Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1413 นอกดินแดนตะวันตก
บ้าเอ้ย….
โรแลนด์สูดหายใจ ก่อนจะยกมือขึ้นมาเช็ดหน้าผาก ความรู้สึกนี่มันจะเหมือนจริงเกินไปหน่อยแล้ว
แต่เขารู้ว่าตัวเองเพียงแต่แสร้งทำเหมือนไม่เป็นอะไรเพื่อที่ปกปิดความรู้สึกด้านลบที่ทะลักออกมาจากในใจเท่านั้น จนถึงตอนนี้ มือของเขายังคงสั่นอยู่ แผ่นหลังเขาเต็มไปด้วยเหงื่อที่เปียกชุ่ม
เมื่อครู่นี้เขาเหมือนได้ประสบกับหายนะอันน่าหวาดกลัวด้วยตัวเอง ถึงแม้ความจริงแล้วมันจะเป็นชั่วเวลาแค่เพียงสั้นๆ แต่เขากลับเหมือนได้อยู่ดูช่วงเวลาสุดท้ายของแต่ละชีวิตและอารยธรรมที่ค่อยๆ ดับสูญลง หรือพูดอีกอย่างคือเขาเป็นส่วนหนึ่งในบรรดาชีวิตและอารยธรรมเหล่านั้น ตั้งแต่ไรน้ำไปจนถึงสัตว์สิ่งมีชีวิตต่างๆ ตั้งแต่เผ่าพันธุ์ชั้นต่ำไปจนถึงเผ่าพันธุ์ชั้นสูง ภาพที่กำลังดิ้นรนและเสียงร้องอันเจ็บปวดของพวกมันยังคงติดอยู่หัวของเขา เหมือนกับว่าทั้งจักรวาลนั้นเป็นดินแดนแห่งความตาย
และน้ำตานี้ก็ไหลออกมาเพื่อพวกมัน
มีอยู่ชั่วขณะหนึ่งที่โรแลนด์ถึงขนาดไม่อยากเดินออกมาจากแสงแดดที่ส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง
ภาพด้านนอกหน้าต่างที่ดูเหมือนปกติ ในเวลานี้กลับดูน่าประทับใจอย่างมาก
แม้แต่รอยฉี่ที่ไหลอยู่บนกำแพงและพวกแผ่นใบปลิวที่แปะให้เห็นอยู่ทั่วไปก็ยังดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา
หลังจ้องมองดูบนถนนที่มีคนเดินขวักไขว่ไปมาอยู่ครู่ใหญ่ เขาจึงสงบจิตสงบใจลงได้
ตอนนี้เขาสามารถมั่นใจเรื่องๆ หนึ่งได้แล้ว นั่นคือพลังเวทมนตร์ไม่ได้อยู่บนโลกนี้มาตั้งแต่เริ่ม การคาดเดานี้ถูกอันนี้พูดขึ้นมาตอนที่เขาเห็นภาพความทรงจำที่สอง ในที่สุดตอนนี้มันก็ได้รับการยืนยันซักที
แผนการเกตเวย์ทำให้พลังเวทมนตร์ปรากฏขึ้นมา
แต่นี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ผู้สนทนาต้องการ
สิ่งที่ ‘เงาสีเทา’ รอคอยอยู่คือการหลุดพ้นจากแรงโน้มถ่วง ส่วนอีกฝ่ายนั้นก็พูดถึงเรื่อง ‘ความเสี่ยงที่ไม่สามารถคาดคะเนได้’ ออกมาตรงๆ
ตอนนี้ดูแล้ว พลังเวทมนตร์นั่นแหละที่เป็นอุบัติเหตุที่พวกมันไม่ได้คาดคิดเอาไว้
ซึ่งหายนะที่เกิดขึ้นจากพลังเวทมนตร์นั้นกลายเป็น ‘ราคาที่ต้องจ่าย’ ที่พระเจ้าว่าเอาไว้ สุดท้ายพลังอันนี้ก็แพร่กระจายออกมาในเวลาสั้นๆ ตัวคู่สนทนาเองก็ไม่สามารถหนีออกมาได้
โลกทั้งโลกเองก็กลายสภาพเป็นโลกที่เขาเห็นอยู่ในตอนนี้
แต่โรแลนด์พบว่าต่อให้เขารู้เรื่องเหล่านี้ แต่สิ่งที่ตัวเองรู้จริงๆ มันก็ยังเป็นเพียงเศษเสี้ยวที่เล็กน้อยเท่านั้น
ปัญหาที่สำคัญที่สุดนั้นอยู่ที่ว่า ‘แผนการเกตเวย์’ มันคืออะไรกันแน่ ทำไม ‘เงาสีเทา’ ถึงได้หมกมุ่นอยู่กับมัน? สงครามแห่งโชคชะตาเกี่ยวข้องกับเรื่องราวทั้งหมดนี้ยังไง?
คงไม่ใช่ว่าอยากจะให้พวกเขามาอุดรูโหว่อันนี้หรอกนะ?
เขาหันหน้ากลับมามองดูกล่องพัสดุอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
“สวัสดีครับคุณร็อค ผมอยากรบกวนทางสมาคมช่วยผมหาตัวคนๆ หนึ่งหน่อยครับ”
……
เมืองเนเวอร์วินเทอร์ ปากทางเข้าที่ราบลุ่มบริบูรณ์ สถานีหมายเลขสอง
รถไฟขบวนหนึ่งค่อยๆ จอดเทียบที่ด้านหน้าลานขนย้ายสินค้า
“เฮ้ เพื่อน ข้าไปก่อนนะ” ไม่ทันรอให้ขบวนรถหยุดดี ชาร์มพลันกระโดดลงมาจากรถไฟด้วยความตื่นเต้น
“เฮ้ เจ้านี่ จะทิ้งให้ข้าเติมเชื้อเพลิงคนเดียวแบบนี้ไม่ได้นะ…”
“วานหน่อยนะ! เดี๋ยวคืนนี้ข้าเลี้ยงเหล้าเจ้า!”
เขารีบวิ่งไปทางตู้สินค้าอย่างรวดเร็ว พร้อมกับทิ้งเสียงของแฮงค์เอาไว้ด้านหลัง
หลังจบศึกทาคิลา ชาร์มก็ไม่ได้กลายเป็นเจ้าหน้าที่ทหารที่สง่างามเหมือนอย่างที่เขาคิดเอาไว้ ถึงแม้ครอบครัวของเขาทั้งสี่คนซึ่งรวมไปถึงพ่อและพี่ชายคนโตที่สละชีวิตไปจะได้รับรางวัลและการปูนบำเหน็จจากฝ่าบาท แต่สำนักงานเมืองกลับย้ายพวกเขาออกมาจากกองทัพให้มาเป็นคนขับรถไฟเต็มตัว
พ่อของเขาไม่ได้ว่าอะไร เพราะหลังสงครามจบ ยังไงก็ต้องมีคนคอยขับรถไฟอยู่ เครื่องจักรที่มีเรี่ยวแรงมหาศาลนี้ต่อให้ไม่ใช่ขนปืนใหญ่ มันก็ยังเอาไปใช้ทำประโยชน์อย่างอื่นได้อีกมากมาย หลังกองทัพถอนกำลังกลับมาที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์แล้ว รถไฟที่วิ่งอยู่บนที่ราบลุ่มบริบูรณ์ไม่เพียงแต่จะไม่ลดจำนวนลง แต่กลับเพิ่มจำนวนมากขึ้น สำนักงานเมืองย้ายพวกเขาออกมาจากกองทัพก็ด้วยเหตุผลนี้
พ่อของเขาบอกว่าทำงานอยู่ที่ไหนก็เป็นการรับใช้ฝ่าบาทเหมือนกัน
ยิ่งไปกว่านั้นค่าตอบแทนยังสูงกว่าเมื่อก่อนไม่น้อยด้วย
แต่ชาร์มกลับไม่รู้สึกยินดีขนาดนั้น การที่ทั้งวันขลุกอยู่กับถ่านหินสีดำมันจะไปมีความสุขเท่ากับการได้ถือปืนไปสู้กับปีศาจได้ยังไง ยิ่งไปกว่านั้นพี่คนโตของเขาสละชีวิตปกป้องค่ายทหาร การที่เขาได้ไปอยู่ในแนวหน้าแล้วกำจัดปีศาจต่างหากถึงจะเป็นการแก้แค้นพี่ชาย ซึ่งการขับรถไฟไอน้ำทำแบบนี้ไม่ได้
สิ่งที่ทำให้เขากลุ้มใจมากที่สุดก็คือพี่คนรองของเขาไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เลย เขาไม่เพียงแต่จะได้รับการเลื่อนยศเท่านั้น แต่ยังถูกเลือกให้ไปอยู่ในหน่วยที่เป็นหัวกะทิของกองทัพที่หนึ่งด้วย
นี่มันไม่ยุติธรรมเลย
เดิมชาร์มคิดว่าอีก 2 – 3 ปีหลังจากนี้ตัวเองคงต้องใช้ชีวิตน่าเบื่ออยู่บนทุ่งหญ้าที่รกร้างแห่งนี้เสียแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวมันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างที่เขาเองก็คิดไม่ถึง
เขตที่อยู่อาศัยและไร่นาจำนวนมากปรากฏขึ้นมาบนพื้นที่ทางเหนือของเทือกเขาสิ้นวิถีราวกับดอกเห็ด จำนวนของสถานีรถไฟเองก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งร้านเหล่า ร้านค้าเองก็ผุดตามขึ้นมา งานขนส่งสินค้าไม่ใช่งานที่น่าเบื่ออีกต่อไป ถ้าทำเสร็จแล้ว ทุกวันเขาก็จะนั่งดื่มเหล้าอยู่ในร้านเหล้า ซึ่งอาชีพคนขับรถไฟนั้นเป็นอาชีพที่ค่อนข้างได้รับความนิยมอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะเป็นคนในพื้นที่หรือชาวบ้านที่อพยพมา ทุกคนล้วนแต่รู้สึกสนใจในพื้นต้องห้ามที่เคยถูกเรียกว่า ‘ดินแดนต้องสาป’ แห่งนั้นอย่างมาก ยิ่งเขาเล่าได้น่าสนใจ เหล้าแก้วต่อๆ ไปเขาก็ไม่จำเป็นต้องควักเงินตัวเองซื้อเลย
แน่นอนว่าการมาหาความสุขแบบนี้ จะเป็นที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์หรือสถานีอื่นๆ ก็ไม่ได้ต่างอะไรกันเท่าไร สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกตั้งหน้าตั้งตารอคอยขนาดนี้ ที่จริงแล้วคือคนของที่นี่
“ทุกคนช่วยต่อแถวรับตุ๊กตาของตัวเองอย่างเป็นระเบียบด้วยนะ!”
ข้างตู้สินค้า เด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเอามือป้องปากส่งเสียงตะโกน ยังไม่ทันที่เขาจะเข้าไปใกล้ อีกฝ่ายพลันมองเห็นเขา ก่อนจะโบกมือให้เขาอย่างดีใจ “เจ้ามาแล้วเหรอ!”
เมื่อเห็นรอยยิ้มที่น่ารักของอีกฝ่าย ชาร์มพลันรู้สึกว่าการเป็นคนขับรถไฟนี่มันช่างดีจริงๆ เลย
“ข้ามาช่วยเจ้าน่ะ” เขาเลิกแขนเสื้อขึ้นมา
“ได้เลย อย่างนั้นเจ้าก็เอาตุ๊กตาไปตัวนึงสิ” เด็กผู้หยิงยื่นตุ๊กตาที่ทำจากฟางข้าวตัวหนึ่งให้เขา ก่อนจะเขย่งเท้าแล้วเอามันแขวนไปบนคอของเขา
“เหอะ หาเรื่องเอาใจล่ะสิไม่ว่า” ผู้หญิงอีกคนหนึ่งกระโดดลงมาจากกองสินค้า ก่อนจะถลึงตาใส่เขาด้วยสายตาที่เยือกเย็น
ชาร์มถลึงตากลับอย่างไม่ยอม ทั้งสองคนจ้องมองกันอยู่ครู่หนึ่ง
สุดท้ายก็เป็นเด็กหญิงที่เข้ามาห้ามทั้งสองคนเอาไว้ “เอาล่ะๆ โบแชง คุณชาร์มเขาก็แค่มีน้ำใจมาช่วยเท่านั้น ตอนพวกเราหลงทาง เราก็ได้เขาช่วยเอาไว้ไม่ใช่เหรอ?”
เมื่อพูดถึงเรื่องหลงทาง สีหน้าหญิงสาวพลันนิ่งไปทันที เธอเบือนหน้าไปอีกด้านพร้อมกับส่งเสียงเหอะออกมา “วันนี้ข้าขี้เกียจมีเรื่องกับเจ้า ถอยไป ข้าจะทำงาน”
พอพูดจบเธอก็ยกเอาถุงเมล็ดพันธุ์ขึ้นมาสองถุง ก่อนจะเดินไปทางพื้นที่วางสินค้าโดยไม่หันหน้ากลับมามอง
“ขอโทษด้วยนะ…” เด็กหญิงโค้งตัวอย่างรู้สึกผิด “โบแชงแค่…”
“ไม่เป็นไร ข้าไม่ถือสาหรอก” ชาร์ทแสร้งโบกมืออย่างใจกว้าง ก่อนจะแบกถุงเมล็ดพันธุ์ขึ้นไปบนหลัง
ความจริงแล้วเขาเฝ้ารอคอยวันนี้มานานแล้ว ในหัวเขาคิดทวนแผนการนับครั้งไม่ถ้วน คืนนี้คณะละครจากเมืองเนเวอร์วินเทอร์จะมาแสดงละครเวทีเรื่องใหม่ เขาจองตัวเอาไว้แล้วสองใบ กะว่าพองานเสร็จแล้วจะเอ่ยปากชวนอีกฝ่ายไปดูด้วยกัน
ผู้หญิงทั้งสองคนนี้เป็นแม่มดของมนตร์แห่งสลีปปิ้ง การพบกันของพวกเขาเรียกได้ว่าเหมือนนิยายไม่มีผิด ในตอนที่เด็กหญิงต้องนั่งรถไฟไปที่สถานีหมายเลขสองเพื่อช่วยงานก่อสร้างครั้งแรก เธอไม่ทันระวังเผลอนั่งรถเลยสถานี เมื่อเห็นทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เธอจึงตกใจกลัวจนร้องไห้ออกมา ส่วนโบแซงที่มาเป็นเพื่อนเธอก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร เมื่อต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมแปลกหน้าที่รกร้างผู้คน สภาพพวกเธอจึงทั้งตกใจและหวาดกลัวเหมือนแมวที่ถูกเหยียบหางไม่มีผิด
ในขณะที่ไม่รู้จะทำอย่างไร ชาร์มจึงได้แต่ต้องจอดรถไฟ แล้วส่งทั้งสองคนขึ้นรถไฟข้ากลับอีกขบวนหนึ่ง อีกทั้งยังกำชับคนขับถึงสถานีที่พวกเธอจะลง พวกเธอถึงได้เดินทางมาถึงสถานีหมายเลขสองได้อย่างปลอดภัยก่อนที่ฟ้าจะมืด
เดิมเขาคิดว่านี่เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ หลังจากนี้คงจะไม่ได้พูดคุยติดต่ออะไรกันแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่างานที่แม่มดทั้งสองคนมาช่วยจะเป็นงานขนสินค้าที่สถานี
ไปๆ มาๆ ทั้งสองคนก็ค่อยๆ สนิทกัน เขาเองก็ได้รู้จักคือของอีกฝ่าย ดัสก์
…………………………………………………………..