Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1406 ค่ำคืนในดอว์น
สำหรับหลายๆ คนแล้ว นี่เป็นคืนที่ผ่อนคลายอย่างที่ยากจะหาได้
ถึงแม้แผ่นดินลอยฟ้าของปีศาจจะเคลื่อนที่ไปยังเฮอร์มีสไม่หยุด แต่อย่างน้อยที่เมืองหลวงของอาณาจักรดอว์นก็มองไม่เห็นมัน การอยู่ห่างออกมาจากแนวหน้าทำให้ทุกคนได้อยู่อย่างสงบเป็นช่วงเวลาสั้นๆ โดยเฉพาะเมื่อวันที่สองพวกเขาต้องรีบไปที่สนามรบอีกครั้ง ความเงียบสงบแบบนี้จึงยิ่งมีค่าขึ้นไปอีก
ในตอนที่แอนเดรียเดินเข้ามาในสวนที่บ้าน ฮอร์ฟอร์ด ควินน์ก็มายืนรอเธออยู่ที่ประตูแล้ว
“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน ลูกสาว”
“อื้อ…” แอนเดรียพยักหน้าเล็กน้อย นี่เป็นการกลับมาบ้านอีกครั้งหลังผ่านไปหนึ่งปี ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใช่การบุกเข้ามา หากแต่เป็นการเดินเข้ามาโดยมีคนใช้ยืนรอต้อนรับ บอกตามตรง ความจริงเธออยากจะเอาช่วงเวลานี้ไปอยู่ข้างกายทิลลีมากกว่า แต่ในตอนที่ได้รับจดหมายเชิญจากอีกฝ่าย ภายในใจเธอพลันเกิดความรู้สึกตื้นตันขึ้นมา จนสุดท้ายก็รับปากไป
ความจริงแล้วเขามาช่วนเธอหลังประชุมเสร็จก็ได้นี่นา
น่าจะเป็นเพราะ…กลัวว่าเธอจะปฏิเสธล่ะมั้ง
แต่ในตอนที่ได้เจอกันจริงๆ เธอกลับไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
เพราะครั้งนี้มันไม่เหมือนกับครั้งที่แล้ว ครั้งนั้นเธอมาพร้อมกับภาระหน้าที่ แต่ครั้งนี้กลับเป็นแค่การเจอหน้ากันที่มีความรู้สึกห่างเหินเล็กน้อยเท่านั้น
“ท่านอยาก…จะคุยอะไรกับข้าเหรอ?” ในตอนที่เดินอยู่ตรงระเบียง แอนเดรียพลันถามขึ้นมา
“หลายอย่าง อย่างเช่นเรื่องที่เจ้าเจอในแนวหน้าของสนามรบ อย่างเช่นเพื่อนของเจ้า อย่างเช่นคุณโรแลนด์ วิมเบิลดันคนนั้น…”
“ก็แค่คนซื่อบื้อคนนึงเท่านั้นแหละ ไม่มีอะไรน่าคุย…” แอนเดรียตอบกลับไป ก่อนจะคิดขึ้นมาได้ว่ามันไม่ค่อยเหมาะ “เอ่อ ข้าหมายความว่า…”
“ข้ามองออก เขาเป็นราชาที่ใจกว้างทีเดียว” ฮอว์ฟอร์ดยิ้มขึ้นมา “วางใจได้ ข้ารู้ว่าเจ้ายังไม่ค่อยชิน ถ้าคุยกันแค่สองคน คืนนี้คงกลายเป็นคืนที่น่าทรมานอย่างมากแน่ ดังนั้นข้าเลยเตรียมอะไรไว้นิดหน่อย”
“เตรียม?”
“เดี๋ยวเข้าไปแล้วเจ้าก็จะเข้าใจเอง” เขาหยุดอยู่ที่หน้าประตู
แอนเดรียผลักประตูเข้าไปอย่างสงสัย แต่ยังไม่ทันที่เธอจะเห็นภายในห้องอย่างชัดเจน คนๆ หนึ่งพลันโผเข้ามาหาเธอ….
“ข้าคิดถึงท่านจังเลย พี่ควินน์!”
อย่างนี้นี่เอง…
เธอกางแขนอย่างขำๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายเข้ามากอดตัวเองเอาไว้
คนที่ิิวิ่งเข้ามาหาคือเบลินดา โลซี
นอกจากนี้ บนโต๊ะตัวยาวยังมีคนอีกสองคน — อ๊อตโต โลซีและโอโร โทคัต ทั้งสองคนเองก็ดูค่อนข้างตื่นเต้น โดยเฉพาะอ็อตโตที่ดูประหม่าจนทำอะไรไม่ถูก
ภาพตรงหน้านี้ทำให้แอนเดรียเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนที่เธอยังไม่บรรลุนิติภาวะเป็นแม่มด
ความช่างพูดของเบรินดาและความเป็นกันเองของโอโรช่วยสลายความรู้สึกกระอักกระอ่วนที่มีในตอนแรกไปอย่างรวดเร็ว ส่วนพ่อขอเธอที่แทบจะไม่ค่อยเข้ามาสุงสิงกับเด็กๆ ก็เข้ามานั่งกับพวกเธอด้วย
เขาพยายามอย่างมากเพื่อที่จะได้คุยกับตัวเองซักประโยคสองประโยค…แอนเดรียพลันรู้สึกว่าความรู้สึกโกรธแค้นที่อยู่ในส่วนลึกของหัวใจเหมือนจะหายไปเกือบหมดแล้ว
“เออใช่ เอาไว้สงครามจบแล้ว พวกเราเองก็จะไปเมืองเนเวอร์วินเทอร์แหละ ถึงตอนนั้นพวกเราก็จะได้เจอกันบ่อยๆ แล้ว” เบลินดาหันมากะพริบตาให้เธอ
แอนเดรียเลิกคิ้วขึ้นมาอย่างแปลกใจ “พวกเราหมายถึง…”
“ก็ต้องหมายถึงพวกเราสามคนน่ะสิ!”
“อื้อ อื้อ!” โอโรพยักหน้า
“เดี๋ยวๆ…อ็อตโตกับโอโรเป็นผู้สืบทอดของตระกูลไม่ใช่เหรอ? แล้วจากบ้านไปนานๆ ท่านเอิร์ลที่บ้านของพวกเจ้ายอมเหรอ?” แอนเดรียมองไปทางอ๊อตโตอย่างสงสัย หรือว่าเจ้านี้มันจะแอบยุทั้งสองคนนี้? มันจะไร้ความรับผิดชอบเกินไปหน่อยหรือเปล่า
“ไม่…มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดนะ” อ็อตโตรีบโบกมือพร้อมพูดติดอ่าง “ถึงแม้ข้าเองก็อยากให้มันเป็นแบบนั้น แต่ว่า นั่นมันเป็นแค่ปัจจัยส่วนหนึ่ง…เอา เอาเป็นว่า…”
“เดี๋ยวข้าอธิบายให้ฟังเองดีกว่า” เบลินดาบาไหล่พี่ชายอย่างสงสาร จากนั้นจึงพูดกับแอนเดรียว่า “ท่านไม่ค่อยได้อยู่ที่ดอว์น ก็เลยไม่รู้ว่าช่วงนี้มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตอนนี้ในเมืองใหญ่ๆ โดยเฉพาะในแวดวงขุนนางของเมืองกลอรีพากันบอกว่าถ้าตระกูลไหนไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับศาสตร์แห่งธรรมชาติเลย สุดท้ายตระกูลนั้นก็จะตกต่ำและหายไป”
“ศาสตร์แห่งธรรมชาติ? อย่าบอกนะว่า…”
“ถูกต้อง” เบลินดาพยักหน้ายิ้มๆ “ตอนแรกมันก็หมายถึง ‘ทฤษฎีวิทยาศาสตร์ธรรมชาติพื้นฐาน’ ที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ตีพิมพ์ออกมานั่นแหละ แต่ตอนนี้มันแบ่งยิบย่อยออกเป็นหลายวิชาแล้ว บางคนคิดว่ามันเป็นศาสตร์แห่งปราชญ์แขนงใหม่ บางคนคิดว่าการเล่นแร่แปรธาตุและโหราศาสตร์ต่างก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของมัน แต่ไม่ว่ายังไง ในแวดวงขุนนางก็พากันคิดเช่นนี้จริงๆ ขอเพียงเป็นหนังสือศาสตร์แห่งธรรมชาติที่มาจากเมืองเนเวอร์วินเทอร์ก็จะมีพ่อค้ามารับซื้อมันในราคาสูง”
“ท่านพ่อเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้ในตอนที่พวกเราพูดความคิดนี้ขึ้นมา ท่านก็เลยไม่ได้คัดค้านอะไร — เพราะว่าการเรียนด้วยตัวเองยังไงมันก็สู้มีคนสอนไม่ได้อยู่แล้ว” เธอพูดต่อว่า “ยิ่งไปกว่านั้นยังมีหลายตระกูลที่เดินนำหน้าเราอยู่ พ่อน่าจะไม่อยากให้ตระกูลโลซีต้องล้าหลัง ดังนั้นนี่จึงไม่ได้เป็นการปัดความรับผิดชอบ! ท่านพ่อบอกว่าอีกซัก 3 – 4 ปีค่อยเกษียณก็ได้ ไม่มีปัญหา”
“เป็นเพราะพวกเขาเห็นเครื่องบินกับเรือเหล็กมาน่ะสิ” ออโรยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “แต่ก็นะ ขอเพียงข้าได้ออกไปเที่ยว ข้าก็เห็นด้วยทั้งนั้นแหละ”
“ที่ข้าอยากจะพูด…ก็เรื่องพวกนี้แหละ” อ็อตโตถอนหายใจ “ยิ่งไปกว่านั้นพวกเรายังวางแผนจะตั้งชมรมเรียนหนังสือขึ้นมาด้วย”
“มันคืออะไร?” แอนเดรียถามอย่างสงสัย
“เนื้อหาในศาสตร์แห่งธรรมชาติมีตั้งเยอะ แค่เพียงเราสามคนมันไม่พอหรอก” เบลินดาผายมือ “ดังนั้นพวกเราเลยคิดที่จะเลือกพ่อค้าหรือชาวบ้านธรรมชาติที่มีคุณสมบัติดีหน่อย แล้วให้พวกเขาได้มีโอกาสได้เรียนศาสตร์แห่งธรรมชาติ ถ้าพวกเขาเรียนได้ดี พวกเราก็รับเขาเข้ามาอยู่ในตระกูล เรียกได้ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว พี่คิดว่าไง?”
แอนเดรียไม่รู้จะตอบอะไรออกไป
ตอนนี้เธอพบว่าไม่ว่าจะเป็นพ่อของเธอหรือว่าคนอื่นๆ ก็ล้วนแต่กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่
ในอดีตแม่มดที่ถูกมองว่าน่ารังเกียจและราชาแห่งเกรย์คาสเซิลผู้ชั่วร้ายที่คอยปกป้องแม่มดและริบเอาอำนาจศักดินาของขุนนางกลับไปนั้นไม่มีทางเป็นเป้าหมายที่ขุนนางระดับสูงของดอว์นจะเอาเป็นเยี่ยงอย่างเด็ดขาด ส่วนการเอาชาวบ้านที่มีสายเลือดธรรมดาเข้ามาอยู่ในตระกูลก็เป็นการทำผิดธรรมเนียมประเพณี แต่ตอนนี้เส้นที่แบ่งแยกเหล่านี้เหมือนจะค่อยๆ จางหายไปแล้ว
เธอมองไปทางฮอว์ฟอร์ด ควินน์
ในนี้จะต้องมีคำชี้แนะของพ่อเธออยู่แน่นอน
เขากำลังพยายามอย่างหนักเพื่อชดเชยความผิดที่ผ่านมา
สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วไม่มีทางหายไป แต่อย่างน้อยการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ทำให้มันไม่เกิดขึ้นซ้ำอีก
นี่คือสิ่งที่ท่านอยากจะบอกข้าใช่ไหม ท่านพ่อ?
…..
ในช่วงเวลาหลายวันหลังจากนั้น เกรย์คาสเซิลและดอว์นได้มีปฏิบัติการร่วมกัน
เหล่าขุนนางได้ตั้งจุดช่วยเหลือขึ้นมาเกือบร้อยจุดบนถนนหลักที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือเพื่อค่อยให้อาหารและที่เต็นท์ที่พักอาศัยแก่ชาวบ้านี่กำลังหวาดกลัว หน่วยพยาบาลของกองทัพที่หนึ่งออกให้การรักษาผู้บาดเจ็บโดยมีแม่มดอาญาสิทธิ์ให้ความคุ้มครอง จุดที่มีผู้อพยพหนาแน่นที่สุดก็จะมีเสียงเพลงที่อ่อนโยนดังขึ้นมา — ต่อให้เป็นคนที่กำลังคุ้มคลั่งก็จะสงบลงอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงเพลงนี้
ศาสนจักรที่อยู่ภายใต้การนำของอิสซาเบลลาที่เป็นพระสันตะปาปาคนใหม่ได้ออกมาปลอบโยนเหล่าชาวบ้านที่ถูกบีบให้ต้องทิ้งบ้านเกิดตัวเองมา — ถึงแม้จะเจอกับวิกฤตต่างๆ แต่ศาสนจักรก็ยังมีอิทธิพลในหมู่ชาวบ้านอยู่ สำหรับพวกเขาแล้ว คนที่มีความสามารถที่จะสู้กับปีศาจได้ นอกจากเกรย์คาสเซิลแล้วก็มีแต่ศาสนจักรที่รับใช้พระเจ้าเท่านั้น
ด้วยความพยายามของหลายๆ ฝ่าย ในที่สุดคลื่นความหวาดกลัวนี้ก็ถูกควบคุมเอาไว้ได้ก่อนที่มันเลวร้ายจนแก้ไขไม่ได้ ถึงแม้ชาวบ้านจะไม่สามารถกลับไปยังเมืองที่พวกเขาอาศัยอยู่เดิมได้ช่วงหนึ่ง แต่ยังไงในพื้นที่ที่หมอกแดงยังปกคลุมไปไม่ถึงยังมีที่ๆ ให้พวกเขาอาศัยได้
และในตอนนี้ การทดสอบโจมตีทางอากาศของกองทัพที่หนึ่งก็เตรียมพร้อมแล้ว
………………………………………………………………