Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1404 ความสามารถที่ยังไม่ถูกมองเห็น
ห้องประชุมในปราสาทของอาณาจักรดอว์นนั้นใหญ่ความห้องประชุมของเมืองเนเวอร์วินเทอร์มาก ถึงแม้จะมีคนเข้ามานั่งอยู่ร้อยกว่าคนก็ยังไม่เบียดเลยซักนิด
บนโต๊ะประชุมยาว ผู้เข้าร่วมประชุมถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจน ด้านหนึ่งคือเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเกรย์คาสเซิลโดยมีโรแลนด์เป็นผู้นำ อีกด้านหนึ่งคือขุนนางและตัวแทนของพ่อค้าของอาณาจักรดอว์น ทั้งสองฝ่ายสีหน้าคร่ำเคร่ง ฝ่ายแรกนั่งนิ่งๆรอการประชุมเริ่ม อีกฝ่ายดูกระวนกระวายอย่างชัดเจน หลายๆ คนมีสีหน้าร้อนใจ บางคนก็กระซิบกระซาบกัน มีเสียงพูดคุยดังขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา
เห็นได้ชัดว่าการปรากฏตัวขึ้นมาของพระผู้สร้างได้สร้างความตื่นตระหนกให้พวกเขาอย่างมาก
ถ้าไม่สามารถหยุดการขยายตัวของความกลัวเอาไว้ได้ ระเบียบของอาณาจักรเพื่อนบ้านอาจจะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ
โรแลนด์รู้ดีว่าตัวเองจำเป็นต้องรักษาความเชื่อมั่นของพันธมิตรไว้
จากรายงานของสำนักบริหาร หลังจากที่ฮอว์ฟอร์ดกลายเป็นราชาของดอว์น การค้าของทั้งสองอาณาจักรก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ฟลิตภัณฑ์โลหะอย่างเหล็ก ทองแดง ตะกั่วและน้ำมันดิบที่เข้ามาในเมืองเนเวอร์วินเทอร์ มีอยู่เกือบ 20 เปอร์เซ็นต์ที่มาจากอาณาจักรเพื่อนบ้าน ส่วนสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างหนังสัตว์ สิ่งทอ เนื้อหมัก เนยแข็งก็มีมากกว่าครึ่ง
ถึงแม้เขาจะพยายามในด้านนี้อย่างมากเหมือนกัน แต่ถ้าไม่มีการสนับสนุนจากอาณาจักรดอว์น การที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์จะทำให้ประชาชนสามารถใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติสุขได้ในสภาวะที่มีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกตินั้นแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
เพียงแค่จุดนี้จุดเดียวเขาก็ไม่สามารถทิ้งอาณาจักรดอว์นไปได้แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลควินท์ซึ่งเป็นพันธมิตรก็ยังแสดงออกถึงความร่วมมืออย่างดีเยี่ยม — โรแลนด์ไม่รู้ว่าหากไม่มีฮอว์ฟอร์ด ควินน์แล้ว ยังจะมีใครมาเป็นผู้สนับสนุนเขาแทนหรือเปล่า แต่น่าจะไม่มีใครที่สามารถเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองอาณาจักรได้สมบูรณ์แบบเหมือนอย่างแอนเดรีย ควินน์อีกแล้ว
เขานั่งมองดูขุนนางทั้งซ้ายและขวาอย่างเงียบๆ จนกระทั่งเสียงพูดคุยของพวกเขาค่อยๆ เงียบลง โรแลนด์จึงพูดขึ้นมาว่า “นับตั้งแต่ที่สงครามเริ่มขึ้นมา ข้าก็ได้รับรายงานเกี่ยวกับความดีความชอบของพวกเจ้าอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นข้าจึงอยากจะขอพูดอะไรตรงนี้หน่อย ขอบคุณทุกคนมาก”
เหล่าขุนนางพากันทำสีหน้าประหลาดใจ
แต่สำหรับโรแลนด์แล้ว นี่ไม่ใช่คำพูดโกหก
อาศัยเพียงแค่กองทัพที่หนึ่งไม่มีทางทำให้ถนนเส้นเลือดใหญ่ที่ตัดผ่านอาณาจักรจากเหนือลงใต้ใช้งานได้เร็วขนาดนี้แน่ รถม้าและคนขนของที่วิ่งไปวิ่งมาบนถนนนั้นสร้างประโยชน์ได้อย่างมาก ในยุคสมัยนี้ เวลาพวกขุนนางออกไปรบมักจะยกโขยงกันออกไป แล้วก็ใช้การปล้นแทนการขนส่ง ด้วยเหตุนี้จึงมีน้อยคนนักที่จะรู้ความสำคัญของการขนส่ง แล้วก็ยากจะรู้ด้วยว่าตัวเองทำประโยชน์ให้กับสงครามขนาดไหน
“สำหรับสงครามแห่งโชคชะตา ข้าคิดว่าทุกคนคงจะเข้าใจดี — ก็เหมือนกับที่ข้าได้เน้นย้ำเอาไว้ ฝ่ายที่พ่ายแพ้จะถูกกำจัดทิ้ง ไม่มีโอกาสให้ยอมแพ้ ด้วยเหตุนี้จึงมีแต่ต้องสู้ให้ถึงที่สุดเท่านั้น ไม่มีทางเลือกอื่นอีก”
“ข้าได้เตรียมตัวรับมือกับสงครามนี้มาตั้งแต่ 4 – 5 ปีก่อนแล้ว แต่อาณาจักรของมนุษย์ไม่ได้มีเกรย์คาสเซิลแค่อาณาจักรเดียว สงครามนี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากมนุษย์ทุกคน มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นถึงจะสามารถเอาชนะสงครามแห่งชะตาชีวิตนี้ได้ ข้าดีใจมากที่ได้เห็นพวกเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้นี้”
โรแลนด์พยักหน้าไปทางบารอฟ อีกฝ่ายพลิกเปิดสมุดบันทึกเล่มหนา ก่อนจะอ่านออกเสียงดังๆ
นั่นบันทึกการขนส่งเบื้องหลังบางส่วนของกองทัพที่หนึ่งและสัดส่วนที่ทางอาณาจักรมีส่วนช่วยเหลือในด้านนี้
เขาไม่คิดที่จะใช้คำพูดสวยหรูอย่างพวกการปกป้องบ้านปกป้องอาณาจักรหรืออุทิศตัวเองเพื่อมนุษยชาติมาโน้มน้าวจิตใจขุนนางเหล่านี้ แค่คิดๆ ดูก็รู้แล้วว่ามันไม่มีทางทำให้พวกเขาเกิดความรู้สึกใดๆ ได้
วิธีที่ง่ายที่สุดคือใช้ผลประโยชน์และการกดดัน
ยิ่งไปกว่านั้นถ้ายิ่งบรรยายได้ชัดเจน คำพูดมันก็จะยิ่งมีความน่าเชื่อถือ
อันดับแรกเขาต้องทำให้ขุนนางพวกนี้เข้าใจว่าต่อให้ไม่ขึ้นไปยังแนวหน้าของสนามรบ พวกเขาก็ยังทำประโยชน์ให้กับสงครามได้ อันดับต่อมาคือความดีความชอบเหล่านี้จะถูกจดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรเอาไว้ หลังสงครามจบสามารถเอามาแลกเป็นรางวัลได้ สุดท้ายขุนนางผู้ต่อต้านและหักหลังมนุษยชาติจะได้รับการลงโทษสูงสุด — ในช่วงเวลาสำคัญนี้ โรแลนด์ไม่มีเวลามานั่งให้พวกเขาตัดสินใจเลือกด้วยตัวเองอีก
ฮอว์ฟอร์ดแอบพยักหน้าเงียบๆ
ลำดับก่อนหลังชัดเจน เนื้อหาละเอียดถี่ถ้วน ราชาแห่งเกรย์คาสเซิลเรียกได้ว่าจับประเด็นสำคัญได้ตั้งแต่เริ่ม การที่เขาดึงขุนนางที่ไม่ได้อยู่ในกองทัพเข้าไปร่วมสงครามที่จะต้องถูกบันทึกลงในประวัติศาสตร์และเล่าสืบต่อไปอีกเป็นพันปีนั้นเป็นการเพิ่มความรู้สึกมีส่วนร่วมให้กับพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย การทำให้ประวัติศาสตร์ของตระกูลเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์นั้นคือหนึ่งในเป้าหมายที่เหล่าขุนนางไล่ตามหามาโดยตลอด ยิ่งไปกว่านั้นจากคำอธิบายของอีกฝ่าย ความเสียงกับผลประโยชน์ที่ได้รับก็เหมือนจะไม่ได้แตกต่างกันมากเกินไป อย่างน้อยเหล่าขุนนางก็ไม่มีทางถูกทอดทิ้งแน่นอน
การจัดสรรผลประโยชน์นั้นเป็นปัญหายากที่ใช้ทดสอบผู้นำมาโดยตลอด
เสนาบดีหลายคนเคยทักท้วงเขาว่าไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับคำสั่งของโรแลนด์ วิมเบิลดันขนาดนี้ก็ได้ เขาควรจะวางตัวให้เหมือนเป็นราชาของอาณาจักรดอว์นหน่อย ซึ่งเขาเองมักจะหัวเราะแต่ไม่ได้ตอบโต้อะไร
ราชาแห่งเกรย์คาสเซิลที่สร้างปืนใหญ่ สร้างเครื่องบิน สร้างเรือเหล็กขึ้นมานั้นย่อมควรค่าแก่การยกย่องนับถือ แต่มันไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดที่ทำเขาให้ความสำคัญกับอีกฝ่ายขนาดนี้ ผลประโยชน์ที่ตระกูลได้รับต่างหากที่ทำให้เขาตัดสินใจจงรักภักดี — ในการทำการค้าระหว่างอาณาจักรดอว์นกับอาณาจักรเกรย์คาสเซิล อีกฝายไม่ได้ใช้อำนาจและความสัมพันธ์ของแอนเดรียมาเอาเปรียบเขาเลย แถมบางครั้งยังจะแบ่งกำไรให้ส่วนหนึ่งด้วย ทำให้คนที่มีส่วนร่วมทุกคนต่างได้รับผลประโยชน์อย่างมาก นี่ถือว่ามีความสำคัญมากกว่าความแข็งแกร่งเสียอีก
แอนเดรียน่าจะมองออกถึงจุดนี้ เธอถึงได้แนะนำเขาแบบนั้น
เมื่อเทียบกับลูกชายอีกคนหนึ่งของเขาแล้ว ทั้งสองคนช่างแตกต่างกันจริงๆ
“ฝ่าบาทโรแลนด์ แต่จากที่พระองค์ตรัสมาทั้งหมดนี้ สิ่งสำคัญอย่างแรกคือมนุษย์ต้องเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ” หลังบารอฟบรรยายจนจบก็มีคนลุกขึ้นถาม “แต่ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าเกรย์คาสเซิลจะสามารถเอาชนะปีศาจได้จริงๆ หรือไม่? กระหม่อมได้ยินมาว่า…” เขาลังเลไปเล็กน้อย “กองทัพของพระองค์เหมือนจะแพ้ในศึกที่วูล์ฟฮาร์ทนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ถูกต้อง…พวกเราต่างรู้ถึงความแข็งแกร่งของกองทัพที่หนึ่ง” ขุนนางอีกคนพูดขึ้นมาด้วยสีหน้ากังวล “แต่แผ่นดินลอยฟ้านั่นมันน่ากลัวจริงๆ…ถ้ามันทับลงมา เกรงว่าพวกเราคงแม้แต่จะหนีก็คงไม่ทันนะพ่ะย่ะค่ะ”
โรแลนด์ยกแก้วชาขึ้นมาค่อยๆ จิบชาแดง เขารู้ว่าช้าเร็วผลการรบที่เทือกเขาสิ้นวิถีจะต้องแพร่กระจายออกไปอย่างแน่นอน เพราะว่าในกลุ่มคนที่เข้าไปช่วยเหลือ มีอยู่ไม่น้อยที่เป็นชาววูล์ฟฮาร์ทซึ่งรู้จักสภาพภูมิประเทศเป็นอย่างดี ในศึกนี้มีทหารที่ขาดการติดต่อไปพันกว่าคน ไม่ใช่แค่หน่วยปืนใหญ่เท่านั้น แม้แต่กองหนุนที่รับผิดชอบรอรับตัวทหารที่ถอนกำลังมาก็ยังได้รับความเสียหายอย่างหนักเช่นเดียวกัน
อัศวินอากาศเองก็เสียเครื่องบินไป 40 กว่าลำจากการทำศึกหนักติดต่อกัน ในนั้นมีอยู่ครึ่งหนึ่งที่ถูกศัตรูโจมตีจนตก อีกครึ่งหนึ่งเสียหายจากอุบัติเหตุทางเครื่องยนต์ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ทิลลีต้องชะลอการออกไปทำศึกเอาไว้ก่อน
แต่ในความโชคร้ายยังมีความโชคดีอยู่ ถึงแม้ซีกัลจะถูกพลังอาญาสิทธิ์ของไซเลนท์โจมตี แต่ไม่ว่าจะเป็นเวนดี้หรือว่าซาวีก็ล้วนแต่มีฝีมือในการบังคับเครื่องบิน บวกกับมีไลต์นิ่งกับเมซี่เคยเฝ้าอยู่ไม่ไกล จึงทำให้สามารถช่วยแม่มดที่อยู่บนเครื่องบินทุกคนออกมาได้อย่างรวดเร็ว
ความจริงแล้วตอนที่ได้เห็นรายงานนี้ครั้งแรก โรแลนด์เองก็รู้สึกตกใจอย่างมากเหมือนกัน เมื่อดูจากตัวเลขความเสียหายแล้ว นี่คือได้ว่าเป็นศึกที่มีตัวเลขบาดเจ็บและเสียชีวิตของทหารมากที่สุด แต่เขาเองก็เห็นด้วยกับวิธีของทีมที่ปรึกษา — วัลคีรีย์นั้นรู้เพียงแค่หลักการทำงานของพระผู้สร้าง แต่มันไม่รู้เรื่องรายละเอียดของร่างซิมไบออนท์ที่อยู่บนนั้น ถ้าไม่ลองสู้ดู เขาก็จะไม่มีทางรู้ว่าศัตรูแอบซ่อนอะไรเอาไว้บ้าง
“ความพ่ายแพ้ในครั้งนี้เป็นเพราะพวกเรายังไม่รู้จักแผ่นดินลอยฟ้าดีพอ” โรแลนด์ตอบออกมาตรงๆ “มันดูแล้วเหมือนจะยิ่งใหญ่และไม่สามารถเอาชนะได้ แต่ความจริงแล้วมันไม่ได้น่ากลัวอะไรขนาดนั้น เอดิธส์ เดี่ยวหลังจากนี้เจ้ามาอธิบายให้ทุกคนฟังหน่อย”
“เพคะ ฝ่าบาท” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือเอาภาพวาดอย่างละเอียดของพระผู้สร้างติดไปบนกำแพง จากนั้นอธิบายอย่างละเอียดว่า “จากการสังเกตการณ์ของกองทัพที่หนึ่ง มันมีลักษณะคร่าวๆ เป็นทรงกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 50 – 60 กิโลเมตร เรียกได้ว่าพอๆ กับเทือกเขาสิ้นวิถี พื้นที่ชั้นบนกับพื้นที่แกนกลางสามารถยิงเสาหินขนาดยักษ์ออกมาได้ ระยะยิงอย่างน้อยมากกว่า 50 กิโลเมตร ซึ่งนี่เป็นอาวุธสำคัญที่ทำให้กองทัพที่หนึ่งต้องมือไม้ปั่นป่วน แต่ขณะเดียวกันมันก็หมายความว่าหากเลยออกไปจากระยะนี้ มันก็จะเป็นแค่เพียงเกาะลอยฟ้าธรรมดาๆ เท่านั้น พวกเราสามารถใช้ประโยชน์จากจุดนี้มาวางแผนเพื่อจัดการกับศัตรูได้…”
ความหวาดกลัวมักจะมาพร้อมกับความไม่รู้
คนเราจะหวาดกลัวต่อประสบการณ์ทางด้านความรู้สึกและการบรรยายแบบคลุมเครือ แต่จะไม่หวาดกลัวต่อตัวเลข แทนที่จะมัวแต่คิดหาเหตุผลมาปิดบังความพ่ายแพ้หรือใช้คำพูดสวยหรูมาหลอกทุกคน สู้เอาข้อมูลที่กองทัพที่หนึ่งต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างหนักกว่าจะได้มาออกมาบอกทุกคน เพื่อขจัดความกลัวของผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนจะดีกว่า
“….และที่กล่าวมาก็คือรายละเอียดทั้งหมดของแผ่นดินลอยฟ้าของพวกปีศาจ” เอดิธส์พูดพร้อมหันไปทำความเคารพโรแลนด์
โรแลนด์องไปทางขุนนางของดอว์นที่ถามคำถามออกมา “สุดท้ายข้าอยากจะเสริมอีกเรื่องหนึ่ง การหลบออกไปจากระยะโจมตีของเสาหินนั้นเป็นเพียงวิธีรับมือชั่วคราวเท่านั้น การถล่มป้อมปรากการลอยฟ้านี้ให้ราบคาบต่างหากถึงจะเป็นเป้าหมายสุดท้ายของกองทัพ”
ขุนนางกลืนน้ำลาย “นั่นมันเป็นภูเขากลับหัวเลยนะพ่ะย่ะค่ะ…”
“มนุษย์เองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความสามารถแบบนี้ เพียงแต่พวกเจ้ายังไม่รู้เท่านั้น —- ก็เหมือนกับก่อนที่เครื่องบินจะถูกสร้างออกมาก็ไม่มีใครที่คิดว่าตัวเองจะขึ้นไปบินบนฟ้าเหมือนกับนกได้…” โรแลนด์ยิ้มๆ “ในจุดนี้ เดี๋ยวข้าจะพิสูจน์ให้พวกเจ้าเห็นเอง”
……………………………………………………………..