Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1418 จักรพรรดิที่รวมร่าง
ตอนกลางของเทือกเขาสิ้นวิถี เขตภูเขาเฮอร์มีส
เงาขนาดใหญ่ที่ทอดลงมาจากพระผู้สร้างเข้าปกคลุมขอบของที่ราบสูง ละอองชีวิตที่ไหลลงมาไหลไปตามช่องระหว่างเขา ทำให้เทือกเขากลายเป็นเส้นสีแดงที่สวยงาม เมื่อมีเส้นทางขนส่งหมอกแดงนี้ กองทัพที่อยู่ตรงสันหลังของทวีปก็จะสามารถกรีธาทัพเข้ามายัง 4 อาณาจักรใหญ่ได้อย่างไร้ซึ่งอุปสรรค
ทุกอย่างเป็นเหมือนที่เดอะแมสก์คิดเอาไว้
ถึงแม้มนุษย์จะโจมตีเข้ามาไม่หยุด แต่มันก็ไม่อาจหยุดยั้งการเคลื่อนไปข้างหน้าของพระผู้สร้างได้ สงครามหลังจากนี้จะเป็นสงครามที่ยืดเยื้อ เดิมเผ่าพันธุ์ของมันก็มีความได้เปรียบในเรื่องจำนวนอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นด้วยเทคโนโลยีของมันที่สามารถทำให้พวกร่างชั้นต่ำที่ไม่มีพลังเวทมนตร์กลายเป็นเครื่องจักรสงครามที่แข็งแกร่งได้ ก็จะยิ่งทำให้ทั้งสองเผ่าพันธุ์มีความแตกต่างกันมากยิ่งขึ้น
จริงอยู่ที่คู่ต่อสู้มีเทคโนโลยีที่ไม่ธรรมดา แต่นั่นก็ไม่อาจลดช่องว่างความแตกต่างของทั้ง 2 เผ่าพันธุ์ลงได้ ตั้งแต่การเกิดจนกระทั่งเติบโต มนุษย์ต้องใช้เวลาอย่างน้อยมากกว่า 10 ปี แต่พวกร่างชั้นต่ำที่ไม่มีพลังเวทมนตร์ใช้เวลาเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น แถมยังไม่ต้องมีการจับคู่และการผสมพันธุ์ที่ยุ่งยากด้วย ส่วนมนุษย์ที่ตายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ช้าเร็วก็จะต้องพังพินาศ
ถูกต้อง สถานการณ์เป็นไปอย่างที่มันคิดเอาไว้ทุกอย่าง ยกเว้นก็แต่เพียงเรื่องเดียว
“ถ้าอยากรู้ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” มันยืนอยู่ในห้องสังเกตการณ์ที่อยู่ชั้นล่างสุดของพระผู้สร้าง พร้อมตะคอกใส่ลูกน้องของมันอย่างโมโห
ลูกน้องพร้อมใจสบตากัน ก่อนจะก้มหน้าก้มตา ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา
น้อยครั้งนักที่มันจะถามคำถามทั้งๆ ที่รู้คำตอบแบบนี้ออกมา เพราะการทำอย่างนั้นมันก็เป็นแค่การระบายอารมณ์และเสียเวลาเปล่าเท่านั้น มีแต่พวกไร้ความสามารถอย่างบลัดดี้คองเคอร์เรอร์กับเฮทริตที่ชอบใช้วิธีแบบนี้ ตอนนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น แค่มองดูก็แทบจะรู้ได้ทั้งหมดแล้ว บนที่ราบสูงเฮอร์มีสมีสัตว์อสูรจำนวนมากกำลังสู้กับร่างซิมไบออนท์อยู่ เดิมร่างซิมไบออนท์เหล่านี้ควรจะบุกเข้าไปในสี่อาณาจักรใหญ่แล้วค่อยๆ ตัดกำลังของพวกมนุษย์ แต่ตอนนี้ร่างซิมไบออนท์ส่วนหนึ่งกลับถูกพวกสัตว์อสูรคอยถ่วงแข้งถ่วงขาไว้
พวกมันรวมตัวเป็นสายน้ำสีดำหลายสายอยู่บนที่ราบ ก่อนจะแห่ทะลักบุกเข้ามาในเมืองที่ถูกทิ้งร้างผ่านทางรอยแตกของภูเขา บางทีทางผ่านนี้อาจจะเป็นป้อมปราการที่พวกมนุษย์ใช้ในการป้องกันพวกสัตว์อสูร แต่ในเวลานี้มันได้กลายเป็นของเผ่าพันธุ์มันไปแล้ว
ถ้าเพียงเท่านี้ก็ว่าไปอย่าง
นาซเพลมองเห็น ‘รัง’ ของอาณาจักรซีสกายอยู่ในฝูงสัตว์อสูรด้วย
นี่ต่างหากถึงจะเป็นเหตุผลแท้จริงที่ทำให้มันควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่
เผ่าพันธุ์ของมันไม่เหมือนกับพวกมนุษย์ พวกมันรู้มานานแล้วว่าสิ่งที่เรียกว่าสัตว์อสูรนั้นคือกองกำลังส่วนหนึ่งของอาณาจักรซีสกาย คล้ายกับพวกร่างชั้นต่ำของเผ่าพันธุ์มัน ทุกครั้งที่เดือนแห่งปีศาจมาถึง ซึ่งเป็นช่วงที่มีพลังเวทมนตร์สมบูรณ์ที่สุด ‘รัง’ จะทำการปล่อยสปอร์ออกมาเป็นจำนวนมาก จากนั้นสปอร์เหล่านี้ก็จะถูกลมทะเลพัดขึ้นมาบนแผ่นดินและทำให้สัตว์ป่าทั่วไปติดเชื้อ ก่อนจะเปลี่ยนพวกมันให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาด แล้วก็ปล่อยให้พวกมันวิวัฒนาการและออกไปฆ่าได้อย่างอิสระ
สัตว์อสูรพวกนี้มีความสามารถในการต่อสู้ที่ต่ำ สำหรับเผ่าพันธุ์ของมันแล้วไม่ถือว่าน่ากลัวอะไร อาณาจักรซีสกายเองก็มองพวกมันเป็นเหมือน ‘ลานเพาะเลี้ยง’ ที่เอาไว้สำหรับเก็บวัตถุดิบสำคัญ แล้วก็ไม่เคยมองสัตว์อสูรพวกนี้เป็นกองกำลังที่จะใช้ในการทำสงครามบนแผ่นดิน เมื่อมองจากอีกมุมหนึ่งก็แสดงให้เห็นว่าอาณาจักรซีสกายมีความสามารถในการควบคุมแผ่นดินที่ต่ำ นอกจากการใช้วิธีแบบนี้มาสร้างปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ให้กับเผ่าพันธุ์ของมันแล้ว พวกมันก็ไม่มีวิธีอื่นที่จะมาแย่งชิงพื้นที่บนแผ่นดินอีก
แต่ ‘รัง’ นั้นไม่เหมือนกัน
มันเป็นหัวใจสำคัญของอาณาจักรซีสกาย เผ่าพันธุ์ของมันไม่สามารถปล่อยเป้าหมายแบบนี้ไปง่ายๆ ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ‘รัง’ ยังรับมือได้ยากมากเวลาที่อยู่ในทะเล แต่เวลาที่อยู่บนบกมันกลับเชื่องช้าอย่างมาก ไม่มีเหตุผลที่มันจะมาปรากฏตัวอยู่บนที่ราบลุ่มบริบูรณ์เลย
เมื่อ 800 ปีก่อน เผ่าพันธุ์ของมันได้ค่อยๆ กลืนกินแผ่นดิน จากมุมหนึ่งเล็กๆ ของพื้นทวีปจนตอนนี้กินพื้นที่ไปมากกว่าครึ่งของดินแดนรุ่งอรุณ แถมยังสร้างแนวป้องกันยาวไปตามพื้นที่ด้านที่ติดทะเล เพื่อป้องกันอาณาจักรซีสกายอ้อมมาโจมตีด้านหลัง การที่สัตว์อสูรที่เดิมอาศัยอยู่บนพื้นทวีปมารวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนเหมือนอย่างตอนนี้นั้นยังพอเข้าใจได้ แต่การปรากฏตัวของ ‘รัง’ นั้นทำให้สถานการณ์แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
ถ้าไม่เป็นเพราะมีไอ้โง่ตัวไหนละเลยหน้าที่จนเปิดเผยร่องรอยของอาณาจักรซีสกาย ก็ต้องแปลว่าทางด้านหลังนั้นเกิดเรื่องร้ายขึ้นแล้ว!
ลูกน้องของมันก็น่าจะคิดได้เช่นนี้เหมือนกัน พวกมันถึงไม่กล้ารับคำ
เมื่อคิดถึงเรื่องที่ก่อนหน้านี้จู่ๆ จักรพรรดิก็ขาดการติดต่อไป ภายในใจของนาซเพลจึงเกิดความไม่สบายใจอย่างรุนแรงขึ้นมา
“ท่านเดอะแมสก์” จู่ๆ ผู้ยกระดับ ระดับสูงตนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาในห้องสังเกตการณ์ “ทางหอคอยแห่งการให้กำเนิดส่งข้อความมา ท่านจักรพรรดิเรียกท่านขอรับ!”
“อะไรนะ?” นาซเพลหันหน้ากลับมาทันที “เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นท่านจักรพรรดิ?”
อีกฝ่ายงงไปทันที “เมื่อดูจากคลื่นกระเพื่อมของโลกแห่งจิตสำนึกแล้ว นั่นเป็นหอเจ้าชีวิตไม่ผิดแน่ขอรับ….นายท่าน มีปัญหาอะไรหรอขอรับ?”
“เปล่า ไม่มีอะไร ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ” นาซเพลสะกดอารมณ์พร้อมพูดด้วยเสียงเย็น เรื่องที่ก่อนหน้านี้สูญเสียการติดต่อกับแบล็คสโตนไป มันกับไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ต่างคิดว่าไม่ควรเปิดเผยเรื่องนี้ออกไป เพื่อที่จะได้ไม่กระทบต่อขวัญและกำลังใจ การที่ลูกน้องจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ก็ถือเป็นเรื่องปกติ
สรุปแล้วก็คือ ‘รัง’ มาป่วนแผนการของมัน
เมื่อขึ้นไปบนยอดหอคอย เดอะแมสก์รวบรวมสมาธิตอบกลับคลื่นกระเพื่อมที่รุนแรงอันนั้น
จริงอยู่ที่มันมาจากหอเจ้าชีวิต….เพียงแต่ว่ามันแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้นิดหน่อย น่าเสียดายที่ด้วยระดับของมัน มันไม่สามารถแยกแยะได้ว่าความแตกต่างที่ว่านี้มันมาจากไหน
‘คารวะองค์จักรพรรดิ! ก่อนหน้านี้ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ?’ พอได้เอ่ยปาก นาซเพลก็พร่ำบ่นออกมาตามความเคยชิน ‘ในวันที่ไม่มีท่านคอยชี้นำ มันช่างทำให้ข้ารู้สึกหวาดกลัวจริงๆ ตอนนี้ไม่รู้ว่าสกายลอร์ดไปอยู่ที่ไหน โชคดีที่ร่างซิมไบออนท์ใช้งานได้ยอดเยี่ยมอย่างมาก ศึกทางตะวันตกถึงได้…’
‘พอแล้ว’ จักรพรรดิพูดตัดบทมัน ‘ข้ารู้ว่าเจ้ามีเรื่องอยากจะพูดมากมาย แต่ว่านั่นมันไม่สำคัญ ตอนนี้การป้องกันของแบล็คสโตนได้พังลงแล้ว’
นาซเพลเอาคำพูดที่จะแสดงความดีความชอบของตัวเองโยนทิ้งไปทันที มันนิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนจะพูดซ้ำออกมาเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่า ‘การป้องกันของแบล็คสโตน…?’
‘ถึงแม้จะยังไม่ถูกอาณาจักรซีสกายยึดครองจนหมด แต่นั่นเป็นเรื่องที่ช้าเร็วก็ต้องเกิดขึ้น ศัตรูของพวกเราเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง นี่ทำให้แนวป้องกันที่เดิมอ่อนแอพังทลายลง เฮทริตต้องสังเวยชีวิตอยู่ในสนามรบ’ น้ำเสียงของจักรพรรดิยังคงราบเรียบ เรากลับว่ากำลังพูดคุยเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับชะตาชีวิตของเผ่าพันธุ์อยู่อย่างไรอย่างนั้น ‘ข้าถ่ายทอดคำสั่งให้ทิ้งแบล็คสโตนแล้วถอยเข้าไปยังดินแดนรุ่งอรุณอย่างเต็มกำลังแล้ว’
‘องค์จักรพรรดิได้โปรดทบทวนด้วย’ นาซเพลร้อนใจขึ้นมา เพราะนั่นเป็นการอพยพของเผ่าพันธุ์นับพันล้านตัว ต่อให้ไม่รวมพวกร่างไร้พลังเวทมนตร์ อย่างน้อยก็มีนับ 10 ล้านตัว แล้วในสถานการณ์ที่ขาดแคลนละอองแห่งชีวิต จะมีเผ่าพันธุ์ของมันอยู่กี่ตัวที่สามารถรอดมาถึงดินแดนรุ่งอรุณได้? เกรงว่าแม้แต่ 1% ก็อาจจะไม่ถึงด้วยซ้ำ! ยิ่งไปกว่านั้นดินแดนรุ่งอรุณในตอนนี้กำลังถูกอาณาจักรซีสกายโจมตีอยู่ พวกมันจำเป็นต้องเข้ามายังด้านในของแผ่นดินถึงจะมีโอกาสรอดชีวิตได้ แต่บนที่ราบลุ่มบริบูรณ์มีฐานที่มั่นพอจะให้พวกมันได้ใช้อยู่อาศัยมากมายขนาดนั้นที่ไหนกันล่ะ? ถ้าทำแบบนั้นได้จริงๆ พวกมันก็คงไม่ต้องไปลองยึดทาคีลาแล้ว!
‘การเสียสละนั้นเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้’ จักรพรรดิพูดตรงๆ ‘ละอองชีวิตนั้นไม่ใช่ปัญหา ทันทีที่ตัดสินใจถอนกำลัง หอคอยแห่งการให้กำเนิดที่ผ่านมาทั้งหมดสามารถใช้วิธีย้ายไปปลูกใหม่ได้ วิธีนี้เราเคยใช้บนสันหลังแห่งทวีปมาแล้ว ส่วนเมืองสตาร์ฟอล อาเรียตา ทาคิลา เฮอร์มีสบนดินแดนรุ่งอรุณ…เลยแม้แต่สายแร่อาญาสิทธิ์ที่อยู่ในดินแดนของพวกมนุษย์ก็สามารถเอามาใช้เป็นที่ฟักอันใหม่ได้’
‘แต่การเคลื่อนย้ายหอคอยแห่งการให้กำเนิดจำนวนมากขนาดนี้ในเวลาพร้อมกัน ต่อให้รวมกำลังทั้งหมดของเผ่าพันธุ์’ จู่ๆ นาซเพลพลันตกตะลึงไป ‘หรือว่าท่าน’
‘ถูกต้อง ข้าได้รวมร่างเข้ากับแกนพลังเวทมนตร์แล้ว ทำให้เมืองจักรพรรดิกลายเป็นพระผู้สร้างแห่งใหม่’
นาซเพลสั่นสะท้านขึ้นมาทันที รวมร่างเข้ากับวัตถุที่ไม่มีชีวิต นี่หมายความว่าจักรพรรดิจะอยู่บนหอคอยแห่งการให้กำเนิดไปตลอดกาล และกลายเป็นเหมือน ‘มาเธอร์ออฟโซล’…ตรรกะที่เยือกเย็นแบบนี้ แม้แต่ตัวมันเองก็ยังอดรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาไม่ได้
ที่ขาดการติดต่อไปก่อนหน้านี้ ก็น่าจะเป็นเพราะการเปลี่ยนร่างของจักรพรรดิ
แต่ว่ามันก็เป็นเหมือนที่จักรพรรดิว่าไว้จริงๆ แบบนี้แล้ว งานเคลื่อนย้ายทั้งหมดก็จะได้รับการแก้ไข ด้วยพลังของพระผู้สร้าง มันสามารถรองรับหอคอยแห่งการให้กำเนิดจำนวนมากเอาไว้บนนั้นได้ และสามารถใช้เป็นแหล่งในการกระจายละอองชีวิตแทนฐานที่มั่น ซึ่งนั่นจะทำให้เกิดความเสียหายในระหว่างที่ทำการอพยพได้น้อยที่สุด
อย่างนั้นปัญหาสุดท้ายก็เหลือแค่พวกมนุษย์เท่านั้น
ความคิดนี้พึ่งจะผุดขึ้นมา มันก็ได้รับการยืนยันจากจักรพรรดิ
‘เผ่าพันธุ์ของเราไม่มีเวลามากพอที่จะมาเสียกับพวกมนุษย์อีกแล้ว เราจำเป็นต้องรีบยึดเอาชิ้นส่วนแห่งการสืบทอดมาให้เร็วที่สุดนั่นถึงจะทำให้เรามีโอกาสสู้กับอาณาจักรซีสกายในตอนนี้ได้’
และการจะบุกไปข้างหน้าอย่างเต็มที่เพื่อทำลายพวกมนุษย์ให้ได้ในระยะเวลาอันสั้นที่สุดก็มีอยู่แค่วิธีเดียวเท่านั้น
‘ข้าขอสั่งต่อ นับตั้งแต่ที่เผ่าพันธุ์กลุ่มแรกเดินทางมาถึงดินแดนแห่งรุ่งอรุณ ปฏิบัติการทางตะวันตกให้เปลี่ยนไปใช้แผนสองได้’ จักรพรรดิออกคำสั่ง
นาซเพลตื่นเต้นขึ้นมาทันที
ความจริงแล้วแผนการที่สองนี่ก็เป็นแผนที่มันคิดขึ้นมา เพียงแต่คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะกลายเป็นจริงได้
น่าจะทำให้เป็นหายนะที่สะเทือนฟ้าดินแน่!
‘น้อมรับพระบัญชา องค์จักรพรรดิ!’
………………………………….