Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1414 คนที่ไร้ประโยชน์
ดัสก์น่ารักมาก
แต่เขาไม่ได้หมายถึงหน้าตาเธออย่างเดียวเท่านั้น แน่นอนว่าหน้าตาของเธอนั้นน่ารักอย่างมาก เมื่ออยู่ในกลุ่มแม่มดก็เหมือนจะไม่ได้แย่อะไร แม้แต่โบแชงที่มองเขาด้วยสายตาเยือกเย็นทั้งหมดก็ไม่ได้เรียกว่าขี้เหร่ บางครั้งเวลาที่อีกฝ่ายทำหน้าเบื่อหน่ายใส่เขา…เขายังรู้สึกได้ถึงความมีเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์ด้วยซ้ำ
แต่ชาร์มไม่มีทางพูดออกไปเด็ดขาด
เพราะการทำแบบนั้นมีแต่จะทำให้อีกฝ่ายมองตัวเองด้วยสายตาเยือกเย็นมากยิ่งขึ้น
ความน่ารักของดัสก์นั้นอยู่ในด้านอื่น เวลาเธอเจอเรื่องยินดีเธอก็จะยิ้มออกมา เวลาเจอเรื่องทุกข์ใจเธอก็จะร้องไห้ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยปิดบังอารมณ์และความคิดของตัวเอง เรียกได้ว่าบริสุทธ์เหมือนกับน้ำแร่ที่อยู่บนพื้นที่หิมะอย่างไรอย่างนั้น แต่ในบางเรื่องเธอก็ดึงดันอย่างมาก อย่างเช่นในช่วงเวลาหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่หลงทาง เธอก็มายืนเฝ้ารอเขาอยู่ที่ข้างสถานีเพื่อที่จะกล่าวขอบคุณเขา
เอาเป็นว่า เธอดีทุกอย่าง
เธอไม่เหมือนกับผู้คนที่เขาเคยเจอมาก่อนหน้านี้เลย ดัสก์นั้นเป็นผู้หญิงที่พิเศษ ถ้าผู้หญิงคนอื่นๆ คือสีขาวดำ อย่างนั้นเธอก็เป็นสีแดงส้มเหมือนกับผมสั้นสีแดงที่ม้วนเป็นลอนนิดหน่อยของเธอ
เมื่อเทียบกันแล้ว โบแชงถือว่าต่างกว่ามาก
ทั้งๆ ที่ทั้งสองต่างก็เป็นแม่มดเหมือนกันด้วยซ้ำ
“เฮ้ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่” เมื่อเดินเข้าไปในลานวางของ ชาร์มก็พบว่าโบแชงกำลังรอเขาอยู่ตรงประตู “เจ้าน่าจะรู้ว่าพวกข้าเป็นแม่มดใช่ไหม?”
“ตั้งแต่วันแรกที่รู้จัก” เขาพูดพร้อมสบตาอีกฝ่าย
“นี่เจ้ากำลังยอมรับว่าตัวเองแค่อยากจะปั่นหัวพวกข้าเล่นใช่ไหม?” โบแชงเลิกคิ้วขึ้นมา
“ข้าไม่รู้ว่าทำไมเจ้าถึงมีความคิดแบบนี้ แต่ดัสก์น่ารักขนาดนั้น ข้าไม่มีเหตุผลที่จะยกนางให้คนอื่น”
ถ้าอยู่ต่อหน้าดัสก์ ชาร์มไม่กล้าพูดคำพูดแบบนี้ออกมาแน่ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าโบแชง เขาไม่อยากจะถอยให้อีกฝ่ายแม้แต่ก้าวเดียว ไม่ว่าจะเป็นคำพูดแบบไหนเขาก็เหมือนจะพูดออกมาได้หมด
น่าจะเป็นเพราะคิดไม่ถึงว่าเขาจะยอมรับออกมาตรงๆ โบแชงจึงตกตะลึงไปเล็กน้อย “น่า…น่ารักอะไรล่ะ นั่นมันไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย! นางเป็นแม่มด และแม่มดไม่สามารถ เจ้าก็รู้ดีไม่ใช่เหรอ!”
“แล้วยังไงล่ะ” ชาร์มยืดหน้าอกขึ้น เผยให้เห็นเหรียญ ‘วีรบุรุษแห่งสงคราม’ ที่กลัดติดอยู่บนเสื้อของเขา “ข้ายังมีพี่ชายอีกคนหนึ่ง ต่อให้ข้าไม่มีลูก พ่อข้าก็ไม่ว่าอะไรหรอก! และนี่เป็นเหรียญที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ข้า ซึ่งมันเพียงพอที่จะรับประกันชีวิตของนางหลังจากนี้ได้ เจ้ายังมีคำถามอะไรอีกไหม?”
โบแชงลืมตาโตพูดไม่ออก
ผ่านไปครู่หนึ่งเธอจึงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เหอะ คำสัญญาปากเปล่ามันไม่มีค่าอะไรหรอก ข้าจะคอยจับตาดูเจ้า จากนั้นเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเจ้า”
“ตามสบาย” ชาร์มยักไหล่ “เออใช่ เจ้าไม่บอกว่าตัวเองเป็นแม่มด ข้าก็เกือบลืมไปแล้วนะเนี่ย ความสามารถของเจ้ามันคืออะไรกันแน่? ทำไมข้าถึงคิดว่าเจ้าถึงใช้แต่แรงของตัวเองในการขนของอย่างเดียวเลยล่ะ?”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด พอคำพูดนี้หลุดปากไป เขาพลันรู้สึกว่าสีหน้าของอีกฝ่ายดูแย่ลง
“เจ้าคิดว่าข้าไม่ควรจะอยู่ที่นี่อย่างนั้นเหรอ?”
“เปล่า…ข้าแค่รู้สึกสงสัยเท่านั้น” ชาร์มรีบโบกมือ ตอนนี้เขาถึงได้รู้ตัวว่าคำพูดของตัวเองมันทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเหมือนเขากำลังแอบเยาะเย้ยอยู่ น่าแปลก…ปกติเขาจะเป็นคนระวังคำพูด ทำไมตอนนี้ถึงพูดอะไรแบบนี้ออกไปได้ง่ายๆ? ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ค่อยพูดจาด้วยเหตุผล แต่ตัวเขาเองก็ไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นอะไรนี่นา
ในตอนที่เขาคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ตอบคำถามของตัวเองแล้ว โบแชงกลับพูดเสียงเบาๆ ขึ้นมาว่า “ความสามารถของข้าคือฆ่าคน”
ชาร์มสูดหายใจด้วยความตกใจ “อะไรนะ?”
อีกฝ่ายหยิบเมล็ดพันธุ์เมล็ดหนึ่งขึ้นมาจากพื้นแล้วเอามันวางไว้บนฝ่ามือ ไม่นานเมล็ดพันธุ์ที่ว่าก็แห้งเหี่ยว หดตัวและสุดท้ายเปลี่ยนเป็นก้อนสีดำอย่างรวดเร็ว
“สิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่ข้าสัมผัสจะเสื่อมโทรมผุพังลงไปอย่างรวดเร็ว เหมือนกับเมล็ดพันธุ์เมล็ดนี้…ความจริงไม่ใช่แค่พืชเท่านั้น ต่อให้เป็นก้อนหินกับโลหะมันก็ได้รับผลกระทบจากพลังของข้าเช่นเดียวกัน เพียงแต่ผลมันจะเกิดขึ้นช้าอย่างมาก การใช้พลังเวทมนตร์ก็ยังมากกว่าด้วย ดังนั้นปกติข้าจึงมักจะใช้มันรับมือศัตรู”
ชาร์มก้าวเท้าไปด้านหลังสองก้าว “อย่างนั้นทำไมเจ้าไม่ไปต่อสู้กับปีศาจล่ะ?”
“สโสรแม่มดไม่อนุญาต พวกนางรับผิดชอบเรื่องตารางงานของแม่มดทุกคน และพลังของข้าก็จำเป็นต้องสัมผัสในระยะใกล้ถึงจะได้ผล พวกนางคิดว่ามันอันตรายมากเกินไป แล้วก็ไม่มีโอกาสให้ข้าได้ใช้พลัง ข้อสรุปสุดท้ายจึงให้ข้าเป็นคนเลือกเองว่าอยากทำอะไร — ยกเว้นลงไปในสนามรย” โบแชงเหมือนยิ้มเยาะตัวเองขึ้นมา “ดังนั้นคำสัญญาด้วยปากเปล่ามันไม่สามารถรับประกันอะไรได้ทั้งนั้น…ฝ่าบาทโรแลนด์เองก็เหมือนกัน”
“เหลวไหล!” ชาร์มไม่สามารถทนให้คนอื่นมาลบหลู่ราชาต่อหน้าตัวเองได้ “ฝ่าบาททรงไม่เคยผิดคำพูดมาก่อน นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนในเนเวอร์วินเทอร์ต่างรู้กันดี ต่อให้เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อแค่ไหน ขอเพียงฝ่าบาทรับปากแล้ว มันก็จะกลายเป็นจริง…แน่นอน….”
เมื่อเห็นสีหน้าที่เหมือนยิ้มเหมือนไม่ได้ยิ้มของอีกฝ่าย จู่ๆ เขาก็เริ่มรู้สึกเสียความมั่นใจขึ้นมา “เดี๋ยวๆ เจ้าเคยเจอฝ่าบาทเหรอ?”
“เคยเจอ” โบแชงโยนเม็ดสีดำที่อยู่ในมือทิ้งไป “เวลาที่สโมสรแม่มดจะจัดงานให้ทำ พวกนางจะทำการคัดกรองพลังก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นค่อยถามความเห็นของแม่มดแต่ละคน สุดท้ายค่อยเอาทั้งสองอย่างมารวมกันแล้วตัดสินใจ อย่างดัสก์ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ถ้าความสามารถมีวิธีการใช้ที่ไม่ชัดเจน ฝ่าบาทโรแลนด์ก็จะทรงเป็นคนตัดสินพระทัยเอง เพราะจากคำพูดที่ฝ่าบาทเคยตรัสเอาไว้ พระองค์ตรัสว่าไม่ว่าจะเป็นพลังแบบไหนก็สามารถทำประโยชน์ให้กับเกรย์คาสเซิลได้ทั้งนั้น ไม่มีพลังของใครที่จะไร้ประโยชน์” เธอชะงักไปเล็กน้อย “ซึ่งข้าจัดอยู่ในประเภทหลัง”
ชาร์มพบว่าตัวเองตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาคิดยังไงก็ยังคิดไม่ออกว่าพลังทำลายล้างแบบนี้ยังจะใช้ทำประโยชน์อะไรได้นอกจากใช้ต่อสู้ ตอนนั้นฝ่าบาททรงต้องปวดหัวอย่างมากแน่ แต่เขาเองก็ไม่คิดว่านี่จะเป็นความผิดของฝ่าบาทโรแลนด์ การยอมรับในเรื่องนี้มันยากลำบากกว่าการที่เขาไม่สามารถทำคำสัญญาให้เป็นจริงได้เสียอีก
“ฝ่าบาท…ทรงตรัสว่ายังไง?”
“พระองค์ตรัสว่าอีก 50 – 100 ปี ข้าจะเป็นดาวที่โดดเด่นของสายอาชีพวิชวลเอฟเฟคและอุปกรณ์ประกอบฉาก” โบแชงมุ่ยปาก
“เอ่อ…มันคืออะไรน่ะ?”
“ใครจะไปรู้ว่า เหมือนจะเกี่ยวกับหนังเวทมนตร์นั่นแหละ ข้าก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน ตอนนั้นฝ่าบาทตรัสเยอะมาก อย่างเช่นวิชวลเอฟเฟคมีวิธีใช้มากมาย แล้วการทำให้ของดูเก่าก็เป็นงานประเภทหนึ่งที่ไม่อาจขาดได้ในวิชวลเอฟเฟค…” เธอเดินไปทางสถานีอย่างหมดอาลัยตาอยาก “เป็นคำพูดที่กลิ้งกลอกใช่ไหมล่ะ? ต่อให้พระองค์ทรงไม่ได้โกหก นั่นมันก็เป็นเรื่องที่ต้องรออีกหลายปีกว่าจะเกิดขึ้น แต่สำหรับตอนนี้ ข้าเป็นแค่คนที่ไร้ประโยชน์เท่านั้นแหละ…”
อย่างนี้นี่เอง ชาร์มพลันเข้าใจขึ้นมาทันที
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมก่อนหน้านี้ดัสก์ถึงทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา
ในตอนที่แม่มดต้องคอยอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ โบแชงที่สามารถสู้กับคนที่ไล่ล่าได้นั้นย่อมต้องเป็นหัวใจสำคัญของกลุ่มอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ตอนนี้ฝ่าบาททรงไม่ต้องการให้พวกนางออกไปต่อสู้เสียเลือดเสียเนื้อ ทำให้นางกลายเป็นคนที่ไม่มีประโยน์อะไรเลย ความแตกต่างระหว่างทั้งสองอย่างนี้เขาพอจะนึกภาพออกได้
มีอยู่ชั่วขณะหนึ่งที่ชาร์มรู้สึกเข้าใจความรู้สึกของเธอ ในตอนทีเขารู้ว่าตัวเองถูกย้ายออกจากกองทัพ เขาเองก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกโลกใบนี้ทอดทิ้ง เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ การที่เธอจะอารมณ์ไม่ดีมันก็เป็นเรื่องปกติ
เมื่อมองดูแผ่นหลังที่อ้างว้างโดดเดี่ยวของอีกฝ่าย หัวใจเขาพลันรู้สึกสงสารขึ้นมา
เดิมทีเขาเอาแต่คิดอยู่ในหัวว่าจะไล่อีกฝ่ายออกไปอย่างไรดี ตัวเขาจะได้มีโอกาสอยู่กับดัสก์สองต่อแล้ว แล้วจะได้เชิญดัสก์ไปดูละครเวที แต่ตอนนี้เขากลับไม่สามารถพูดมันออกมาได้แล้ว เพราะถ้าแม้กระทั่งดัสก์ก็ไม่อยู่ ข้างกายเธอก็จะไม่เหลือใครแล้ว
ชาร์มกระแอมเล็กน้อย ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ “คือว่า…ข้ามีตัวละครเวทีเรื่องใหม่สองใบ”
อีกฝ่ายหันหน้ากลับมา เหมือนว่ากำลังรอให้เขาพูดต่อ
“แต่คืนนี้ข้ามีธุระ น่าจะไปดูไม่ได้…” เขาลังเลเล็กน้อย “ถ้ายังไงเจ้าก็ไปดูกับดัสก์สิ ตั๋วจะได้ไม่เสียเปล่า…”
สีหน้าโบแชงดูประหลาดใจ
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะตอบกลับมา บนท้องฟ้าพลันมีเสียงพึบพับๆ ดังขึ้นมา
ทั้งสองคนเงยหน้าขึ้น ก่อนจะเห็นนกนับหมื่นๆ ตัวบินผ่านไป นกจำนวนมหาศาลแทบจบดบังแสงอาทิตย์เอาไว้จนมิด ฝูงนกที่บินเหมือนอพยพย้ายถิ่นฐานแบบนี้ ชาร์มเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก
เขาเคยได้ยินมาว่านกย้ายถิ่นมันจะมีช่วงเวลาที่ย้ายถิ่นเพื่อไปใช้ชีวิตในฤดูหนาวที่แน่นอน แต่ภาพที่อยู่ตรงหน้านี้เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่การย้ายถิ่น ในฝูงนกเรียกได้ว่ามีนกนานาชนิด ยิ่งไปกว่านั้นเขายังรู้สึกว่าการบินของพวกมันดูเร่งรีบ ดูไม่ได้มีความสง่างามเหมือนในเวลาปกติที่กางปีกบินร่อนเลย
“พวกมันทำไมเหรอนั่น?” ชาร์มขมวดคิ้วขึ้นมา “ย้ายบ้านกันเป็นกลุ่มเหรอ?”
“ชู่ว!” โบแชงยกนิ้วขึ้นมานิ้วหนึ่ง “เจ้าได้ยินเสียงอะไรไหม?”
“นอกจากเสียงกระพือปีกแล้วยังมีเสียงอื่นด้วยเหรอ?”
“ไม่ ไกลออกไปอีก” สีหน้าเธอดูคร่ำเคร่งขึ้นมา
ชาร์มจึงได้แต่ต้องกลั้นหายใจแล้วเงี่ยหูฟังดูอีกครั้ง และครั้งนี้ เขาเหมือนจะได้ยินเสียงดังยาวๆ เสียงหนึ่ง ฟังดูเบาและไม่ชัดเจน ในตอนที่มันผสมกับเสียงกระพือปีกของนก ฟังดูแล้วคล้ายกับเสียงหวูด
เขาลืมตาโตขึ้นมาทันที
นั่นมัน…เสียงสัญญาณเตือนจากทางด้านเหนือ!
………………………………………………………………