Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1412 ฉากที่สาม
ทำไมถึงเป็น วงแหวนดวงดาวได้?
โรแลนด์มึนงงอยู่นานกว่าจะรู้สึกตัว
มันไม่เหมือนกับแกนพลังธรรมชาติจากตัวฟอลเลนอีวิล วงแหวนดวงดาวแบบนี้มันจะมีอยู่ที่ตัวสัตว์ประหลาดเวทมนตร์และตัวเทวทูต ซึ่งนั่นไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดาจะรับมือได้เลย
ถ้าสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ร่วมแรงร่วมใจกันวางแผนดีๆ บางทีอาจจะมีโอกาสสังหารศัตรูแบบนี้ได้ แต่พวกเขาไม่มีทางที่จะส่งของแบบนี้มาให้เขาด้วยวิธีแบบนี้แน่ เพราะการที่ส่งของแบบนี้มาทางไปรษณีย์มันอาจจะทำให้คนอื่นถูกกัดกินได้
แต่ถ้าไม่ใช่สมาคมส่งมา แล้วใครล่ะที่ส่งมา?
โรแลนด์ตรวจดูที่อยู่ผู้ส่งและเบอร์โทรศัพท์ แต่ทั้งสองอย่างนั้นล้วนแต่ปลอมขึ้นมา มีเพียงสิ่งเดียวที่น่าเชื่อถือก็คือรหัสไปรษณีย์ นี่แสดงให้เห็นว่าพัสดุชิ้นนี้ถูกส่งมาจากเมืองเดียวกัน เห็นได้ชัดว่าผู้ส่งไม่ต้องการให้เขารู้สถานะของตัวเอง
ปัญหาอยู่นี่การทำแบบนี้มันก็ไม่ถือเป็นวิธีที่ฉลาดสำหรับอีกฝ่ายเหมือนกัน การที่บริษัทส่งของไม่ตรวจดูว่าข้อมูลของผู้ส่งเป็นจริงหรือไม่นั้นเป็นเพราะว่าบริษัทต้องการลดต้นทุน แต่ถ้าจะตรวจขึ้นมาจริงๆ ก็เป็นเรื่องที่ง่ายอย่างมาก แต่เขียนที่อยู่ปลอมขึ้นมาแล้วจะปกปิดร่องรอยได้อย่างนั้นเหรอ? ในยุคสมัยนี้แทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย แค่ตรวจสอบดูกล้องวงจรปิดกับพนักงานรับของดูก็จะสามารถระบุเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว
แต่จะไปขอความช่วยเหลือจากสมาคมให้ตรวจสอบดูผู้ส่งว่าเป็นใครหรือไม่นั้น เรื่องนี้โรแลนด์ก็ยังลังเลอยู่
เมื่อดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายนั้นรู้เรื่องของเขา อีกทั้งยังหวังดีต่อเขาด้วย ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายไม่มีทางที่จะส่งของอันตรายแบบนี้มาที่ถึงถงจึแน่
เพราะไม่ว่ายังไง คนที่ช่วยเขากำจัดพลังกัดกินก็น่าจะเป็นคนที่ยืนอยู่ฝั่งเดียวกับเขา ในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยากเปิดเผยตัว อย่างนั้นเขาก็รักษาสถานการณ์ให้เป็นแบบนี้ไปก่อนจะดีกว่า
โรแลนด์รวดขมับ ก่อนจะตัดสินใจว่าเดี๋ยวค่อยมาคิดปัญหาที่น่าปวดหัวนี้
ตอนนี้เรื่องที่สำคัญก็คือการจัดการกับวงแหวนดวงดาวที่อยู่ตรงหน้า
เขาเอาสมาธิกลับไปอยู่ที่บนกล่องอีกครั้ง
ถ้านี่เป็นสิ่งที่มาจากสัตว์ประหลาดจากรอยแรก อย่างนั้นเขาก็แค่รวมมันเข้าโลกนี้ก็พอ แต่ถ้ามันมาจากเทวทูตล่ะก็ อย่างนั้นก็จะหมายความว่า….
ไม่ จะเป็นไปได้ยังไง โรแลนด์หุบยิ้มลงทันที การที่จัดการกับสัตว์ประหลาดจากรอยแตกได้ก็นับว่าน่าเหลือเชื่อมากแล้ว เทวทูตนั้นไม่ใช่ศัตรูที่จะรับมือได้ง่ายๆ เลย แม้แต่เฟยอวี่หานเองก็ยังถูกเล่นงานปางตาย ตัวเองอย่าไปคิดอะไรฝันหวานแบบนั้นจะดีกว่า
เขาเอาแกนพลังวางไว้บนมือ
แกนพลังเหมือนฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง จุดแสงสีน้ำเงินขาวเริ่มหมุนขึ้นมา ตรงกึ่งกลางส่องแสงสว่างขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเสาลำแสงที่สว่างเจิดจ้าแท่งหนึ่งถูกปล่อยขึ้นมา เมื่อถึงตอนนี้ ทุกอย่างดูเป็นปกติ ก็เหมือนกับภาพเหตุการณ์ทุกครั้งที่เขาหลอมรวมแกนพลังแห่งธรรมชาติ
แต่ทันใดนั้น โลกเบื้องหน้าพลันตกอยู่ในความมืด จิตสำนึกจำนวนมากไหลทะลักเข้ามาในหัวเขาเหมือนสายน้ำหลาด ขณะเดียวกันสิ่งที่ไหลทะลักเข้ามาด้วยยังมีความเจ็บปวดอย่างที่ยากจะทนรับได้!
ภายใต้คลื่นพายุอันบ้าคลั่งที่โหมกระหน่ำนี้ โรแลนด์เกือบจะหมดสติไป เขาตั้งสติอยู่นานกว่าจะควบคุมตัวเองได้ ในตอนที่เขาเริ่มสติอารมณ์ลง เขาจึงลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าตัวเองยืนอยู่ในที่ๆ ว่างเปล่า เกล็ดหิมะสีขาวยังคงมีอยู่ เพียงแต่หลังผ่านเหตุการณ์เช่นนี้มาสามครั้ง สมองของเขาก็สามารถกรองเอาส่วนที่ไม่สำคัญทิ้งไปได้แล้ว
…..โอเค ใช่จริงๆ ด้วย
ดูเหมือนคงจะต้องตรวจดูแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
มุมปากเขากระตุกขึ้นมาพร้อมกับมองไปรอบๆ
ครั้งนี้ยังเป็นจักรวาลเหมือนเดิมงั้นเหรอ?
เพราะว่ารอบตัวเขามันกว้างใหญ่เกินไป เขาจึงไม่สามารถมั่นใจได้ในทันทีที่ทองเห็น เมื่อเทียบกันเศษจิตสำนึกที่เห็นครั้งที่แล้ว ครั้งนี้ดูจะมืดมากกว่า ราวกับว่าดวงดาวทั้งหมดถูกแอบซ่อนเอาไว้
โรแลนด์ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะมองหาจุดอ้างอิงที่อยู่ท่ามกลางเกล็ดหิมะเล็กๆ ได้ กลุ่มแสงเล็กๆ เหมือนปลายเข็มที่ดูแล้วจวนจะดับลงไปทุกเมื่อฝังตัวอยู่ในพื้นหลังสีดำ
เหมือนมองตามจุดอ้างอิงนี้ไป เขาก็มองเห็นกลุ่มแสงอื่นๆ อีกมากมาย
เมื่อเห็นภาพนี้ เขากลับรู้สึกไม่มั่นใจว่าตัวเองอยู่ในจักรวาลหรือไม่
เพราะว่ากลุ่มแสงเหล่านั้นมันเรียงตัวเป็นระเบียบ ช่องว่างเว้นห่างเท่ากัน ดูแล้วไม่เหมือนสิ่งที่จะเกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติเลย
“ข้าขอถามเจ้าหน่อย แรงโน้มถ่วงคืออะไร?”
ในตอนที่โรแลนด์ลืมตาโตมองออกไป เสียงที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นมาที่ด้านหลังเขาทำให้เขาขนลุกขึ้นมา!
เขาหมุนตัวกลับไปทันที ก่อนจะมองเห็นว่าด้านหลังพลันมีเงาตะคุ่มๆ เพิ่มขึ้นมาเงาหนึ่ง อีกฝ่ายลอยไปมาไม่นิ่งเหมือนกับว่าไม่มีร่างกายอย่างไรอย่างนั้น
เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ภาษาที่เขารู้จัก เผลอๆ จะใช่ภาษาหรือเปล่าก็ยังไม่อาจมั่นใจได้ ถึงแม้จะไม่เข้าใจถึงสาเหตุ แต่เขาก็รู้ว่าเนื้อหาที่สะท้อนอยู่ในหัวของตนนั้นได้ถูกแปลงให้เป็นสิ่งที่เขาเข้าใจได้มาแล้ว —- เหมือนกับว่าอีกฝ่ายได้ปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความหมายซับซ้อนออกมา แต่ถูกเครื่องกรองดิจิตอลกรองเอาสิ่งไม่สำคัญทิ้งไปจนเหลือแต่สิ่งที่ตัวเองสามารถเข้าใจได้เท่านั้น
“เจ้ากำลัง…ถามข้างั้นเหรอ?” โรแลนด์ถามอย่างระมัดระวัง
“แรงโน้มถ่วงคือพลังที่น่าเคารพบูชาที่สุดในโลกนี้’ ในจิตสำนึกมีเสียงอีกเสียงหนึ่งตอบขึ้นมา ซึ่งเสียงนี้ฟังดูเหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
โรแลนด์กรอกตาใส่
ตอนแรกก็โผล่ออกมาแบบปุบปับให้ตกใจ จากนั้นก็ถามคำถามแบบลึกลับ เขายังนึกว่าตัวเองกลายเป็นส่วนหนึ่งของเศษความทรงจำนี้เสียอีก คิดไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะเป็นแค่ผู้ชมที่อยู่ข้างๆ เท่านั้น
“ถูกต้อง มันมีอยู่ทั่วไป ไม่เปลี่ยนแปลง ยิ่งมีขนาดใหญ่ก็ยิ่งแข็งแกร่ง…”
“มันทำให้ช่วงเวลาเล็กๆ รวมเข้าด้วยกัน ทำให้ความว่างเปล่ากลายเป็นรูปเป็นร่าง ชีวิตเช่นนี้ถึงสามารถหยั่งรากได้ อารยธรรมถึงได้สืบทอดคงอยู่”
เสียงนั้นเริ่มพูดอย่างเป็นจังหวะเหมือนกำลังขับร้องเพลงอยู่
“และพลังแรกที่ทุกๆ เผ่าพันธุ์รู้จักก็คือแรงโน้มถ่วง — มันเป็นทั้งเปลแล้วก็โซ่ตรวน ประวัตศาสตร์ของอารยธรรมก็คือการพยายามดิ้นรนที่จะหลุดพ้นจากแรงโน้มถ่วง”
“หลุดพ้นจากพื้นดินบินขึ้นไปบนฟ้า ก่อนจะบินไปยังสถานที่ที่ไกลออกไป”
“ตอนนี้มันกลายเป็นอุปสรรคสำหรับพวกเราอีกครั้ง แล้วก็เป็นอุปสรรคสุดท้ายด้วย”
‘ความเสี่ยงไม่สามารถคาดคะเนได้ ข้าไม่แนะนำให้ใช้แผนเกตเวย์’
‘ทุกๆ ก้าวที่ก้าวไปข้างหน้าล้วนแต่ตามมาด้วยความเสี่ยง เจ้าน่าจะรู้ในจุดนี้ดี”
‘ข้ารู้ คำแนะนำของข้าถึงไม่เคยเปลี่ยนมาตั้งแต่แรก’
“แต่เจ้าก็ยังช่วยข้าทำมันจนสำเร็จ” เงาสีเทาสว่างวาบสองสามที “เพื่อแผนการนี้ ข้ารอคอยมาไม่รู้กี่พันปีแล้ว ตอนนี้ทำให้มันเริ่มเลยเถอะ”
เดี๋ยวๆ แผนเกตเวย์มันคืออะไร? อุปสรรคสุดท้ายมันหมายความว่าไง? โรแลนด์รู้สึกเหมือนตัวเองพลาดข้อมูลสำคัญบางอย่างไป แต่จะอ้าปากก็ดีหรือคิดในใจก็ดี ไม่ว่าเขาจะไล่ถามยังไง คนที่พูดคุยกันอยู่ก็ไม่มีใครตอบ
‘…..ข้าเข้าใจแล้ว’
“ซ่า….”
จากนั้นเสียงพูดคุยในสมองก็หยุดลง เกล็ดหิมะเยอะขึ้นกว่าเดิม
จากประสบการณ์ที่ผ่ายมาก ในตอนที่เศษความทรงจำดำเนินมาถึงช่วงท้าย ความเร็วในการไหลของเวลาน่าจะยิ่งเร็วขึ้น แต่ในตอนที่ไม่มีวัตถุอะไรให้ใช้อ้างอิงได้ เขาเองก็ยากที่จะทำการวิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำ
โรแลนด์มองเห็นกลุ่มแสงเหล่านั้นเริ่มเคลื่อนที่เข้าหาจุดศูนย์กลาง เพียงแต่แสงสว่างของมันกลับยิ่งสลัวลง ก่อนจะกลายเป็นสีดำในเวลาไม่นาน กลุ่มแสงที่เหลือเองก็ลอยเข้าหาความมืดนั้นเหมือนแมงเม่าที่บินเข้ากองไฟ จนสุดท้ายมีกลุ่มแสงเข้าไปรวมอยู่เท่านั้นก็ไม่สามารถนับจำนวนได้อีก กระบวนการนี้เกิดขึ้นในเวลาพริบตา แต่ก็เหมือนใช้เวลายาวนาน—
ในที่สุดมันก็ถึงขีดจำกัด แสงสีแดงอันเจิดจ้าพลันระเบิดออกมาในความมืด ก่อนจะกวาดผ่านทั่วทั้งโลกไปในพริบตา!
ความเร็วของมันเร็วยิ่งกว่าแสง กว่าโรแลนด์จะรู้สึกตัวมันก็กวาดผ่านไปเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพเดิมอีกครั้ง
แต่โรแลนด์รู้ว่าโลกนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว การเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงกำลังเกิดขึ้น!
สิ่งแรกที่เกิดการเปลี่ยนแปลงก็คือเงาสีเทา มันกำลังสลายตัวไปเหมือนกับหมอกที่อยู่ใต้แสงสว่างนี้
จากนั้นก็เป็นความตายจำนวนมาก พวกมันเกิดขึ้นทุกซอกทุกมุมในความมืด การทำลายล้างและการเสื่อมถอยเกิดขึ้นสลับกัน โรแลนด์ไม่สามารถมองดูภาพเหตุการณ์เหล่านี้ด้วยดวงตา แต่มันกลับสะท้อนให้โรแลนด์เห็นอยู่ในหัวราวกับเกิดขึ้นจริงๆ เมืองที่อยู่ห่างไกลออกไปมีไฟลุกท่วมขึ้นมา วิถีการโคจรของดวงดาวพังทลาย ปลาที่อยู่ในกระแสน้ำหยุดว่าย หนอนที่อยู่ในรูเน่าเปื่อยกลายเป็นดินโคลน…
แม้แต่ร่างกายที่ล่องลอยอยู่ของเขาก็เริ่มที่จะบิดเบี้ยวขึ้นมา
ไม่ว่าจะเป็นชีวิตที่สูงส่งหรือต่ำต้อย ในเวลานี้ก็ไม่ได้ต่างกันเลย
ในเวลานี้เกล็ดหิมะปกคลุมทัศนวิสัยที่อยู่ตรงหน้าจนหมด
ในตอนที่ทุกอย่างจบลง ภาพในห้องนอนพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาอีกครั้ง โรแลนด์พยายามสะกดกลั้นความรู้สึกไม่สบายตัวอย่างรุนแรง เขากัดฟันเดินไปที่ริมหน้าต่าง แสงแดดยามบ่ายอันอบอุ่นอาบตัวเขา ภาพท้องถนนที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาทำให้เขาถอนหายใจยาวๆ ออกมา
ในเวลานี้เขาถึงได้พบว่ามันแก้มของเขาเหมือนจะเปียกชื้น
เมื่อใช้นิ้วมือแตะดู นั่นคือรอยน้ำตาที่ไหลออกมา
………………………………………