Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1426 บรรจบกัน
เข้าไปในโลกแห่งจิตสำนึก…ที่นี่ังั้นเหรอ?
ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ตกใจอย่างมาก
มันไม่ใช่เฮคซอด หากออกมาจากขอบเขตของหอคอยแห่งการให้กำเนิดก็ยากที่จะเชื่อมต่อเข้ากับโลกแห่งจิตสำนึกด้วยตัวเองได้ ต่อให้สามารถสัมผัสกับแหล่งกำเนิดพลังเวทมนตร์ได้ระยะเวลาสั้นๆ แต่เมื่ออยู่ในกระแสจิตสำนึกที่ไหลเชี่ยว มันก็ไม่มีทางที่จะหาวัลคีรีย์เจอได้
อย่างนั้นทำไมไนท์แมร์ลอร์ดถึงได้ส่งข้อความนี้มา?
มันมองไปรอบๆ แต่ทั้งเนินเขากลับเงียบสงบ อายการ์ดเองก็ไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ แม้แต่ทหารเพียงหนึ่งเดียวที่ยืนอยู่ตรงหน้ามันตอนนี้ก็สองมือว่างเปล่า กระทั่งอาวุธที่พวกมันภาคภูมิใจก็ไม่ได้พกติดตัวมาด้วย
อย่างนั้น…ลองดูหน่อยก็แล้วกัน
ถ้ามันทำไม่สำเร็จก็ค่อยไปปรึกษาเฮคซอดก็ยังไม่สาย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์จึงค่อยๆ หลับตาลง แล้วพยายามรับรู้ถึงคลื่นกระเพื่อมอันแสนเบาบางนั้น —- ทันใดนั้นเอง พลังอันรุนแรงสายหนึ่งก็ห่อหุ้มร่างกายมันเอาไว้! มันพยายามดิ้นออกมาอย่างตกใจ แต่ก็ไม่เป็นผล กำแพงที่กั้นทั้งสองโลกที่เดิมเป็นเหมือนดินโคลนที่เหนียวจนยากจะเดินฝ่าไปได้กลับเบาขึ้นมาเหมือนฟองอากาศ มันเชื่อมต่อเข้ากับโลกแห่งจิตสำนึกได้โดยไม่เปลืองแรง! ถึงแม้จะหลับตาอยู่ มันก็ยังสัมผัสได้ถึงพลังเวทมนตร์ที่กำลังขยายตัวขึ้นมารอบๆ ตัวมัน
นี่เป็นประสบการณ์ที่ไซเลนท์ไม่เคยเจอมาก่อน
ต่อให้มันตั้งสมาธิอยู่ข้างหอคอยแห่งการให้กำเนิดก็ไม่มีทางที่จะได้ผลแบบนี้!
ภายในใจมันถึงขนาดเกิดความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะยกระดับครั้งใหม่ขึ้นมา
แต่ความรู้สึกทั้งหมดก็เกิดแค่เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น
มันยังไม่ทันได้คิดอะไรเพิ่ม ทุกอย่างก็เงียบสงบลง
แต่นั้นไม่ใช่ความสงบที่แท้จริง ไซเลนท์รู้สึกได้ถึงเสียงหวึ่งเบาๆ ที่ดังมาจากด้านหน้า ขณะเดียวกันก็ยังมีสายลมอันอบอุ่นพัดมาจากด้านหน้าด้วย สายลมนั้นแห้งอย่างมาก แถมยังมีความคงที่จนแทบจะไม่เปลี่ยนแปลง มันไม่สามารถหาเหตุการณ์ใดๆ ในความทรงจำหลายร้อยปีของมันมาเปรียบเทียบได้
ไซเลนท์ค่อยๆ ลืมตา
มันพบว่าตัวเองอยู่ในห้องเล็กๆ แคบๆ แห่งหนึ่ง ถึงแม้แสงสว่างภายในห้องจะแย่อย่างมาก แต่มันกลับไม่ได้มืดสลัว หินเวทมนตร์ขนาดใหญ่ที่อยู่บนหัวส่องแสงสีขาวออกมาจนมองเห็นทุกซอกทุกมุมภายในห้อง
สิ่งที่ปล่อยเสียงและสมอุ่นๆ ออกมาคือของแปลกๆ ที่อยู่บนเพดาน มันไม่ใช่ทั้งไม้ แล้วก็โลหะ วัสดุที่ใช้สร้างมันขึ้นมาดูแล้วเหมือนจะอยู่ระหว่างไม้กับโลหะ ส่วนตรงช่องที่ปล่อยลมก็มีลวดลายที่เล็กละเอียดจนน่าตกใจ
นี่คือ…โลกแห่งจิตสำนึกงั้นเหรอ?
ทำไมตัวเองถึงไม่เคยเห็นของแบบนี้มาก่อน?
“มันคือคนที่กำลังหาเจ้าอยู่งั้นเหรอ?”
ด้านหลังพลันมีเสียงแปลกหน้าดังขึ้นมา
ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ยกมือคว้าจับดาบทันที ขณะเดียวกันก็หมุนตัวกลับมา
“อื้อ ไม่เจอกันนานนะ เซโรเชส”
มันตกตะลึงไปทันที
นี่ไม่ใช่การพบกันหลังจากที่แยกจากกันมานาน มันมองเห็นอีกฝ่ายอยู่ในบ่อละอองชีวิตทุกวัน แต่ในเวลานี้มันถึงได้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วทั้งสองนั้นแตกต่างกัน มุมปากที่ยกขึ้นมาเล็กน้อย ดวงตาที่มีชีวิตชีวาและเสียงที่คุ้นเคยเป็นอย่างยิ่งๆ…ทุกๆ รายละเอียดยังคงกระเพื่อมอยู่ในใจของมัน
“ท่านวัลคีรีย์…”
“คำเรียกนี้ช่างน่าคิดถึงจริงๆ” ไนท์แมร์ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “แต่ว่าตอนนี้เจ้าเป็นราชาและอยู่ในระดับเดียวกับข้าแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้คำเรียกแบบนั้นอีก”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น—“ เซโรเชสหยุดชะงักไปทันที เพราะว่ามันมองเห็นมนุษย์ตัวผู้คนนั้นยืนอยู่ข้างไนท์แมร์! ในดินแดนของพระเจ้าก็เป็นมนุษย์ที่อันตรายคนนี้ที่โจมตีใส่มันด้วยสีหน้าอันเยือกเย็น! “ที่แท้เจ้านี่เป็นคนขังเจ้าเอาไว้งั้นเหรอ?”
“เจ้าว่าเหมือนไหมล่ะ?” วัลคีรีย์ถามกลับ
“….” มือที่จับอยู่บนด้ามดาบของไซเลน์กลับไม่ยอมชักดาบออกมา
ใช่แล้ว ทั้งสองไม่เพียงแต่จะปรากฏขึ้นมาพร้อมกัน แต่ดูท่าทางแล้วยังไม่เหมือนศัตรูกันด้วย หรือว่า….มันคือคนที่ถูกไนท์แมร์พูดกล่อม?
“ยินดีต้อนรับสู่โลกแห่งความฝัน ข้าขอแนะนำตัวหน่อยแล้วกัน ข้าคือราชาแห่งเกรย์คาสเซิล แล้วก็เป็นผู้นำของสโมสรแม่มด โรแลนด์ วิมเบิลดัน” อีกฝ่ายพูดพร้อมผายมือ
“เจ้าพูดภาษาของเผ่าพันธุ์ข้าได้งั้นเหรอ?” ไซเลนท์พูดเหมือนไม่อยากจะเชื่อ
“อยากจะฟังอีกรอบไหม?” โรแลนด์พูดซ้ำอีกรอบ
ในเวลานี้มันถึงได้พบว่านั่นไม่ใช่ภาษาที่อาณาจักรมนุษย์ใช้กัน แล้วก็ไม่ใช่ภาษาของเผ่าพันธุ์มัน หากแต่เป็นภาษาที่แปลกประหลาดอย่างมาก แต่มันกลับเข้าใจความหมายของมัน!
พูดอีกอย่างก็คือไม่ว่าทั้งสามคนจะพูดภาษาอะไร แต่ต่างฝ่ายต่างก็เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูด
“เจ้าคิดซะว่ามันเป็นการสื่อสารทางจิตสำนึกก็ได้ เอาเป็นว่า…นี่คือรายละเอียดเล็กน้อยเท่านั้น” โรแลนด์ทำมือบอกว่าเชิญ “บอกตามตรง การได้มาเจอหน้ากันแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ดังนั้นพวกเราควรจะพูดเรื่องปัญหาที่ต้องรีบแก้ไขอย่างเร่งด่วนเพื่อแข่งกับเวลาด้วยดีกว่า มา เดี๋ยวเรากินไปคุยไป”
กินไป…คุยไป?
เจ้าโง่ หรือมันไม่รู้ว่าการกินการดื่ม มันไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นสำหรับผู้ยกระดับระดับสูง?
วัลคีรีย์คงจะทนมันมานานแล้ว
แต่ไซเลนท์กลับมองเห็นไนท์แมร์ลอร์ดนั่งลงข้างโต๊ะ พร้อมยกถ้วยกระเบื้องที่ประณีตงดงามตรงหน้าขึ้นมา
เอ่อ…
มันนั่งตามลงไปอย่างงุนงง
“ถึงแม้เวลาจะกระชั้นชิด แต่ถ้าแม้แต่ความเชื่อใจที่เป็นพื้นฐานที่สุดก็ยังไม่มี อย่างนั้นหลังจากนี้ก็คงไม่มีอะไรให้คุยกันอีก” โรแลนด์พูดเข้าประเด็น “ซึ่งการจะทำให้เจ้าเชื่อข้าในเวลาสั้นๆ นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ดังนั้นวัลคีรีย์จะเป็นคนรับผิดชอบในการตอบคำถามของเจ้า”
“อย่างนี้ดีที่สุด” วัลคีรีย์มองไปทางโรแลนด์อย่างสนิทสนม “ข้าเองก็มีอะไรหลายอย่างที่อยากจะถามมันเหมือนกัน”
จากนั้นไนท์แมร์ก็เล่าเรื่องที่ว่าตัวเองเข้ามาในโลกแห่งความฝันได้อย่างไรและสิ่งที่ตัวเองได้รู้ได้เห็นทั้งหมดที่นี่ออกมาให้ไซเลนท์ฟัง และในระหว่างนั้นก็มีการพูดถึงศึกทางตะวันตกไปด้วย ในที่สุดไซเลนท์ก็ได้รับรู้เรื่องคร่าวๆ หลังจากที่ไนท์แมร์หลงอยู่ในทะเลแห่งจิตสำนึก แต่นั่นก็เพียงแค่รับรู้เท่านั้น เพราะว่าเรื่องทั้งหมดมันน่าเหลือเชื่ออย่างมาก มันรู้สึกยากที่จะเชื่อได้จริงๆ มนุษย์ตัวผู้ที่ไม่มีพลังเวทมนตร์ ทำไมถึงได้รับการโปรดปรานจากโลกแห่งจิตสำนึกได้
“อย่างนั้น….นี่คือที่มาของการสืบทอดใหม่ของมนุษย์เหรอ?” ไซเลนท์อ้าปากพูดขึ้นมาอย่างยากลำบาก
“เจ้าจะเข้าใจแบบนี้ก็ได้” โรแลนด์ตอบ “แต่ข้าชอบมองว่ามันเป็นโลกที่สมบูรณ์มากกว่า เป็นโลกที่กำลังเผชิญกับภัยคุกคามจากพระเจ้า เป็นโลกที่วิกฤตมาอยู่ตรงหน้าเหมือนกับพวกเรา”
มันไม่อยากจะเชื่อมนุษย์หน้าไหน แต่มีบางเรื่องที่มันจะไม่เชื่อก็ไม่ได้ อย่างเช่นดินแดนแห่งจิตสำนึกที่ถูกเรียกว่าโลกแห่งความฝันแห่งนี้ เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างก็จะพบว่ามันใหญ่จนน่าตกใจ จนแทบจะไม่สามารถมองปลายอีกด้านหนึ่งได้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าพระเจ้าจะทำลายที่นี่จริงหรือไม่ เอาแค่ขนาดของที่นี่มันก็ใหญ่กว่าหอเจ้าชีวิตของจักรพรรดิแล้ว
แล้วก็ยังมีเครื่องประดับและอุปกรณ์ที่ไม่รู้จักชื่อพวกนั้นอีก พวกมันล้วนแต่เป็นลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นก็คือมีความประณีตจนน่าเหลือเชื่อ การที่สามารถเอาเวลาและกำลังส่วนใหญ่ไปใช้กับของที่ใช้ในชีวิตประจำวันแบบนี้ได้ มันก็พอที่จะแสดงให้เห็นว่าพลังที่แฝงอยู่ของพวกเขามาน่าตกใจแค่ไหร ถ้าสิ่งที่มนุษย์ยืมมาใช้คือพลังที่ว่านี้ อย่างนั้นการเปลี่ยนแปลงของพวกเขาที่เกิดขึ้นในสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่สามมันก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไร
แต่แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือวัลคีรีย์
สายตาและความคิดของมันล้วนแต่เหนือกว่าคนเอง ถ้ามันไม่พูดแย้งอะไรขึ้นมา อย่างนั้นก็แสดงว่าคำพูดของมนุษย์ตัวผู้นี้มีความน่าเชื่อถือ
แต่ว่า….การจะให้เซโรเชสดูดซับข้อมูลปริมาณมหาศาลนี้ในเวลาสั้นๆ นั้นเป็นเรื่องยากลำบากมากจริงๆ
“เออใช่ ข้าอยากจะรู้ว่าอะไรที่ทำให้เฮคซอดตัดสินใจที่จะติดต่อวัลคีรีย์ แทนที่จะรอคอยต่อไป?” โรแลนด์เห็นมันนิ่งเงียบอยู่นาน เขาจึงเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นมา “นี่ไม่เหมือนกับนิสัยของมันเลย”
ไซเลนท์มองไปทางวัลคีรีย์ก่อน หลังอีกฝ่ายพยักหน้ามันจึงพูดเหตุผลออกมา
เรื่องที่สกายลอร์ดพบว่าบอทธ่อมเลสแลนด์อยู่ทางปลายสุดด้านเหนือของดินแดนรุ่งอรุณจริงๆ นั้นไม่ทำให้โรแลนด์รู้สึกแปลกใจ เพราะเขารู้ข่าวนี้มาจากโจนนานแล้ว แต่ตอนนี้เมื่อมาคิดดูแล้ว การที่เฮคซอดจะไปพิสูจน์เรื่องนี้มันก็ถือเป็นเรื่องปกติ
แต่ข่าวที่สองนั้นแตกต่างไปจากข่าวแรกอย่างสิ้นเชิง
“เจ้าจะบอกว่า….แบล็คสโตนถูกอาณาจักรซีสกายบุกเข้าไปแล้วอย่างนั้นเหรอ?” วัลคีรีย์ทำสีหน้าตกใจ “นั่นมันแนวป้องกันสุดท้ายที่กองทัพหลักป้องกันอยู่ไม่ใช่เหรอ?”
“จักรพรรดิบอกเช่นนี้จริงๆ ส่วนรายละเอียดข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่จากที่ฟังมาจากเดอะแมสก์ ศัตรูได้เกิดการวิวัฒนาการอย่างมากแล้ว”
…………………………………………………………….