Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1393 ไพ่ตาย
ภายใต้การสั่งการด้วยวิทยุ ถึงแม้จะอยู่ห่างกันเป็นพันเมตร แต่ก็ยังสามารถสามารถจัดรูปขบวนให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้
เฮฟเว่นเฟลมที่แบ่งออกเป็น 3 ทีมจำนวนทั้งหมด 75 ลำได้ไปถึงน่านฟ้าที่จะใช้เป็นจุดสกัดอสูรสยองพร้อมกัน จากนั้นจึงเปิดฉากโจมตีใส่อสูรสยองจาก 3 ทิศทาง วิถีการบินของเฮฟเว่นเฟลมเป็นเหมือนกับกรรไกลที่ตัดขบวนรบของศัตรูจนขาดในพริบตา!ห
ศึกกลางอากาศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ที่มีสงครามแห่งโชคชะตาอุบัติขึ้นมาได้เปิดฉากขึ้นบนท้องฟ้าเหนือเทือกเขาสิ้นวิถีในอาณาจักรวูล์ฟฮาร์ท
ในเวลานี้เอง เสียงคำรามของปีศาจและเสียงของเครื่องยนต์ดังสลับกันไปมา
อสูรสยองที่ถูกยิงหมุนร่วงตกลงไปข้างล่างเหมือนกับใบพัด ส่วนปีศาจที่ขี่มันต่อให้มีพลังที่แข็งแกร่งแค่ไหน แต่ในเวลานี้พวกมันก็ได้แต่ต้องปล่อยให้ร่างกายร่วงตกลงไปข้างล่างโดยไม่อาจทำอะไรได้ สุดท้ายก็กลายเป็นจุดสีน้ำเงินอยู่บนพื้น
หลังทั้งสองฝ่ายปะทะกัน รูปขบวนที่เป็นระเบียบก่อนหน้านี้แตกกระจายไปคนละทิศคนละทาง
จากวิธีการรบที่ระบุเอาไว้ในคู่มือการบิน อัศวินอากาศควรจะพยายามสลัดการไล่ตามของศัตรู แล้วใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบในเรื่องความเร็วทิ้งระยะห่างจากศัตรูออกมา จากนั้นค่อนวกกลับไปโจมตีใหม่อีกครั้ง
“ยิงอิสระ ยิงอิสระ!” ทิลลีออกคำสั่งพร้อมเปิดฉากยิงเป็นคนแรก จากนั้นจึงอาศัยความเร็วของฟินิกส์ในการพุ่งออกมาจากวงปะทะเป็นคนแรก — น่าจะเป็นเพราะสีของเครื่องบินสะดุดตาบางเกินไป อสูรสยองจำนวนหลายตัวตึงบินไล่ตามเธอมา ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุการณ์ที่เธอคิดเอาไว้แต่แรกแล้ว
ถ้าเธอสามารถดึงดูดศัตรูมาได้มาก ความกดดันของพวกตัวเองก็จะยิ่งลดลง
ขอเพียงสร้างพื้นที่ได้มากพอ อัศวินก็จะมีความได้เปรียบในศึกชิงน่านฟ้ามากกว่าอสูรสยอง
“องค์หญิง ระวังพ่ะย่ะค่ะ! มีอสูรสยองตัวใหญ่ตัวหนึ่งตามพระองค์ไปพ่ะย่ะค่ะ!” ในหูฟังมีเสียงเตือนของกู๊ดดังขึ้นมา
“ไม่ต้องห่วง ข้าเห็นแล้ว” ทิลลีเอี้ยวหัวไปกวาดตามอง “คอยระวังตำแหน่งของตัวเองเอาไว้ ถ้าต้องการความช่วยเหลือเดี๋ยวข้าเรียกเจ้าเอง!”
เนื่องจากสมรรถภาพของฟินิกส์ในแต่ละด้านนั้นล้วนแต่เหนือกว่าเฮฟเว่นเฟลมที่ทำการปรับปรุงมาแล้ว ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่ได้เตรียมนักบินผู้ช่วยให้ตัวเอง เพราะไม่มีเครื่องบินปีกสองชั้นลำไหนจะไล่ตามเธอทัน ดังนั้นการสู้ตามลำพังจึงกลับเป็นการแสดงประสิทธิภาพของมันออกมาได้เต็มที่มากกว่า
ทิลลีบินขึ้นไปด้านบนพร้อมทั้งเปลี่ยนทิศทาง อสูรสยองที่ไล่ตามเธอมายังคงพยายามที่จะกระพือปีกเพื่อจะร่นระยะห่างให้สั้นลง ในตอนที่ทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากันอีกครั้ง ศัตรูไม่ได้รู้ตัวเลยว่ามันได้เปลี่ยนจากผู้ล่ากลายเป็นผู้ถูกล่าแล้ว
ฟินิกส์พุ่งลงมา ทิลลีเหนี่ยวไกยิงออกไปอย่างไม่ลังเล!
ในระยะยิงที่ดีแบบนี้ เธอแทบจะไม่จำเป็นต้องใช้ปืนกลที่ปีกสองข้างมาช่วยเลย
ลำแสงสีเงินที่เจิดจ้าสี่สายพุ่งออกมาจากหัวเครื่องบิน ก่อนจะลอยเป็นเส้นโค้งไปในอากาศแล้วตกลงไปในฝูงของอสูรสยอง
หลังจากที่เธอแจ้งปัญหาเรื่องพลังทำลายล้างที่ไม่เพียงพอของปืนกลเอนกประสงค์ 8 มม.เวลาที่กราดยิงเป้าหมายบนพื้น โรแลนด์ก็เอาการผลิตอาวุธปืนที่มีขนาดลำกล้องใหญ่ขึ้นใส่เข้าไปในวาระการประชุม เพื่อที่จะทำให้มันกลายเป็นปืนกลที่รวมเอาทุกสุดยอดเทคโนโลยีเอาไว้ในตัว ซึ่งฟินิกส์ย่อมต้องเป็นเครื่องบินลำแรกที่ได้ทดสอบใช้มัน ในหัวเครื่องบินขนาดใหญ่สามารถใส่ปืนใหญ่อัตโนมัติขนาด 20 มม.เอาไว้ได้ 4 กระบอก ทุกหนึ่งนาทีสามารถยิงกระสุนปืนใหญ่ออกมาได้เกือบ 3,000 นัด ทำให้พลังทำลายล้างของมันขยับขึ้นไปอยู่ในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน
ถึงแม้ครั้งนี้เป้าหมายของเธอจะไม่ใช่ปีศาจคุ้มคลั่งและปีศาจแมงมุมที่อยู่บนพื้นดิน แต่อสูรสยองที่มีขนาดตัวใหญ่กว่าพวกเดียวกันอย่างเห็นได้ชัดนั้นกำลังบอกเธอว่าเจ้านายของมันคือปีศาจระดับสูง
วิธีที่ดีที่สุดที่ใช้รับมือศัตรูที่มีความสามารถหลากหลายเช่นนี้คือรีบจัดการพวกมันก่อนที่พวกมันจะใช้พลัง!
อสูรสยองที่พุ่งมาข้างหน้าถูกปืนใหญ่อัตโนมัติยิงทะลุในทันที หัวกระสุนที่ยิงทะลุหน้าอกและอวัยวะส่วนอื่นๆ ลากเอาเศษเลือดกระเด็นตามออกไปเหมือนสายฝน ในตอนที่ลำแสงสีเงินพุ่งเข้าไปใกล้ปีศาจระดับสูง อีกฝ่ายส่งเสียงคำรามออกมาด้วยความโกรธ บาเรียสีน้ำเงินจำนวนหลายชั้นถูกกางออกมาห่อหุ้นตัวมันเอาไว้เหมือนเกราะที่แข็งแกร่ง
แต่หลังจากนั้นไม่นาน เกราะที่ว่านั่นก็ค่อยๆ จางลง ปริแตกและพังทลายลง จากนั้นแรงปะทะอันรุนแรงก็กระแทกมันจนกระเด็นลอยออกไป ก่อนจะหมุนควงร่วงไปลงด้านล่าง ที่ระดับความสูงระดับนี้ ถ้าไม่มีหินโบยบินหรือรูนสำหรับรักษาชีวิตอื่นๆ แล้วล่ะก็ มันไม่มีทางที่จะรอดไปได้เลย
อสูรสยองที่สูญเสียเจ้านายไปพยายามหนีออกไปอย่างลนลาน แต่ทิลลีไม่ปล่อยให้มันมีโอกาสทำแบบนั้นแน่นอน หลังเธอกลับมุมของหัวเครื่องบินเสร็จเรียบร้อย เธอก็กระหน่ำยิงใส่มันอีกครั้งหนึ่ง
ในเวลานี้ระยะห่างของทั้งสองห่างกันไม่ถึงสิบเมตร เศษเลือดและเศษเนื้อที่ถูกห่ากระสุนฉีกจนเป็นชิ้นๆ กระเด็นมาเปื้อนกระจกกันลมของฟินิกส์
เมื่อเห็นรอยเลือดที่อยู่ตรงหน้า ทิลลีพลันยิ้มมุมปากขึ้นมา ภายในใจรู้สึกมีความสุขอย่างมาก
ท้องฟ้าผืนนี้คือเวทีสำหรับการล้างแค้นของเธอ เธอยิ่งปรารถนาการแก้แค้นมากขึ้น
เสียงร้องของอสูรสยองยักษ์ที่ตายไปก่อนหน้านี้ได้ดึงดูดศัตรูกลุ่มใหม่มา ปีศาจเองก็รู้ว่านกเหล็กสีแดงลำนี้ไม่ว่าจะเป็นความเร็วหรือพลังทำลายล้างก็ล้วนแต่เหนือกว่านกเหล็กตัวอื่นๆ แล้วก็เป็นอุปสรรคสำคัญของพวกมันอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อดูจากชุดเกราะของอสูรสยองแล้ว อย่างน้อยๆ ที่นี่ก็มีปีศาจระดับสูงมากกว่าสองตัว
ในยุคสมัยสมาพันธ์ พวกมันล้วนแต่เป็นแม่ทัพของกองทัพหรือไม่ก็เป็นหัวใจสำคัญของการโจมตี แต่ตอนนี้พวกมันกลับถูกส่งให้มาอยู่ในทีมโจมตีธรรมดา ในอีกแง่หนึ่งนี่เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของพวกปีศาจ
แต่ภายในใจทิลลีไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย
ในทางกลับกัน เธอกลับรู้สึกในหน้าอกของเธอมีเปลวไฟกำลังลุกโชนอยู่
ในระหว่างที่กำลังยึดตำแหน่งโจมตีใหม่อีกครั้ง เธอคอยจ้องปีศาจระดับสูงของอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา ส่วนอีกฝ่ายเองก็กำลังจ้องมองเธออยู่เหมือนกัน ทิลลีสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าการโจมตีของพวกมันครั้งนี้มีความระมัดระวังขึ้นมา พวกมันไม่ได้ดูถูกเธอเหมือนอย่างก่อนหน้านี้อีก
เธอเลียริมฝีปาก ก่อนจะกดคันบังคับลง
“เข้ามา!”
…..
“ช่าง….งดงามเสียจริงๆ” เดอะแมสก์ยืนอยู่บนที่ราบนอกเมือง สายตามองออกไปยังสนามรบที่อยู่อีกฟากพร้อมกับยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย
ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์กวาดตามองมองอย่างประหลาดใจ
“เจ้ากำลังสงสัยว่าทำไมข้าถึงรู้สึกสนใจพวกแมลงถึงขนาดนี้ใช่ไหม?” เดอะแมสก์หันหน้ามา หน้ากากที่ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ ส่งเสียงเสียดสีแสบแก้วหูออกมา
“ไม่…”
“ข้าจะบอกเจ้าก็ได้…สิ่งที่เป็นตัวกำหนดความยอดเยี่ยมของเผ่าพันธุ์ไม่ใช้พวกที่ไร้ความสามารถพวกนั้น หากแต่เป็นคนที่กุมความรู้ทั้งหมดเหล่านั้นต่างหาก! ที่ข้าชื่นชมนั้นไม่ใช่แมลงที่ขี่เจ้านกเหล็กนั่น หากแต่เป็นคนที่รู้หลักการทำงานของนกเหล็กต่างหาก” เดอะแมสก์ผายมือออก “ถึงแม้จะเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน แต่ทั้งสองกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน พวกแรกคือแมลง แต่พวกหลังต่างหาก…ที่เป็นมนุษย์! การที่สามารถเอาโลหะพวกนี้มาประกอบเข้าด้วยกันแล้วทำให้มันเคลื่อนไหวได้เหมือนสิ่งมีชีวิต เจ้าไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่เต็มไปด้วยเสน่ห์หรอกเหรอ? สมองของคนแบบนี้ ข้าอยากจะผ่ามันออกมาลิ้มรสดูจริงๆ เลย!”
“….” ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์เบือนหน้าหนีไปอีกทางหนึ่ง
“แต่นั่นเป็นเรื่องที่เอาไว้คิดหลังจากนี้” เดอะแมสก์ถอนหายใจออกมาที่ไม่สามารถทำให้อีกฝ่ายเห็นด้วยได้ “เรื่องที่ต้องทำเป็นอันดับแรกในตอนนี้ก็คือกำจัดพวกแมลงที่น่ารำคาญพวกนี้…”
มันล้วงเอาแกนเวทมนตร์ขนาดเล็กออกมาจากหน้าอก ก่อนจะใส่พลังเวทมนตร์เข้าไปที่มัน ตรงกลางของแกนเวทมนตร์ปล่อยคลื่นกระเพื่อมออกมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นพื้นดินใต้เท้ามันพลันสั่นสะเทือนขึ้นมา!
แผ่นหินขนาดยักษ์แผ่นหนึ่งงอกออกมาจากใต้ดิน หินสีดำที่แตกออกร่วงตกลงมาด้านล่างส่งเสียงโครมคราม ปลายด้านหนึ่งของมันยังคงฝั่งอยู่ใต้ดิน ส่วนปลายอีกด้านหนึ่งงอกสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า หลังจากเศษฝุ่นกระจายหายไปแล้ว เมื่อมองทะลุผนังโปร่งใส่ด้านนอกเข้าไปจะมองเห็นเส้นเลือดและเส้นประสาทของร่างซิมไบออนท์กระจายอยู่เต็มแผ่นหิน ลำแสงของพลังเวทมนตร์ไหลไปทั่วทั้งแผ่นหิน ทำให้แผ่นหินเหมือนมีชีวิตขึ้นมา
และแผ่นหินแบบนี้ไม่ได้มีแค่อันเดียว
บนพระผู้สร้างมีแผ่นหินอีกจำนวนมากทยอยผุดขึ้นมาเหมือนกับได้รับสัญญาณอย่างไรอย่างนั้น
“ข้าจะใช้สงครามแห่งโชคชะตาพิสูจน์ให้เห็นว่าความรู้นั้นอยู่เหนือกำลัง สิ่งที่เรียกว่าพลังเวทมนตร์นั้นก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของความรู้เท่านั้น!” เดอะแมสก์ยืนอยู่ใต้เงาของแผ่นหิน พร้อมกับชูแกนเวทมนตร์ที่ส่องแสงอยู่ในมือขึ้นมา “และคนที่เหมาะจะเป็นราชาที่ถูกโจษขานมากที่สุดในเผ่าพันธุ์ก็คือตัวข้านาสเพล!”
…………………………………………………..