่างพร้อมแล้ว พวกมันถึงจะเปิดฉากโจมตีอย่างเป็นทางการ
สงครามแห่งชะตาชีวิตมักจะเผยโฉมที่แท้จริงออกมาในช่วงเวลานี้
ตอนนี้ มนุษย์กลับมายืนอยู่บนจุดเดิมอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้ โฉมหน้าของพวกเขาได้เปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว
เขาเชื่อว่าประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำรอย
……………………………………………………..