Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1424 การคาดเดาของวัลคีรีย์
นี่เรา….ฝันไปงั้นเหรอ?
ฟิชบอลกะพริบตา ปีศาจระดับสูงไม่เพียงแต่จะไม่ฆ่าเขา แต่กลับจะติดต่อกับผู้นำของแม่มดด้วย?
แต่กระดาษที่อยู่ตรงหน้ากับปืนที่หักออกเป็นสองท่อนบอกเขาว่านี่ไม่ใช่ความฝัน
เขาโน้มตัวลงไปหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมา กระดาษไม่ได้มีการห่อหุ้มอะไรเอาไว้เลย แล้วก็ไม่มีการประทับตราปิดผนึกเอาไว้ด้วย เนื้อหาบนนั้นเปิดเผยออกมาโดยไม่มีอะไรปิดกั้น ถึงแม้จะรู้ว่าตัวเองไม่ควรดู แต่เขาก็อดกวาดตามองไม่ได้
บอทธ่อมเลสแลนด์?
พระผู้สร้าง?
เขาไม่เข้าใจเลยว่ามันหมายความว่าอย่างไรง..
นี่กลับทำให้ฟิชบอลรู้สึกโล่งใจ
เพียงแต่เมื่อดูจากตัวหนังสือแล้ว เกรงว่าคงไม่มีใครคิดถึงแน่ว่า ‘จดหมาย’ ฉบับนี้จะมาจากมือของปีศาจ
“เออใช่ คนอื่นๆ ล่ะ!” ทันใดนั้นเขาพลันนึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมานั่งครุ่นคิดถึงจดหมายฉบับนี้ เขายังมีเพื่อนอีกหลายคนที่ตอนนี้ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน!
“เฟาช์! คาเทียร์! แบล็งเค็ท—!”
ฟิชบอลตะโกนเรียกพร้อมเดินย่ำเข้าไปในป่า ตอนที่เจอกับปีศาจระดับสูงครั้งแรกเขายังไม่รู้สึก แต่ในตอนที่ภัยอันตรายจากไปแล้ว เขาถึงได้พบว่าขาทั้งสองข้างของตัวเองอ่อนแรงอย่างมาก มีแต่ต้องใช้ท่อนไม้พยุงเอาไว้เขาถึงจะยืนได้
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ในป่าก็มีเสียงตอบรับอย่างอ่อนแรงของเพื่อนทหารดังขึ้นมา “หัวหน้า นั่นใช่หัวหน้าหรือเปล่า?”
หลังค้นหาอยู่ครู่หนึ่งเขาก็หาเพื่อนร่วมทีมกลับมาได้ 4 คน ส่วนอีกสองคนไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน เหมือนกับว่าหายตัวไปอย่างไรอย่างนั้น
ไม่นานกระดาษแผ่นนั้นก็ถูกส่งต่อไปให้นายทหารระดับสูง
หลังจากนั้นเพียงแค่สามวัน ฟิชบอลก็ได้รับคำสั่งให้เดินทางไปที่เมืองกลอรีเพื่อพบฝ่าบาทโรแลนด์
ส่วนคนที่รับหน้าที่ในการขนส่งก็คือซีกัล
เขาแอบรู้สึกว่าบางทีเรื่องนี้มันอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับจดหมายฉบับนั้นเพียงอย่างเดียวเสียแล้ว
….
“เป็นยังไงบ้าง?” หลังสอบถามอยู่ครู่ โรแลนด์ก็หันไปถามไนติงเกล
“เป็นความจริงทั้งหมดเพคะ ทหารของพระองค์ไม่ได้โกหก” ไนติงเกลยักไหล่
“อย่างนั้นเหรอ…” บอกตามตรง โรแลนด์เองก็คิดว่านี่ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ทหารที่อยู่ในแนวหน้าจะแต่งขึ้นมาได้ แต่เพราะสถานการณ์มันพิเศษอย่างมาก เขาจึงต้องระวังเอาไว้ก่อน เพราะสำหรับเขาแล้ว เรื่องนี้มันแปลกประหลาดและน่าเหลือเชื่ออย่างมาก “อย่างนั้นเดี๋ยวข้าจะเข้าไปในโลกแห่งความฝันหน่อย ฝากเจ้าดูแลด้วยนะ”
“ถึงพระองค์ไม่ตรัสหม่อมฉันก็ทำอยู่แล้วเพคะ” ไนติงเกลหมุนตัวไปปิดผ่าน แสงในห้องหนังสือพลันสลัวลงทันที “พระองค์จะไปเจอปีศาจตัวนั้นเหรอเพคะ?”
ในฐานะที่เป็นแม่มดที่คอยเฝ้าอยู่ข้างกาย จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีความลับปิดบังไนติงเกลเอาไว้ เธอเองก็เป็นเพียงคนเดียวที่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วจดหมายลับฉบับนั้นใครเป็นคนส่งมา ถึงแม้จะไม่เอ่ยปากถาม แต่ขอเพียงฟังการพูดคุยระหว่างเขากับแม่มดโบราณอยู่บ่อยๆ ก็จะเข้าใจเอง แน่นอน โรแลนด์เองกก็ไม่ได้มีความคิดที่จะปิดบังอะไร ที่เขาไม่เปิดเผยให้คนอื่นๆ รู้ หลักๆ แล้วก็เมื่อหลีกเลี่ยงความไม่สบายจ โดยเฉพาะอันนา
“จดหมายก่อนหน้านี้ไม่ได้ผล เฮคซอดกลับมาแล้ว” เขาพูดเสียงเบาๆ “ยิ่งไปกว่านั้นบนสนามรบยังมีปีศาจระดับสูงที่แข็งแกร่งปรากฏขึ้นมาอีกตัวด้วย — เจ้าเองก็เห็นแล้ว ถ้าทั้งสองตัวนี้ร่วมมือกัน กองทัพที่หนึ่งจะต้องเจอปัญหาหนักแน่ และก่อนจะถึงเวลานั้น ข้าต้องรู้ให้ได้ว่าพวกมันคิดจะทำอะไร ซึ่งในเรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นแม่มดทาคิลาหรือว่าเอดิธส์ก็ช่วยอะไรข้าไม่ได้”
ตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่มีปัญหารุมเร้าเข้ามาอย่างมาก เมืองเนเวอร์วินเทอร์กำลังถูกโจมตี อันตรายยังไม่ทันคลี่คล่าย ตอนนี้ก็มีเรื่องที่จำเป็นต้องรีบจัดการปรากฏขึ้นมาอีกแล้ว
“ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่อีกฝ่ายก็เป็นปีศาจ อย่าไปเชื่อคำพูดมันง่ายๆ นะเพคะ” ไนติงเกลพูดกำชับ “แล้วก็พาแม่มดอาญาสิทธิ์ไปด้วยซัก 2 – 3 นะเพคะ โดยเฉพาะหลิง”
“พูดไปเจ้าอาจจะไม่เชื่อ แต่ในโลกแห่งความฝันข้าสู้เก่งมากเลยนะ” โรแลนด์มองไปทางหญิงสาวที่เหมือนจะแอบอยู่ในเงามืด ก่อนจะค่อยๆ นอนลงไปบนเก้าอี้ยาว “วางใจได้ เดี๋ยวข้าจะพาไปด้วยซัก 2 – 3 คน”
“รีบไปรีบกลับนะเพคะ”
“อื้อ เดี๋ยวเจอกัน”
เขาหลับตา ก่อนจะปล่อยให้ความง่วงเข้าครอบงำตัวเอง
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง โรแลนด์ก็มาเจอกับวัลคีรีย์ที่ันัดเอาไว้ในร้านกาแฟโรสคาเฟ่ ก่อนจะเหล่าเรื่องที่ฟิชบอลเจอทั้งหมดให้อีกฝ่ายฟัง
“…อย่างนี้นี่เอง” อีกฝ่ายจิบกาแฟไปพลางครุ่นคิดไปพลางอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะพูดออกมา “พวกมัน…กำลังหาข้าอยู่”
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่โรแลนด์รู้สึกว่ากิริยาท่าทางของวัลคีรีย์นับวันจะยิ่งคล้ายมนุษย์เข้าไปทุกทีแล้ว
“พวกมัน? เจ้ารู้หรือว่าปีศาจตัวนั้นคือใคร?”
วัลคีรีย์เงยหน้าขึ้นมามองเขา “เซโรเชส หรือก็คือไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ที่ข้าเคยพูดถึงก่อนหน้านี้ แต่ว่าน้อยครั้งนักที่มันจะถอดชุดเกราะอันหนักอึ้งนั่นออก ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เจ้าจะคิดว่ามันเป็นปีศาจระดับสูงตัวอื่น”
โรแลนด์พูดไม่ออกไปทันที เขาย่อมต้องรู้จักชื่อไซเลนท์ดิสแอสเตอร์นี้ ในตอนที่พระผู้สร้างเข้ามาในเทือกเขาสิ้นวิถี ซิลเวียก็เคยสังเกตเห็นปีศาจระดับราชาตัวนี้มาแล้ว เขาเองก็เอารายงานจำนวนมากที่รวบรวมจากแนวหน้าในสนามรบมายืนยันตัวตนของอีกฝ่ายกับวัลคีรีย์ เป็น ‘ชาริตา’ เพียงไม่กี่ตัวในเผ่าพันธุ์ เป็นนักรบที่บ้าคลั่งที่มีพรสวรรค์อย่างมาก แล้วก็เป็นผู้ปกป้องชิ้นส่วนสืบทอดคนก่อน แถมเขายังเคยถูกชิ้นส่วนสืบทอดชักนำให้ไปเจอกับอีกฝ่ายในระยะใกล้ด้วย ถูกต้อง ศัตรูที่สวมชุดเกราะนั่งอยู่บนบัลลังค์หินสีดำก็คือไซเลนท์ดิสแอสเตอร์
เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าใบหน้าที่แท้จริงที่แอบซ่อนอยู่ภายใต้ชุดเกราะของอีกฝ่ายจะเป็นแบบนี้
“เจ้าแน่ใจนะว่ามันมาหาเจ้า?” โรแลนด์สะกดความตกใจเอาไว้ “แต่มันบอกว่าให้ส่งจดหมายฉบับนี้ให้สามผู้นำแม่มด…”
เนื้อหาบนจดหมายนั้นแทบจะเหมือนกับจดหมายที่ไนท์แมร์ส่งออกไป เพียงแต่เปลี่ยนจากอักษรของปีศาจเป็นอักษรของมนุษย์เท่านั้น ซึ่งนี่เป็นจุดที่เขายากจะเข้าใจได้ ถึงแม้ ‘ผู้นำของแม่มด’ จะรู้เรื่องนี้ แต่มันจะมีประโยชน์อะไรต่อพวกมัน?
“ที่เจ้าไม่เข้าใจมันก็เป็นเรื่องปกติ เพราะเจ้าไม่ใช่พวกข้า” วัลคีรีย์วางช้อนลง ก่อนจะค่อยๆ จิบกาแฟเข้าไปคำหนึ่ง “ความจริงขอเพียงเปลี่ยนมุมมองนิดหน่อยก็จะสามารถเดาเจตนาของมันได้ อย่างแรกคือข้าหายตัวไปเพราะพยายามหาสาเหตุในการยกระดับของมนุษย์ ถ้าข้ายังมีชีวิตอยู่ อย่างนั้นข้าจะต้องอาศัยอยู่ในดินแดนแห่งจิตสำนึกของใครซักคนเพื่อที่จะได้มีชีวิตต่ออย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นภายใต้กระแสจิตสำนึกอันเชี่ยวกราก ไม่มีทางที่ข้าจะรักษาจิตสำนึกของตัวเองให้อยู่รอดมาถึงตอนนี้ได้ แล้วก็ยิ่งไม่มีทางที่จะส่งข้อความอะไรออกไปข้างนอกได้”
“และคนที่มีโอกาสที่จะสัมผัสกับโลกแห่งจิตสำนึกมากที่สุดก็คือ…แม่มด?” โรแลนด์ถาม
“แน่นอนว่ายังมีเจ้า” วัลคีรีย์พูดอย่างสบายๆ “แต่เมื่อคิดถึงว่าข้ายังสามารถส่งข้อความออกไปได้ ดังนั้นโอกาสที่จะเป็นแม่มดจึงมีสูงกว่า เฮคซอดน่าจะเดาว่าข้าคงจะพูดกล่อมแม่มดซักคนให้เห็นพ้องต้องกันได้ ถึงได้มีจดหมายฉบับแรกส่งออกไป เพราะถ้าหากคนที่ข้าพูดกล่อมได้คือเจ้า อย่างนั้นก็แค่สั่งให้มนุษย์ยอมแพ้ก็พอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องมาเสียเวลาทำอะไรแบบนี้”
“ความจริงเจ้าอยากจะบอกว่า…ควบคุมใช่ไหม?”
“ไม่ต้องสนใจรายละเอียดแบบนี้หรอก” วัลคีรีย์ไม่ได้แสดงท่าทีคัดค้น “ในอีกแง่หนึ่งแล้ว ความสัมพันธ์จากการพูดกล่อมจะมีความแน่นแฟ้นมากกว่าการควบคุม เพราะการควบคุมนั้นการทำอะไรแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่การพูดกล่อมคือการที่ทั้งสองฝ่ายมีความคิดเห็นที่พ้องต้องกัน”
โรแลนด์พลันนึกถึงคำพูดที่อกาธาเคยพูดขึ้นมา ในช่วงสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่หนึ่ง มีมนุษย์บางส่วนที่กลายเป็นสาวกของปีศาจ…เขาส่ายหัวแล้วดึงความคิดให้กลับมาเข้าที่เข้าทาง “แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ พวกมันก็ยังไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเจ้าอาศัยอยู่ในโลกแห่งจิตสำนึกของแม่มดคนไหน”
“ถูกต้อง แต่การจะส่งจดหมายฉบับนั้นจากเกรย์คาสเซิลไปวูล์ฟฮาร์ทนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะในช่วงที่มีสงคราม คนที่มีความสามารถที่จะทำได้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาแน่ นางน่าจะมีอิทธิพลอยู่ในอาณาจักรของมนุษย์อยู่พอสมควร พูดอีกอย่างคือเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว อย่างนั้นการเอาจดหมายส่งให้ผู้นำของแม่มดจึงเป็นทางเลือกที่ฉลาดที่สุด ทางแม่มดระดับสูงจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน แล้วคนที่ส่งจดหมายฉบับแรกนั้นก็จะรู้ด้วย”
วัลคีรีย์พูดถึงตรงนี้ก็ชะงักไปเล็กน้อย “น้องจากนี้เจ้าไม่รู้ว่าจดหมายฉบับนี้มันดูมักง่ายไปหน่อยเหรอ? เป็นเพราะว่าไม่มีแม้กระทั่งซองจดหมาย ดังนั้นระหว่างทางจึงมีหลายคนที่เห็นเนื้อหาในจดหมาย แบบนี้ต่อให้สามผู้นำตัดสินใจที่จะปิดบังความจริง แม่มดที่ถูกข้าพูดกล่อมก็จะหาทางรู้ให้ได้ว่าในจดหมายเขียนอะไรไว้ และทันทีที่นางรู้ ข้าก็จะรู้ด้วย”
โรแลนด์เข้าใจทันที ที่แท้ตัวจดหมายฉบับนี้ไม่ใช่จุดสำคัญ การส่งจดหมายนี้ออกมาต่างหากถึงจะเป็นสัญญาณที่สกายลอร์ดและไซเลนท์ส่งออกมา เมื่อเทียบกับเนื้อหาในจดหมายแล้ว เรื่องที่ว่าปีศาจระดับสูงส่งข้อความหามนุษย์เป็นครั้งแรกนั้นเป็นเรื่องที่ยากจะปิดบังเอาไว้ได้ เขาเชื่อว่าในเวลาหลายวันนี้ เรื่องราวที่ฟิชบอลไปเจอมาจะต้องแพร่กระจายไปในดินแดนทางเหนือของอาณาจักรดอว์นแล้วอย่างแน่นอน
“ข้ายอมรับว่าการทำแบบนี้มันจำเป็นต้องอาศัยโชคค แต่ต้องยอมรับเลยว่านี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่พวกมันจะคิดได้แล้ว อีกทั้งโชคของพวกมันก็ไม่ได้ถือว่าแย่ด้วย…” วัลคีรีย์ยื่นนิ้วชี้ไปที่โรแลนด์ จากนั้นจึงชี้มาที่ตัวเอง “เจ้าดูสิ ตอนนี้ข้าก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอ?”
“จากที่เจ้าว่ามา ข้าก็พอเข้าใจแล้ว” โรแลนด์โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยพร้อมสูดหายใจลึกๆ เขารู้ว่าคำถามต่อไปต่างหากที่เป็นจุดสำคัญ “แล้วเจ้าคิดว่าตอนนี้พวกมันมาหาเจ้าทำไม?”
……………………………………………………………………