Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1421 กลับมา
“มีชีวิต…หมายความว่ายังไง?” ไนติงเกลขมวดคิ้วถาม “หรือว่าหินอาญาสิทธิ์ี่ที่อยู่ในถ้ำมันพูดได้?”
“ตอนนี้ยังไม่พบว่ามันทำแบบนั้นได้ แต่ในตอนที่หม่อมฉันกำลังทำการทดสอบอยู่ด้านล่างสายแร่หินอาญาสิทธิ์ของเฮอร์มีส หม่อมฉันไปเจอสามสี่ตัวที่ถูกหินอาญาสิทธิ์กัดกิน” อิสซาเบลลาหลับตาเหมือนกำลังนึกถึงภาพในตอนนั้นอยู่ “บางทีหลังจากที่เมืองศักดิ์สิทธิ์ถล่มลง มันอาจจะหลงตกจากชั้นบนของหน่วยลับลงไปด้านล่างของถ้ำ ไม่มีใครรู้ว่าหนูมันถูกหินอาญาสิทธิ์ัจับเอาไว้ได้ยังไง แต่ว่าร่างกายส่วนหนึ่งของพวกมันอยู่ในหินอาญาสิทธิ์ เหมือนว่า…เหมือนว่าทั้งสองรวมร่างกันเป็นหนึ่งเดียวอย่างไรอย่างนั้นเพคะ”
“ตอนที่ยางสนห่อหุ้มแมลงเอาไว้ก็สามารถมองมันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ แต่อำพันก็ยังไม่อาจถือเป็นสิ่งมีชีวิตได้อยู่ดี” โรแลนด์พูดตรงๆ
“หม่อมฉันทราบเพคะ” สีหน้าของอิสซาเบลลาเผยให้เห็นถึงความหวาดกลัว “ถ้าหากมีเพียงเท่านี้ หม่อมฉันก็คงไม่คิดเช่นนี้ แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า…หนูพวกนั้นมันยังมีชีวิตอยู่เพคะ ในตอนที่หม่อมฉันเข้าไปใกล้ พวกมันยังส่งเสียงร้องออกมาหาหม่อมฉัน เหมือนกับว่ากำลังขอร้องให้หม่อมฉันช่วยปลดปล่อยพวกมันออกไปอย่างไรอย่างนั้นเพคะ…”
โรแลนด์ขนลุกขึ้นมาทันที
เขาเหมือนจะเข้าใจแล้วว่าทำไมอีกฝ่ายถึงรู้สึกหวาดกลัว
ความไม่รู้นำมาซึ่งความหวาดกลัว
และตอนนี้เธอกำลังยืนอยู่หน้าดินแดนที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน
“….หนูมันเพิ่งจะถูกยึดเอาไว้ไม่นานหรือเปล่า?” ไนติงเกลแสร้งทำเป็นถามอย่างผ่อนคลาย
“หม่อมฉันสังเกตดูพวกมันอยู่สามเดือนเก้าวัน เสียงร้องของพวกมันไม่เคยหยุดลงแม้แต่วันเดียว” อิสซาเบลลาถอนใจออกมา “พอถึงวันที่สิบ หม่อมฉันใช้มีดแยกพวกมันออกมาตัวหนึ่ง ผลปรากฏว่าในท้องของมันว่างเปล่า แล้วก็น่าจะเป็นเพราะถูกปล่อยทิ้งเอาไว้นานมันเลยเล็กลีบอย่างมาก แต่เส้นเลือดของมันบางส่วนกลับงอกอยู่ในหินอาญาสิทธิ์เพคะ”
นี่หมายความว่าในระยะเวลาสามเดือน สิ่งที่คอยให้พลังงานที่จำเป็นต้องใช้ในการดำรงชีวิตแก่หนู…คือหินอาญาสิทธิ์น่ะสิ
ดูเหมือนตัวเองจะคิดอะไรง่ายเกินไปหน่อยแล้ว โรแลนด์ยิ้มแห้งๆ ขึ้นมา ก่อนหน้านี้เขาคิดว่า ‘มีแต่สิ่งมีชีวิตเท่านั้นถึงจะสามารถรวบรวมพลังเวทมนตร์ได้’ นั้นคือความคลาดเคลื่อนจากการที่ไม่เข้าใจพลังเวทมนตร์มากพอ และหลักฐานที่อิสซาเบลลาค้นพบชิ้นนี้คือความก้าวหน้าอันยิ่งใหญ่ของการเปลี่ยนแปลงจากความคลาดเคลื่อนมาเป็นความจริง
“หม่อมฉันเคยอ่านเจอในบันทึกสรรพชีวิตของศาสนจักร ในนั้นบอกว่าพืชที่หายากบางชนิดจะเชื่อมต่อเข้าด้วยกันกับสัตว์ กลายเป็นความสัมพันธ์แบบอยู่ร่วมกันที่มีความพิเศษ” เธอพูดต่อว่า “ถึงแม้จะไม่อาจสรุปว่าหินอาญาสิทธิ์เป็นพืชได้ แต่อย่างนั้นมันก็มีชีวิต หากคิดไปตามแนวคิดนี้ ปรากฏการที่พิเศษบางอย่างของพวกปีศาจก็จะยิ่งเข้าใจได้ง่ายขึ้น — อย่างเช่นเสาหินโอเบลิสที่สามารถงอกยาวขึ้นได้เรื่อยๆ และสัตว์ประหลาดตัวยักษ์ที่อยู่ด้านล่างของเสาหิน บางทีพวกมันอาจจะใช้ประโยชน์ในจุดนี้ ถึงได้สร้างระบบเผ่าพันธุ์เหมือนอย่างทุกวันนี้ขึ้นมาได้”
“แบบนี้แล้ว แสดงว่าพวกปีศาจมันชอบใช้หิน..” ไนติงเกลเหมือนอยากจะพูดอะไรออกมา
“เสียดายที่การวิจัยของหม่อมฉันยังก้าวหน้าไปไหน ส่วนใหญ่ล้วนแต่หยุดอยู่ในขั้นตอนการคาดเดาเท่านั้น ไม่สามารถทำประโยชน์อะไรให้กับพระองค์ได้” อิสซาเบลลาก้มหน้าอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย “ไม่เพียงแต่ยังไม่อาจรู้สึกเหตุผลของการหลอมรวมได้ แต่กระทั่งการเปลี่ยนหินเวทมนตร์ หม่อมฉันก็สร้างได้เพียงหินเวทมนตร์ชั้นต่ำอย่างหินเรืองแสงกับหินกรีดร้องเท่านั้น…”
“เจ้าดูถูกการค้นพบของตัวเองมากไปแล้ว” โรแลนด์พูดตัดบท “ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องข้อสรุปที่บอกว่า ‘คลื่นความถี่’ เป็นตัวกำหนดผลของเวทมนตร์นั้นเป็นจริงหรือไม่ เอาแค่เจ้าสามารถพิสูจน์ได้ว่าแม่มดสามารถใช้พลังในการสร้างหินเวทมนตร์ได้เหมือนกัน เพียงแค่จุดนี้มันก็เพียงพอที่จะทำให้ชื่อของเจ้าถูกบันทึกลงในประวัติศาสตร์แล้ว”
ถ้าจะบอกว่าไม่เสียดาย มันก็จะเป็นหลอกตัวเองอย่างแน่นอน ถ้าอีกฝ่ายสามารถใช้พลังในการสร้างหินเวทมนตร์ระดับสูงขึ้นมาได้ อย่างนั้นก็หมายความว่ารูนที่แข็งแกร่งอย่างรูนแห่งโชคชะตาก็จะสามารถใช้ได้โดยไม่จำกัดจำนวน แม่มดสายต่อสู้ก็จะกลายเป็นกองกำลังสำคัญบนสนามรบ แต่เขาเองก็รู้ว่าการค้นความเกี่ยวกับพลังวทมนตร์นั้นเป็นกระบวนการที่ใช้เวลายาวนานและคดเคี้ยวเลี้ยวลด ตอนนี้อิสซาเบลลาเพิ่งจะเปิดประตูเข้าไปและเห็นเพียงมุมหนึ่งเล็กๆ เท่านั้น ขอเพียงเธอสามารถทำการศึกษาได้ต่อไป ด้วยอายุขัยเฉลี่ยของแม่มดแล้ว ผลของมันนั้นคุ้มค่าที่จะรอคอยอย่างไม่ต้องสงสัย
หลังอิสซาเบลลาออกไป โรแลนด์ก็รีบหยิบปากกากระดาษมาร่างโทรเลขส่งไปให้สำนักงานเมือง
เนื้อหาในโทรเลขนั้นมีแค่ประโยคเดียว นั่นคือ ‘ห้ามเสียเมืองเนเวอร์วินเทอร์ไปเด็ดขาด นับแต่วันนี้ไปให้ใช้แผนฉุกเฉิน เข้าสู่การระดมพลเพื่อทำสงครามเต็มรูปแบบ’
แผนการนี้จะเป็นการพยายามเพิ่มกำลังทหารให้กับแนวหน้าให้ได้มากที่สุดภายใต้เงื่อนไขว่ามีเสบียงอาหารที่เพียงพอ —- นอกจากจะเพิ่มขนาดกองทัพแล้ว การผลิตทางอุตสาหกรรมก็จะเน้นหนักไปทางการผลิตอาวุธ การผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคจะถูกจำกัด
ถึงแม้ก่อนที่สงครามแห่งโชคชะตาจะมาถึง เขาได้เคยสั่งการให้บารอฟวางแผนการระดมพลมาแล้ว แต่เวลาที่จะปฏิบัติตามแผนการจริงๆ นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย อันดับแรกคือถ้าว่ากันในภาพรวมของสำนักบริหารแล้ว ตอนนี้มีเพียงเมืองเนเวอร์วินเทอร์เพียงเมืองเดียวเท่านั้นที่สามารถทำการปรับในเรื่องของนโยบาย กำลังพลและการผลิตได้ หากนำไปใช้ในเมืองอื่นๆ มันจะกลายเป็นเหมือนมาตรการบังคับ และทำให้ระเบียบของเมืองที่ฟื้นฟูขึ้นมาอย่างยากลำบากต้องกลายเป็นอัมพาตอีกครั้ง
อันดับต่อมา ต่อให้กองทัพที่หนึ่งขยายใหญ่ขึ้น แต่การขนส่งเบื้องหลังนั้นไม่สามารถขยายใหญ่ตามขึ้นมาได้ง่ายๆ การจะอาศัยเพียงเรือใบและสัตว์ในการขนส่งของข้ามอาณาจักรเพื่อไปทำศึกขนาดใหญ่นับแสนคนนั้นแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในยุคสมัยนี้เลย
แต่ถ้าสนามรบอยู่ในดินแดนตะวันตก ทั้งการบริหารและการขนส่งก็จะไม่ถูกจำกัด เมืองเนเวอร์วินเทอร์เป็นทั้งแนวหน้าของศึกครั้งนี้ แล้วก็เป็นป้อมปราการแห่งสุดท้ายของมนุษย์
ไม่ว่าต้องทุ่มเทมากเท่าไร พวกเขาก็ไม่อาจถอยหลังได้แม้แต่ก้าวเดียว ต่อให้ศัตรูจะเป็นอาณาจักรซีสกายก็ตาม
เพราะว่ามนุษย์ไม่มีที่ให้ถอยอีกแล้ว!
…..
“ใครอยู่ตรงนั้น?”
ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ที่นอนแช่อยู่ในบ่อละอองชีวิตลืมตาขึ้นมามองไปทางมุมมืดมุมหนึ่ง
เมื่อครู่นี้มันได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวเล็กน้อย
หากเป็นเวลาปกติ มันไม่ทางถามคำถามแบบนี้แน่ ขอเพียงหยิบอาวุธขึ้นมาฟัน มันก็จะรู้ผลลัพธ์ได้ทันที ถ้ามีร่างระดับต้นหรือร่างยกระดับระดับต้นเข้ามาในพื้นที่ที่มันกำลังพักผ่อนโดยไม่ได้รับอนุญาต การถูกฟันเป็นสองส่วนก็ถือเป็นเรื่องสมควรแล้ว
ที่ไซเลนท์ไม่ลงมือทันทีนั้นเป็นเพราะดาบไม่ได้อยู่ข้างตัวมัน มีแต่ตอนที่พักรักษาอาการบาดเจ็บ มันถึงจะถอดชุดเกราะและอาวุธออก
ภายใต้ความมือ เงาๆ หนึ่งค่อยๆ เดินออกมา
“อย่าเพิ่งลงมือ….นี่ข้าเอง”
มันงุนงงเล็กน้อย เมื่อฟังจากเสียงแล้ว อีกฝ่ายคือสกายลอร์ดที่ขาดการติดต่อไปนาน เฮคซอด!
ไซเลนท์ลุกขึ้นยืนทันที ก่อนจะหยิบเอาผ้าขาวมาพันร่างกายเอาไว้ “เจ้าไปอยู่ที่ไหนมา! หรือว่าหนีเอาตัวรอดไปเหมือนที่เดอะแมสก์มันว่าจริงๆ?”
“เหอะ ไอเจ้าตัวประหลาดนั้นมันพูดอะไรออกมาข้าไม่แปลกใจหรอก นี่เป็นเหตุผลที่ข้ามาหาเจ้าตามลำพัง” เฮคซอดค่อยๆ เดินมาถึงข้างพอ ในเวลานี้ไซเลนท์ถึงได้สังเกตเห็นว่าเกราะตรงหน้าอกของมันแตกออกเป็นรูขนาดใหญ่ บาดแผลข้างในลึกจนมองเห็นกระดูก ถึงแม้เลือดจะหยุดไหลแล้ว แต่อาการบาดเจ็บกลับยังไม่ฟื้นตัว
“เจ้า…บาดเจ็บเหรอ?”
ด้วยความสามารถของสกายลอร์ด ต่อให้หนีศึกก็ไม่มีทางที่จะตกอยู่ในสภาพแบบนี้แน่นอน
“คิดไม่ถึงว่าจะมีวันที่ข้ากระเซอะกระเซิงจนต้องให้เจ้ามาเป็นห่วง” เฮคซอดแค่นหัวเราะอกมา ก่อนจะคลานเข้ามาในบ่อละอองชีวิตอย่างยากลำบาก “ส่วนเรื่องที่ข้าไปไหนมานั้น วางใจได้ อีกเดี๋ยวเจ้าจะได้เห็นแน่นอน แต่ว่าก่อนหน้านั้น ข้าจำเป็นต้องให้เจ้าได้เห็นอะไรบางอย่างก่อน”
“เห็นอะไร?”
“รวบรวมสมาธิ จากนั้นปล่อยวาง หลับตาลง…”
เมื่อได้ยินคำขอร้องที่แปลกประหลาดแบบนี้ เดิมไซเลนท์คิดจะปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของอีกฝ่าย มันจึงรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างทันที
นี่คือการเตรียมตัวที่จะเข้าไปในโลกแห่งจิตสำนึก!
มันลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็หลับตาทั้งสองข้างลง
พริบตานั้นเอง ภาพที่ยากจะบรรยายได้จำนวนหนึ่งหลั่งไหลเข้ามาในหัวของไซเลนท์! ภาพดินแดนแปลกประหลาด จดหมายลับที่ไม่รู้ที่มา เพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ที่สวมชุดขาว เสาลำแสงขนาดใหญ่ หลุมที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นผุดขึ้นมาในหัวมันอย่างต่อเนื่อง ภาพสุดท้ายที่ปรากฏขึ้นตรงหน้ามันคือภายใต้กรงเล็บที่ห้อมล้อม ฝูง ‘รัง’ จำนวนมากถาโถมเข้ามา….
…………………………………………………………………………